ตอนที่ 489 เรดนาเร็ด
ตอนที่ 489 เรดนาเร็ด
4 วันต่อมา
ณ สนามบินหลวงของอาณาจักรเทียนโลหิต
ในฐานะที่อาณาจักรเทียนโลหิตเป็นเพียงแค่อาณาจักรเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากพันธมิตร มันจึงทำให้สนามบินแห่งนี้เป็นเพียงแค่สนามบินที่เรียบง่าย แต่สิ่งที่ทำให้เซี่ยเฟยประหลาดใจคือพื้นของสนามบินที่ทำขึ้นมาจากโลหะผสมสีแดง
นี่คือเรดนาเร็ดซึ่งเป็นโลหะเบาเอาไว้สำหรับการสร้างยานรบ มันจึงเป็นโลหะที่มีราคาสูงมาก เซี่ยเฟยจึงไม่รู้ว่าทำไมอาณาจักรเทียนโลหิตถึงได้นำโลหะราคาสูงขนาดนี้มาปูพื้นของสนามบินเหมือนกับมันเป็นสิ่งของที่ไร้ค่า
“การเดินทางราบรื่นดีไหม?” คอนสแตนตินกล่าวขณะมองไปทางแวมไพร์ของเซี่ยเฟย
“ระหว่างทางเต็มไปด้วยแนวหินกรวดกับพายุแม่เหล็กไฟฟ้า นี่ถ้าหากว่าฉันไม่ได้แผนที่มาจากนาย บางทีฉันคงอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเดินทางมาจนถึงอาณาจักรของนายได้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อาณาจักรของพ่อฉันต่างหาก” คอนสแตนตินกล่าวแก้ไขคำพูดของเซี่ยเฟย
“ตอนนี้มันเป็นอาณาจักรของพ่อนาย แต่ในอนาคตมันก็ไม่มีอะไรแน่นอนนี่” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เราไปเที่ยวชมเมืองกันก่อนเถอะ แล้วตอนเย็นค่อยไปร่วมงานกินเลี้ยงต้อนรับนายกันทีหลัง พ่อฉันได้จัดงานเลี้ยงรับรองนายเป็นการส่วนตัว ว่าแต่นายไปได้ยานแครีเออร์มาจากไหน? มันทำให้พ่อฉันตกใจคิดว่าข้าศึกกำลังบุกมาหา”
“ในเมื่อฉันเดินทางมาที่นี่เพื่อคอยหนุนหลังนาย ฉันก็ต้องเดินทางมาอย่างยิ่งใหญ่สักหน่อยสิ ท้ายที่สุดตำแหน่งของนายก็มีประโยชน์สำหรับฉันด้วยเหมือนกัน คิดซะว่าเราเอื้ออำนวยซึ่งกันและกันไปดีกว่า” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คอนสแตนตินรู้ดีว่าคนอย่างเซี่ยเฟยไม่ใช่คนที่จะไว้ใจใครง่าย ๆ และเขาก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากการเป็นคนไว้ใจของเซี่ยเฟย ส่วนเหตุผลที่เซี่ยเฟยยอมช่วยเหลือเขาในครั้งนี้นั่นก็เพียงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น
หลังจากนั้นทหารในสนามบินก็ขับรถลอยเข้ามารับเซี่ยเฟย ซึ่งรถคันนี้ก็พอจะใช้งานได้เท่านั้นไม่ได้จัดว่าเป็นรถที่มีความหรูหราเมื่อเทียบกับรถของชนชั้นสูงในพันธมิตร
อย่างไรก็ตามคอนสแตนตินก็เป็นคนง่าย ๆ ตั้งแต่ที่เขาได้พบกับชายคนนี้ในการแข่งขันโกลเด้นฟิงเกอร์แล้ว ย้อนกลับไปตอนนั้นคอนสแตนตินแต่งตัวเหมือนกับเขาเพิ่งออกมาจากสลัมเท่านั้น และถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะอยู่ในดินแดนในฐานะของเจ้าชาย แต่เขาก็ไม่ได้แต่งตัวหรูหราอย่างที่ควรจะเป็น
