ตอนที่ 483 ความลับที่ก้นบ่อ
ตอนที่ 483 ความลับที่ก้นบ่อ
ลำแสงทั้งเจ็ดพุ่งออกไปพันธนาการร่างของปลาบินขนาดยักษ์เอาไว้ แต่โชคไม่ดีที่สัตว์อสูรตัวนี้ทรงพลังมาก เหล่าบรรดาผู้บุกรุกจึงค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมปลาบินไปเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นเองหลี่ฉางหลงก็เริ่มทำการเคลื่อนไหว โดยการอ้าปากปล่อยคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นพุ่งจู่โจมเข้าใส่สัตว์อสูรด้วยความรวดเร็ว
วึ่ง!
เมื่อถูกโจมตีปลาบินก็ทวีความดุร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันก็พยายามดิ้นรนอยู่ในอากาศอย่างสิ้นหวังเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของมนุษย์
หลี่ฉางหลงยังคงปล่อยคลื่นเสียงที่รุนแรงออกจากลำคอของเขาต่อไป โดยคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นมานี้มีคลื่นความถี่สูงเกินกว่าการรับรู้ของมนุษย์ แต่มันก็เป็นคลื่นเสียงที่อันตรายถึงขนาดที่สามารถบดขยี้อวัยวะภายในของมนุษย์ลงได้อย่างง่ายดาย
สถานการณ์ระหว่างปลาบินกับมนุษย์ค่อย ๆ เข้าใกล้ความสมดุลย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะพยายามมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังไม่มีท่าทีที่จะชนะอีกฝ่ายในเวลาอันสั้นได้เลย
ภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้เป็นภาพที่แปลกประหลาดมาก เพราะมันได้มีปลาตัวใหญ่ถูกพันธนาการด้วยลำแสงลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่มนุษย์ที่ถือเครื่องยิงลำแสงทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพสะบักสะบอมไม่แตกต่างกัน
ส่วนทางด้านหลี่ฉางหลงก็ไม่ได้มีสภาพดีไปมากกว่ากัน เพราะเขาจำเป็นจะต้องปล่อยคลื่นเสียงออกมาจู่โจมปลาบินอย่างต่อเนื่องจนไม่ได้มีเวลาให้พักผ่อนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ทันใดนั้นเองเซี่ยเฟยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากป่าอย่างช้า ๆ พร้อมกับปรบมือและส่งรอยยิ้มให้กับทุกคน
“เดี๋ยวก่อน! ใจเย็น ๆ ถ้าหากว่าเราปล่อยให้สัตว์อสูรตัวนี้หลุดไป พวกมันจะกินพวกเราทุกคน” ชายชุดดำส่งเสียงตะโกน ซึ่งเขาก็น่าจะเป็นคนที่มีความอาวุโสสูงสุดรองลงมาจากหลี่ฉางหลง
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะถ้าหากว่าพวกเขา 1 ใน 8 เคลื่อนไหวผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว มันก็อาจจะทำให้ปลาบินในอากาศหลุดพ้นจากพันธนาการได้ในทันที
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าเหล่าบรรดาผู้บุกรุกจะมองเห็นเซี่ยเฟยเดินออกมาจากป่า แต่มันก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรชายหนุ่มคนนี้ได้
เซี่ยเฟยเดินเข้าหาชายตัวใหญ่ผิวดำกับหลี่ฉางหลงที่ถูกสะพายเอาไว้ทางด้านหลังด้วยรอยยิ้ม ซึ่งทุกก้าวที่เขาได้ก้าวเดินเข้าไปนั้นได้สร้างแรงกดดันให้กับพวกผู้บุกรุก จนทำให้มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มทั้งใบหน้าของพวกเขา
“นายเป็นใคร?” ชายผิวดำร่างใหญ่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“พวกแกไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันเป็นใคร เชิญพวกแกทำธุระของตัวเองต่อไปเถอะ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบอย่างเฉยเมย
“เขาคือเซี่ยเฟย! เขาคือเซี่ยเฟยที่บุกเข้าไปในดินแดนเซิร์กเพียงลำพัง ฉันเคยเห็นเขาในหน้าจอทีวี” ทันใดนั้นชายผิวขาวคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็ส่งเสียงตะโกนขึ้นมา
มนุษย์ทุกคนในพันธมิตรต่างก็ล้วนแล้วแต่เคยเห็นเซี่ยเฟยในหน้าจอทีวีมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากว่าภายในทีวีมีการใส่ฟิลเตอร์เข้าไปหลายชั้นหน้าของเซี่ยเฟยในทีวีจึงดูหล่อกว่าปกติอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีคนสามารถจดจำเขาได้แม้ว่าในตอนนี้เขาจะสวมแว่นมองกลางคืนอยู่ก็ตาม
“เขาคือวีรบุรุษจากสงครามงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงจะไม่มีวันใช้ประโยชน์จากความอันตรายของคนอื่นสินะ” ชายร่างใหญ่พยายามพูดดักทางเอาไว้ไม่ให้เซี่ยเฟยทำการเคลื่อนไหวในระหว่างที่พวกเขาพยายามพันธนาการปลาบินบนท้องฟ้า
