บทที่ 115 การติดตามผลการรักษา
บทที่ 115 การติดตามผลการรักษา
หลินเป้ยและหลิวเหยียนเดินออกจากห้อง ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังยืนอยู่ข้างนอกและเฝ้ารอดู
หลินเป้ยใช้เวลาเกือบชั่วยามในการรักษาหลิวหยิน
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้นำตระกูลหลิวถามทันที
“ท่านพ่อ สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม วิธีการของหลินเป้ยนั้นทรงพลังมาก” หลิวเหยียนพูดเป็นคนแรก
นางเฝ้าดูกระบวนการรักษาทั้งหมด และตอนนี้อาการของหลิวหยินคงที่ชั่วคราว และนางไม่ปล่อยอากาศหนาวเย็นอีกต่อไป
“นายน้อยหลิน นี่เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?” ผู้นำตระกูลหลิวแสดงความสุขบนใบหน้าของเขา
โดยไม่คาดคิด หลินเป้ยมีความสามารถในการรักษาหลิวหยิน บุตรสาวของเขา
“สถานการณ์ยังทรงตัวอยู่ในขณะนี้ แต่ยังจำเป็นต้องติดตามผลการรักษา” หลินเป่ยกล่าว
สายเลือดยังไม่ถูกปลุกให้ตื่น เรื่องจึงยังไม่จบ
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของหลินเป้ย พวกเขาทั้งหมดก็เข้าไปในห้องเพื่อดูว่าหลิวหยินเป็นอย่างไร
ส่วนปรมาจารย์หวัง ก็เข้าไปด้วยท่าทีสงสัยเป็นอย่างมาก
เขาไม่เชื่อว่าหลินเป้ยจะคิดหาวิธีรักษาได้จริงๆ
ทันทีที่ทุกคนเข้าไปในห้อง พวกเขาพบว่าอุณหภูมิไม่ได้เย็นมากเหมือนก่อนหน้านี้ และร่างกายของหลิวหยินก็ไม่ปล่อยอากาศหนาวเย็นออกมาอีก แถมใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อด้วย
สีหน้านางดูดีขึ้นมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หลินเป้ยสามารถรักษาได้
เพียงแต่หลิวหยินยังอยู่ในอาการโคม่า และยังไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
“ฮึ่ม โรคนี้อยู่ภายใต้การควบคุมเพียงชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ และผู้ป่วยยังไม่ฟื้นขึ้นมา” ปรมาจารย์หวังแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลมจะเห็นว่า หลินเป้ยรู้วิธีรักษาจริงๆ
แต่ปรมาจารย์หวัง จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ
คนอื่นไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่หลินเป้ยสามารถทำได้
ในเรื่องนี้ คนอื่นๆ ไม่มีความสามารถเท่าหลินเป้ย
เมื่อปรมาจารย์หวังพูด ไม่มีใครสนใจเขา และเพิกเฉยต่อคำพูดของเขา
หลายคนเห็นว่า ปรมาจารย์หวังแค่อารมณ์เสีย
ท่าทีของทุกคน ทำให้ปรมาจารย์หวังรู้สึกโกรธมาก
คนกลุ่มนี้กล้าดูแคลนเขาได้อย่างไร?