ทหารคนนั้นยื่นกุญแจรถให้กับคอนสแตนติน ซึ่งเซี่ยเฟยก็ได้สังเกตพบว่าทหารทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีความพิการที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นคนแขนขาด, หัวขาดหรือตาบอด แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือพวกเขาต่างก็ล้วนแล้วแต่มีระดับพลังการต่อสู้ที่ค่อนข้างดี
“ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอาณาจักรเทียนโลหิตคืออาณาจักรต้องสาป ทุกคนในอาณาจักรนี้ที่มีพลังพิเศษต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนพิการ ส่วนคนที่ไม่พิการต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่คนธรรมดา”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเข้าไปในยานพาหนะพร้อมกับคอนสแตนติน จากนั้นรถคันนี้ก็เริ่มเร่งความเร็วเพื่อมุ่งหน้าสู่กลางเมือง
พื้นที่สองข้างทางเป็นเพียงแค่ดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าขึ้นมาสักต้นเดียว ผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนยากจนที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง และนี่ก็คือภาพแรกที่เขาต้องพบเจอหลังจากที่ได้เข้ามาในอาณาจักรที่ถูกเรียกขานกันว่าอาณาจักรต้องสาป
“ในอาณาจักรเทียนโลหิตมีดินแดนรกร้างอยู่มากขนาดนี้เลยเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“ดินในอาณาจักรเราไม่เหมาะสมที่จะทำการปลูกพืช พวกเราจึงไม่มีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงดูประชากรในอาณาจักร แต่โชคยังดีที่ในอาณาจักรของเรามีเรดนาเร็ดอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันเป็นโลหะที่นายเห็นบนพื้นสนามบินนั่นแหละ”
“ในทุก ๆ ปีพันธมิตรจะนำอาหารกับของใช้ในชีวิตประจำวันมาแลกเปลี่ยนกับโลหะพวกนั้น อาณาจักรเราจึงยังพอมีอาหารกับเครื่องใช้ดำรงชีวิตมาอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้” คอนสแตนตินกล่าว
“เรดนาเร็ดเป็นวัตถุดิบที่ดีที่มีเอาไว้ใช้สำหรับการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์ ราคาของมันในพันธมิตรจึงอยู่ในระดับที่แพงมาก แล้วถ้าหากว่าอาณาจักรเทียนโลหิตมีแร่มีค่าอยู่เยอะขนาดนี้ แล้วทำไมอาณาจักรของนายถึงยังจนอยู่ล่ะ?” เซี่ยเฟยกล่าว
“มันเป็นเพราะที่นี่คือดินแดนต้องสาปน่ะสิ ทุกคนในอาณาจักรต่างก็ล้วนแล้วแต่สืบทอดสายเลือดมาจากอาชญากรตั้งแต่สมัยโบราณ เหล่าบรรดาอดีตประธานาธิบดีของพันธมิตรจึงไม่เคยให้ความเชื่อถือสายเลือดของพวกเราเลย ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะมีโลหะมีค่าอยู่อย่างมากมาย แต่เราก็ถูกพันธมิตรกดราคาแร่พวกนั้นเอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก” คอนสแตนตินกล่าว