“พวกแกคิดจะท้าทายฉันงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปในทันที ทันใดนั้นเขาก็สะบัดดาบดราก้อนสเกลออกไปในแนวนอนสะบั้นหัวของชายคนหนึ่งจนหลุดออกมากลิ้งลงกระทบกับพื้น
ก่อนหน้านี้ผู้บุกรุกทั้งแปดคนต้องอาศัยความพยายามอย่างหนักในการพันธนาการร่างของปลาบินเอาไว้ และเมื่อหนึ่งในพวกเขาได้เสียชีวิตลงแรงกดดันที่พวกเขาได้รับก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมหาศาล
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการลงมือของเซี่ยเฟยมากที่สุดคือหลี่ฉางหลง ผู้ที่ต้องพยายามปล่อยคลื่นเสียงออกมาอย่างหนักจนทำให้มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาทั่วทั้งใบหน้า
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเห็นได้ชัดว่าเซี่ยเฟยไม่ใช่เพียงแค่คนบ้าที่กล้าบุกเข้าไปในดินแดนเซิร์กเพียงลำพัง แต่เขายังเป็นปีศาจที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นปลาบินหรือเซี่ยเฟยต่างก็สร้างแรงกดดันให้กับเหล่าบรรดาผู้บุกรุกอย่างมหาศาล และการปรากฏตัวของเซี่ยเฟยก็ไม่ต่างไปจากการทรมานพวกเขาทางอ้อมเลย เพราะไม่ว่าพวกเขาจะถูกสัตว์อสูรกินหรือถูกเซี่ยเฟยสังหาร ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางที่พวกเขาไม่ต้องการทั้งนั้น มันจึงทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“นายจะเสียเวลาพูดกับพวกมันไปทำไม? ฆ่าพวกมันไปให้หมดซะก็สิ้นเรื่อง” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างรำคาญ
ในความจริงเซี่ยเฟยก็มีความคิดที่จะสังหารผู้บุกรุกทั้งหมดเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขารู้สึกว่าการลงมือสังหารในครั้งเดียวเป็นสิ่งที่ง่ายเกินไป เขาจึงปรากฏตัวขึ้นมาสร้างแรงกดดันให้คนพวกนี้รู้สึกทรมานเล่น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะถูกฆ่าตาย
แต่ในทันใดนั้นเองมันก็ได้มีเสียงของชายชราดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา
“อะไรกัน! นี่ครั้งนี้ฉันก็มาสายอีกแล้วงั้นเหรอ?”
ทันทีที่พูดจบหยูจื่อเทาก็ปรากฏตัวที่ข้างบ่อน้ำด้วยความตื่นตระหนก พร้อมกับนำมือทั้งสองข้างมากุมหัวอย่างหงุดหงิดตัวเอง
“ฉันกะจะพักสายตาแค่แป๊บเดียวแต่ฉันกลับเผลอหลับไป ตอนนี้พวกตระกูลซุนอยู่ที่ไหน? อย่าบอกนะว่าพวกเขาตายไปหมดแล้ว?!” หยูจื่อเทาถามอย่างเร่งรีบ
เซี่ยเฟยแบะริมฝีปากออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนิสัยการมาสายของชายชราคนนี้ถึงกับทำให้เขาพูดไม่ออกจริง ๆ เขาไม่รู้เลยว่าชายชราคนนี้อยู่ในองค์กรลึกลับอย่างฟราเทอนิตี้ได้ยังไง หรือแค่ขอให้มีเส้นสายไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถดำรงตำแหน่งสำคัญในสมาพันธ์นั้นได้แล้ว
“คุณตามาช้าไปหน่อยนะครับ ตระกูลซุนถูกคนพวกนี้ฆ่าตายไปหมดแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกางฝ่ามือทั้งสองข้างออก เพื่อจะบอกว่าเขาก็ทำอะไรจากเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน
แม้ว่าชายผิวดำต้องการจะโต้แย้งแต่พวกเขาก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ เพราะพวกเขาวางแผนที่จะใช้คนจากตระกูลซุนเป็นเหยื่อล่อปลาตัวนี้จริง ๆ แต่ในช่วงเวลาสำคัญจู่ ๆ คนพวกนั้นกลับหายตัวไปอย่างกะทันหัน นั่นก็เพราะว่าเซี่ยเฟยลงมือได้รวดเร็วมากจนทำให้ไม่มีใครเห็นว่าครอบครัวตระกูลซุนหายตัวไปไหนกันแน่
“ไอ้พวกสารเลว! พวกแกจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!!” หยูจื่อเทาส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโมโห
“คุณตาผมฝากจัดการคนพวกนี้ด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการกับปลาตัวนั้นเอง” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ไอ้พวกชั่ว! ตายไปซะ!!” หยูจื่อเทาคิดว่าเพราะเขามาสายมันจึงทำให้เขาไม่สามารถช่วยเหลือตระกูลซุนเอาไว้ได้ทัน มันจึงทำให้เขารู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
ไฟนรก!!