เขาเป็นนักปรุงยาระดับ 4 เขาถูกเมินแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“การรักษายังไม่สิ้นสุด แน่นอนว่านางยังไม่ตื่น ข้าจะทำการรักษาต่อไปในภายหลัง” หลินเป่ยกล่าว
“ไอ้หนู เดิมพันระหว่างเราคือการรักษานาง เจ้าจะชนะก็ต่อเมื่อนางตื่น และมีสุขภาพดี ไม่เช่นนั้น ข้าจะชนะ!” ปรมาจารย์หวังเย้ยหยัน
ปรมาจารย์หวังสามารถเห็นได้อย่างเป็นธรรมชาติว่า สถานการณ์ของหลิวหยินนั้น คงที่เพียงชั่วคราว
หากไม่มีวิธีอื่น สถานการณ์ของหลิวหยินจะเป็นอันตรายมากขึ้นในไม่ช้า
เขาไม่เชื่อว่าหลินเป้ย จะสามารถแก้ปัญหาของหลิวหยินได้อย่างสมบูรณ์
“เจ้าพูดถูก ข้าจะรักษานางและทำให้นางแข็งแรง ข้าจะทำให้เจ้าสูญเสียอย่างสมบูรณ์ เจ้าจะไม่ได้เงินจากการค่าปรึกษาแม้แต่ตำลึงเดียว” หลินเป้ยพูดอย่างเย็นชา
“ถ้าอย่างนั้นเรามารอดู ข้ากลัวแค่ว่า เจ้าจะไม่มีความสามารถ!” ปรมาจารย์หวังแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เขาจะรอดูว่า หลินเป้ยเสียใจแค่ไหน เมื่อเขาเสียเงิน 2 ล้านตำลึง
ทั้งซุนซิงและฟางหยาน ต่างมองไปที่หลินเป้ยในเวลานี้
ชายหนุ่มผู้นี้ มีความสามารถมากทีเดียว!
ตอนนี้หลินเป้ยสามารถทำสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ พวกเขาจึงให้ความสนใจกับหลินเป้ย และปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมกัน
“ทุกคนรออยู่ข้างนอกก่อน อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของแม่นางหลิว ข้าสามารถรักษานางได้อย่างแน่นอน ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง” หลินเป่ยกล่าว
ตอนนี้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมชั่วคราว การปลุกสายเลือดจึงไม่ใช่เรื่องยาก
หลินเป้ยสามารถช่วยปลุกสายเลือดระดับเทพเจ้าของหลินหลิงเอ๋อได้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ แค่สายเลือดระดับ 7 มันไม่สามารสร้างความยุ่งยากให้หลินเป้ยได้
ทุกคนได้ยินคำพูดนั้น และออกจากห้องไปทีละคน ในสนามด้านนอก ทุกคนรออย่างเงียบๆ เพื่อรอวัสดุที่หลินเป้ยสั่งไว้
ปรมาจารย์หวังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เขายืนอยู่ตรงนั้นผู้เดียว ไม่มีใครคุยกับเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเบื่อ
แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็รู้สึกหนักอึ้ง และไม่ได้พูดอะไรกันมาก
ในไม่ช้า คนรับใช้ของตระกูลหลิวก็ซื้อของกลับมา
ทันทีที่ของอยู่ในมือ หลินเป้ยก็พูดว่า "รอข้าสักครู่ ข้าจะเตรียมการบางอย่าง ผู้นำตระกูลหลิว ท่านช่วยจัดห้องให้ข้าได้ไหม?"
“ตกลง โปรดตามข้ามา” ผู้นำตระกูลหลิวกล่าวอย่างรวดเร็ว
หลินเป้ยจำเป็นต้องทำให้วัสดุเหล่านี้ เพื่อทำเป็นธงรูปแบบค่ายกล ซึ่งจะช่วยให้หลิวหยินปลุกสายเลือดของนางได้
ยังมีเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วยามจะถึงเที่ยงวัน เที่ยงวันเป็นเวลาที่พลังหยางถึงจุดสูงสุด และสายเลือดของหลิวหยิน มีคุณลักษณะเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นเที่ยงวัน จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการปลุกสายเลือด
ปราณหยางนั้นแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถระงับคุณสมบัติน้ำแข็งของสายเลือดได้ดี