“แล้วพวกสินค้าลักลอบล่ะ? ถ้าหากอาณาจักรแลกเปลี่ยนแร่สัมฤทธิ์กับพวกพ่อค้าลักลอบ พวกนายก็อาจจะทำกำไรได้มากกว่าไม่ใช่เหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีเส้นสายของพันธมิตรอยู่ทั้งนั้นแหละ นอกจากนี้อาณาจักรเทียนโลหิตยังอยู่ไกล พวกพ่อค้าลักลอบจึงมักจะแลกเปลี่ยนสินค้ากับภูมิภาคดาวมฤตยูกับภูมิภาคดาวอ่าวปีศาจมากกว่าที่จะเลยมายังภูมิภาคดาวเหวทมิฬ” คอนสแตนตินกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและต้องยอมรับว่าภูมิภาคดาวอยู่ห่างไกลจากพันธมิตรมากที่สุดจริง ๆ นอกจากนี้ตำแหน่งของอาณาจักรเทียนโลหิตยังอยู่ห่างไกลจากภูมิภาคดาวเหวทมิฬไปอีก ซึ่งถ้าหากว่าพวกพ่อค้าไม่มีแผนที่เส้นทางการเดินทางเหมือนกับที่คอนสแตนตินได้ให้เขามา มันก็จะยิ่งให้การเดินทางเข้ามาในอาณาจักรเทียนโลหิตกลายเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มาค้าขายในอาณาจักรเทียนโลหิตจึงมีเพียงแต่กองยานการค้าอย่างเป็นทางการของพันธมิตรเท่านั้น ส่วนพวกลักลอบขายสินค้าก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในดินแดนต้องสาปแห่งนี้เลย
เซี่ยเฟยมองออกไปยังดินแดนอันแห้งแล้งนอกหน้าต่างพร้อมกับไอเดียต่าง ๆ ที่เริ่มผุดขึ้นมาภายในหัว
“ในเมื่ออาณาจักรเทียนโลหิตมีโลหะคุณภาพสูงเป็นจำนวนมากขนาดนี้ นายสนใจมาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนเรดนาเร็ดกับเสบียงในชีวิตประจำวันกับฉันไหม?” เซี่ยเฟยกล่าว
“เรื่องนั้นมันก็เป็นความคิดที่ดี แต่เรดนาเร็ดเป็นโลหะคุณภาพสูงที่มีการจำกัดการซื้อขายในพันธมิตรเอาไว้ ดังนั้นนายอย่าเอาตัวเข้ามาเสี่ยงในเรื่องนี้จะดีกว่า” คอนสแตนตินกล่าว
“ใครบอกว่าฉันจะนำโลหะพวกนั้นเข้าไปในพันธมิตรล่ะ การก่อสร้างในภูมิภาคดาวเหวทมิฬจำเป็นจะต้องใช้โลหะเป็นจำนวนมาก แต่เหมืองภายในภูมิภาคดาวกับโรงงานแปรรูปโลหะยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง พวกเราจึงต้องการที่จะนำเข้าเรดนาเร็ดเอาไปใช้ในงานก่อสร้างก่อน”
“ถึงแม้ว่าการใช้เรดนาเร็ดในการก่อสร้างจะค่อนข้างฟุ่มเฟือยไปบ้าง แต่มันก็พอจะเอามาใช้แก้ขัดได้ใช่ไหมล่ะ? ถึงยังไงพวกนายก็ใช้โลหะพวกนั้นปูพื้นสนามบินอยู่แล้ว ดังนั้นมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าหากว่าฉันจะเอาพวกมันมาใช้ในการสร้างอาคาร” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นความคิดที่ดีนี่! น่าเสียดายที่อาณาจักรเทียนโลหิตไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีเหมือนกับนาย ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะสร้างอาณาจักรขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ได้บ้าง คืนนี้นายค่อยคุยรายละเอียดการแลกเปลี่ยนกับพ่อฉันก็แล้วกัน” คอนสแตนตินกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“คนคุยไม่ใช่ฉันแต่เป็นนายต่างหาก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ฉัน?”