เปลวไฟสีน้ำเงินห่อหุ้มร่างของหยูจื่อเทาเอาไว้ในทันที และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เซี่ยเฟยได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชายชราคนนี้
“ตายไปซะให้หมด!”
พายุเปลวไฟอันโหมกระหน่ำกวาดล้างไปทั่วทั้งบ่อน้ำสีดำในทันที โดยมีร่างของชายชราเป็นจุดศูนย์กลางแผดเผาร่างของผู้บุกรุกจนกลายเป็นผงธุลี
ท่ามกลางเปลวเพลิงอันโหมกระหน่ำเซี่ยเฟยยังคงพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีเป้าหมายเป็นสัตว์อสูรที่ยังคงลอยอยู่กลางท้องฟ้า
“เปลี่ยน!”
ดาบดราก้อนสเกลได้ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นดาบยาวที่มีความยาวกว่า 1 เมตรครึ่งที่ถูกฟาดฟันออกไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ตูม!
ร่างของปลาบินตกลงไปในน้ำโดยมีร่างของเซี่ยเฟยแทงดาบค้างเอาไว้ที่หลังของมัน ขณะเดียวกันเปลวไฟที่หยูจื่อเทาได้ปลดปล่อยออกมาทำให้ปลาตัวนี้รับรู้ถึงอันตรายจากสัญชาตญาณ มันจึงพยายามว่ายน้ำหนีไปแม้ว่าจะมีดาบของเซี่ยเฟยปักค้างอยู่ที่หลังก็ตาม
ระบบช่วยหายใจของชุดต่อสู้เริ่มทำงานในทันทีเพื่อผลิตอากาศจากออกซิเจนภายในน้ำ เพื่อให้เซี่ยเฟยสามารถหายใจในน้ำได้เสมือนหนึ่งว่าเขายังคงอยู่บนบก
“ทำไมนายถึงไม่ฆ่ามันล่ะ?” อันธถามด้วยความประหลาดใจ เพราะการสังหารสัตว์อสูรตัวนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เซี่ยเฟยกลับปล่อยให้มันลากร่างของเขาเข้าสู่ส่วนลึกของบ่อน้ำ
“ฉันอยากจะลองลงไปดูว่าแก่นชีวิตที่พวกนั้นพูดถึงมันคืออะไร?” เซี่ยเฟยตอบกลับอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าเขาได้วางแผนการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว
มนตราอสูร!