ด้วยวิธีนี้ ความหกดันของหลินเป้ย จะลดลงอย่างมาก
หัวหน้าตระกูลหลิว พาหลินเป้ยไปที่เรื่อนอีกหลังหนึ่ง และเขาอยู่ด้านในเรื่อนเพียงคนเดียว เพื่อทำธงรูปแบบค่ายกล และแกะสลักรูปแบบจิตวิญญาณบนธงค่ายกล
มือของหลินเป้ยไม่ว่าง เขาวาดรูปแบบจิตวิญญาณอย่างอดทน
เนื่องจากสายเลือดระดับ 7 ของหลิวหยิน ไม่จำเป็นต้องปกปิดกลิ่นอายลมปราณของนาง
ดังนั้นภาระงานของหลินเป้ย จึงไม่ใหญ่เกินไป
เมื่อเทียบกับการเตรียมช่วยหลินหลิงเอ๋อครั้งก่อน ครั้งนี้ง่ายกว่ามาก
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม หลินเป้ยก็พร้อมทุกอย่างในที่สุด
หลินเป้ยเปิดประตู เขาดูท่าทางเหนื่อยเล็กน้อย
“นายน้อยหลิน ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไปดี” ผู้นำตระกูลหลิวถามหลินเป่ย เมื่อเห็นหลินเป่ยออกมา
“พาแม่นางหลิว ไปยังที่โล่งทันที มันต้องการแสงแดดเพียงพอ ข้าต้องจัดขบวนค่ายกลเพื่อช่วยนางปลุกสายเลือด ตราบใดที่ทำสำเร็จ โรคของนางจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต” หลินเป้ยตอบ
“เร็วเข้า พาคุณหนูสองไปที่ลานบ้าน” ผู้นำตระกูลหลิว สั่งคนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาทันที
คนรับใช้ได้ยินดังนั้นก็ลงไปทำงาน
พวกเขาเคลื่อนย้ายหลิวหยินออกมา รวมทั้งเตียง และร่างของนางด้วย
พื้นที่ของตระกูลหลิวนั้นกว้างขวางมาก โดยปกติแล้ว สนามที่วางหลิวหยินนั้น เป็นสถานที่สำหรับทุกคนในตระกูลหลิว เพื่อพักผ่อน
ซุนซิงไม่ได้จากไปทันที เขายังต้องการดูว่า หลินเป่ยมีวิธีรักษาหลิวหยินอย่างไร
ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถเรียนรู้ประสบการณ์บางอย่าง เมื่อเขาพบสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต เขาจะได้รู้วิธีเช่นกัน
นี่คือเหตุผล ว่าทำไมการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด หลินเป้ยรู้ในสิ่งที่เขาไม่ รู้ดังนั้นเขาจะเรียนรู้จากหลินเป้ย
ในเวลาเดียวกัน ความคิดของซุนซิงก็มุ่งมั่นขึ้น ในการแนะนำหลินเป้ยให้กับผู้นำศาลาว่านเป่า
อัจฉริยะเช่นนี้จะไม่น่าเสียดายเลยหรือ หากพลาดเขาไป?
เมื่อหลินเป้ยมาถึงบริเวณนั้น หลิวหยินได้ถูกวางไว้ในพื้นที่เปิดโล่งแล้ว
ปรมาจารย์หวัง ซุนซิง ฟางเหยียน หลิวหยาน และคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ทั้งหมด
สำหรับหลิงจง และคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลหลิว เพราะพวกเขามีบางอย่างที่ต้องจัดการ
หลินเป้ยดูภูมิประเทศ และมีแผนการในใจ
หลินเป้ยหยิบดาบชางเย่วออกมา และเจาะรูบนพื้น โดยตั้งใจที่จะตั้งธงขบวนค่ายกล
ที่นี่ว่างเปล่า และยังไม่ได้ปูด้วยหิน แต่มันก็ยังเป็นโคลน
พื้นที่บางส่วนลาดยาง แต่ไก็ม่กว้างนัก
"เจ้ากำลังทำอะไรที่นี่? เจ้ากำลังโอ้อวดสิ่งใดให้เราเห็นงั้นหรือ?" ปรมาจารย์หวังที่อยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจว่าหลินเป่ยกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงเยาะเย้ยหลินเป้ย
หลินเป้ยเคยเยาะเย้ยเขาหลายครั้งก่อนหน้านี้ และตอนนี้เมื่อเขามีโอกาส
เขาก็ต้องการเยาะเย้ยหลินเป้ยอีกสักครั้ง
ในตอนนี้ ตระกูลหลิวจะไม่อนุญาตให้เขาโจมตีหลินเป้ยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงเยาะเย้ยหลินเป้ย เพื่อให้เขารู้สึกต้องทนทุกข์ทรมาน!