“ใช่ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่นายจะต้องสะสมฐานอำนาจ และการค้าขายกันในครั้งนี้ก็จะช่วยเติมเต็มอำนาจของนายในสายตาของพ่อนายได้เหมือนกัน”
ทันใดนั้นคอนสแตนตินก็ตระหนักว่าเซี่ยเฟยกำลังพยายามหาทางช่วยเขาอยู่ และถ้าหากว่าเขาสามารถทำข้อตกลงซื้อขายครั้งนี้ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มันก็จะเพิ่มโอกาสให้เขากลายเป็นรัชทายาทคนสำคัญในอนาคต
“ใช้เรดนาเร็ดมาสร้างบ้านงั้นเหรอ? ถ้าหากว่าใครเชื่อนาย คนพวกนั้นก็คงจะโง่มากแล้วล่ะ นายคิดจะเก็บโลหะพวกนั้นเอาไว้ใช้ในอนาคตใช่ไหมล่ะ? ถ้าหากวันไหนนายเก็บสะสมพวกมันได้มากพอ นายก็คงจะเอาพวกมันมาสร้างชิ้นส่วนของไททันใช่ไหม?” อันธคาดเดาความคิดของเซี่ยเฟย
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มโดยไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะท้ายที่สุดแผนการสร้างยานไททันก็ยังคงอยู่ภายในใจของเขาเสมอ
ท้ายที่สุดไททันย่อมกลายเป็นฐานอำนาจสำคัญในอนาคตให้กับเขาได้อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากว่าแม้แต่ผู้ใช้กฎก็ยังเกรงกลัวการมีอยู่ของยานลำนี้ มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าไททันคือยานรบที่มีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน
เซี่ยเฟยมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้คอนสแตนตินทันทีที่เขาเดินทางมาถึง ว่าที่ราชาแห่งอาณาจักรต้องสาปจึงพาชายหนุ่มเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม และเมื่อรถลอยของพวกเขาได้แล่นเข้าสู่ตัวเมือง ทหารประจำประตูก็ทำความเคารพก่อนที่จะปล่อยพวกเขาเข้าไปยังด้านใน
“แม้แต่กำแพงเมืองก็ยังถูกสร้างขึ้นมาจากเรดนาเร็ดงั้นเหรอ? ภายในอาณาจักรนายมีโลหะนี้อยู่มากขนาดไหนกันแน่!” เซี่ยเฟยอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ในอาณาจักรของเรามีดาวมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 3 ดวงเท่านั้น และโลหะส่วนใหญ่ที่ขุดได้จากอาณาจักรของเราก็คือเรดนาเร็ดพวกนี้นี่แหละ เรดนาเร็ดเลยกลายเป็นของธรรมดาในสายตาของชาวบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกำแพง, บ้านเรือนหรือของใช้ในชีวิตประจำวันต่างก็ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหะนี้ทั้งหมด” คอนสแตนตินกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เซี่ยเฟยมองออกไปนอกหน้าต่างและได้พบว่าทุก ๆ อย่างต่างก็ถูกทำขึ้นมาจากเรดนาเร็ดอย่างที่คอนสแตนตินได้บอกเอาไว้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ, เก้าอี้, ป้ายหรือบ้านเรือนต่างก็ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหะล้ำค่านี้ด้วยกันทั้งหมด
น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถผลิตโลหะล้ำค่าออกมาได้เป็นจำนวนมาก แต่สภาพความเป็นอยู่ภายในเมืองกลับจัดอยู่ในระดับที่ทรุดโทรม ทั่วทุกมุมของเมืองจึงมีขอทาน, คนเมาและโสเภณีอยู่ทั่วทุกแห่ง ถึงขนาดที่ว่ามีคนหยิบมีดออกมาต่อสู้กันกลางถนน โดยที่มีทหารยืนมองดูพวกเขาโดยไม่เข้าไปห้ามปรามหรือทำอะไร
“ในอาณาจักรของเราการต่อสู้แบบตัวต่อตัวแบบนั้นเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีการฆ่ากันเกิดขึ้นแต่คนฆ่าก็ไม่จำเป็นต้องติดคุก ส่วนคนแพ้ก็จะถูกทุกคนเยาะเย้ย นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้อ่อนแอ”
“ด้วยกฏหมายข้อนี้เองมันเลยทำให้ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งในอาณาจักรของเรา และมันก็ทำให้นักสู้ภายในอาณาจักรของเราต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ระดับสูงทั้งหมด นายลองสังเกตขอทานข้างถนนหรือพวกขี้เมาตามข้างทางให้ดี ๆ บางทีคนพวกนั้นก็อาจจะเป็นทหารเก่าที่ขี้เกียจทำงานแล้วใช้ชีวิตอย่างเสเพลก็ได้” คอนสแตนตินกล่าว