คลื่นพลังจิตจำนวนมากแล่นเข้าสู่สมองของปลาตัวนี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากผ่านการต่อสู้ไปแล้วหลายครั้ง ในที่สุดปลาบินตัวนี้ก็ยอมเป็นสัตว์พาหนะที่จะพาเซี่ยเฟยไปทุกที่ที่เขาต้องการ
“ไปที่ก้นบ่อเดี๋ยวนี้”
ปลาบินเริ่มทำตามคำสั่งของเซี่ยเฟยอย่างรวดเร็ว โดยการสะบัดครีบและหางพุ่งตัวตรงไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของบ่อน้ำอันกว้างใหญ่
บ่อน้ำแห่งนี้คล้ายกับขวดสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ยิ่งดำลึกลงมามากเท่าไหร่ พื้นที่ที่อยู่ด้านล่างก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งในเวลาเดียวกันความผันผวนของพลังงานก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาได้เคลื่อนที่เข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางของบ่อ
ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมองเห็นแสงสีขาวท่ามกลางน้ำสีดำ ซึ่งนอกเหนือจากปลาบินตัวนี้แล้วมันก็ไม่มีสัตว์ชนิดอื่นให้เห็นในพื้นที่บริเวณนี้เลย
“พลังงานที่ปล่อยแสงสีขาวออกมานั่นเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์มาก สัมผัสของพลังงานให้ความรู้สึกคล้ายกับหัวใจจักรวาล แต่มันก็มีคลื่นพลังงานรุนแรงกว่าหัวใจจักรวาลสีม่วงหลายเท่า” อันธกล่าวอธิบาย
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะกดฝ่ามือลงบนหลังของปลาบิน ต่อมาคลื่นพลังจิตก็ถูกส่งออกไปมากยิ่งขึ้นจนทำให้ปลาตัวนี้กระตุกด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าสมองของมันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ดูเหมือนว่านายจะเชี่ยวชาญการใช้มนตราอสูรมากขึ้นเรื่อย ๆ นะ ถ้าหากว่านายยังคงพัฒนาแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานก็คงจะมีสัตว์อสูรเพียงแค่ไม่กี่ตัวที่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือของนายไปได้” อันธกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยินดี
เซี่ยเฟยไม่ได้สนใจคำชมพวกนี้ เพราะถึงแม้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะมีขนาดที่ใหญ่มาก แต่ระดับพลังของมันกลับเทียบไม่ได้กับขนอุย ดังนั้นการพยายามระเบิดสมองของมันจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับเขาเลย
หลังจากจัดการกับสัตว์อสูรตัวนี้เรียบร้อยแล้วเซี่ยเฟยก็รีบว่ายน้ำอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ว่าเขาจะเคลื่อนไหวอยู่ภายในน้ำแต่พลังพิเศษความเร็วของเขาก็ยังคงใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งในความเป็นจริงการที่เขาลงมาว่ายน้ำเองมันก็ทำให้เขาเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าการเกาะหลังปลาบินเสียอีก
ไม่นานหลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็เคลื่อนที่มาจนถึงก้นบ่อได้สำเร็จ และสิ่งที่เขาเห็นมันก็ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือยานอวกาศโบราณที่จมลงไปใต้พื้นทราย เผยให้เห็นเพียงแค่พื้นที่ส่วนหลังของยานที่ได้รับความเสียหายและมีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นมาจากภายในยานอวกาศลำนี้
“ซากยานงั้นเหรอ?!” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นยานสำรวจในสมัยโบราณ ดูนั่นสิ! มันมีตราสัญลักษณ์ของสมาพันธ์นักสำรวจอยู่บนตัวยานด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังตราสัญลักษณ์ที่ยังคงหลงเหลือบนตัวยาน
“ถ้ายานลำนี้จมอยู่ในน้ำตั้งแต่สมัยโบราณ แล้วทำไมมันถึงไม่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่บนยานเลย? แม้แต่น้ำในบ่อก็เป็นสีดำทั้งหมดและพื้นที่บริเวณรอบ ๆ นี้ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นให้มองเห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฉันคิดว่าพลังงานที่ก้นบ่อมีมากเกินไปจนไปขัดขวางการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต บางทีปลาบินตัวนั้นอาจจะเกิดกระบวนการกลายพันธุ์ จึงทำให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่อาศัยอยู่ใกล้กับก้นบ่อได้” เซี่ยเฟยกล่าว
เมื่อเซี่ยเฟยเคลื่อนที่เข้าใกล้ยานโบราณมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนอุยที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดต่อสู้ของเซี่ยเฟยก็เริ่มมีท่าทางตื่นเต้นมากขึ้นเช่นเดียวกัน มันจึงพยายามมุดไปตามร่องชุดทุกซอกทุกมุมราวกับว่ามันต้องการจะกระโดดออกมาเพื่อกลืนกินพลังงานทั้งหมดตรงหน้านั้นเข้าไป
ผัวะ!
เซี่ยเฟยตบขนอุยเพื่อเตือนให้มันอยู่เฉย ๆ เพราะเขายังไม่รู้เลยว่ามันมีสมบัติอะไรซ่อนอยู่ในยานลำนั้นกันแน่ และเขาก็คงจะไม่มีทางปล่อยให้ขนอุยกินสมบัติชิ้นนั้นเข้าไป โดยที่เขายังไม่ได้ประเมินคุณค่าของมัน
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็รีบว่ายน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปในเศษซากของยานอวกาศลำนั้น ผ่านทางช่องว่างที่เสียหายในระหว่างที่ยังพุ่งลงมาตกกระทบลงพื้น
***************
ไอ้ก้อน! เอ็งจะกินทุกอย่างที่สนใจแบบนี้ไม่ได้นะ เจ็บกี่ทีก็ไม่เคยจำ 555