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมมันไม่มีใครคิดที่จะเข้ามาแย่งชิงอาณาจักรนี้ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะยึดครองอาณาจักรเทียนโลหิตได้ แต่พวกเขาก็คงจะไม่สามารถจัดการกับคนท้องถิ่นที่นี่ทั้งหมดได้อย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ว่าแต่ทั้ง ๆ ที่อาณาจักรเทียนโลหิตมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง แล้วทำไมพวกนายถึงไม่เคยมีความคิดที่จะไปรุกรานอาณาจักรอื่นเพื่อแย่งชิงทรัพยากรกลับมาบ้างล่ะ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“สาเหตุที่พวกเราถูกเรียกว่าดินแดนต้องสาป นั่นก็เพราะหอคอยแห่งคำสาปทางทิศตะวันตกห่างจากที่นี่ไปประมาณ 600 กิโลเมตรคือผู้มอบพลังให้กับพวกเรา ด้วยการมีอยู่ของหอคอยแห่งคำสาปนี้มันจึงทำให้อาณาจักรของเรามีนักสู้ที่แข็งแกร่งอยู่เป็นจำนวนมาก”
“แต่ถ้าหากว่าเราออกห่างหอคอยนี้มากเกินไป พวกเราก็จะสูญเสียพลังไปด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถ้าหากว่าเราออกไปนอกดินแดนพวกเราก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาที่ไม่มีพลังในการสู้รบใด ๆ เลย” คอนสแตนตินกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังท้องฟ้าทางทิศตะวันตก
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเขาไม่รู้ว่าหอคอยอะไรที่ถึงขั้นสามารถมอบพลังให้มนุษย์ได้ และพลังพวกนั้นจะหายไปถ้าหากว่าพวกเขาอยู่ห่างจากหอคอยมากเกินไป
“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
“นั่นก็เพราะพลังพิเศษของพวกเราไม่ได้มาจากการฝึกฝนหรือการดื่มน้ำยาปรับสภาพยีน แต่พวกเราได้แลกเปลี่ยนพลังมาจากหอคอยแห่งคำสาป”
“หลังจากทารกคลอดออกมาจากท้องแม่ ทุกคนจะถูกส่งไปที่หอคอยแห่งคำสาปอย่างไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งถ้าหากว่าร่างกายของใครพิการกลับมามันก็แสดงว่าคำสาปของหอคอยสัมฤทธิ์ผลแล้ว”
“ความจริงมันเป็นเหมือนกับพวกเราได้ใช้อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายเพื่อแลกเปลี่ยนพลังพิเศษมา แต่เนื่องจากอาณาจักรเราบูชาแต่เพียงคนแข็งแกร่งเท่านั้น เด็กทุกคนจึงถูกส่งตัวไปแลกเปลี่ยนพลังพิเศษนับตั้งแต่วันที่พวกเขาลืมตาขึ้นมาดูโลก”
“หากเด็กคนไหนได้รับพลังพิเศษครอบครัวของพวกเขาก็จะดีใจที่ได้รับนักสู้เพิ่มเข้ามาในครอบครัวอีกคน แต่ถ้าหากว่าเด็กคนไหนไม่ได้รับพลังพิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้กลับไป ส่วนใหญ่เด็กพวกนั้นก็จะถูกทอดทิ้งกลายเป็นเด็กเร่ร่อนและเสียชีวิตในเวลาต่อมา นี่แหละคือชะตากรรมที่ประชาชนของอาณาจักรต้องสาปต้องพบเจอ” คอนสแตนตินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหดหู่
เซี่ยเฟยพยักหน้าอย่างยอมรับว่าเพื่อการพยายามเอาชีวิตรอดในดินแดนอันห่างไกลแห่งนี้ ประชาชนภายในอาณาจักรจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจำเป็นจะต้องแลกเปลี่ยนอวัยวะบางอย่างเพื่อให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปในอนาคต บางทีอาจจะด้วยเหตุผลนี้นี่เองมันจึงทำให้อาณาจักรเทียนโลหิตกลายเป็นดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง จนถึงขั้นที่อาณาจักรของพวกเขาได้รับขนาดนามว่าดินแดนต้องสาป
“ถ้ามีโอกาสฉันก็อยากจะลองไปสำรวจหอคอยแห่งคำสาปสักครั้งดูจริง ๆ” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองขณะมองออกไปยังท้องฟ้าระยะไกลในทิศตะวันตก
“หลังจากคุยกับพ่อคืนนี้แล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันจะพานายไปที่หอคอยแห่งคำสาปก็แล้วกัน”
***************