บทที่ 39 ให้เบาะแสกับลิ่วซ่านเหมิน
บทที่ 39 ให้เบาะแสกับลิ่วซ่านเหมิน
คนหลังค่อมตัวน้อยผู้นี้น่าสนใจจริงๆ เงินตั้งสิบตำลึง เขายังสามารถให้เป็นของขวัญได้
ด้วยเงินนี่ ข้าสามารถไปโรงเตี๊ยมจิ่วเซียนอีกครั้ง เพื่อรับประทานอาหารได้
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่ามีคนที่มีความสามารถเช่นนี้ในเมืองฉางอัน ที่สามารถสร้างนกจักรกลได้ จริงๆ แล้วเขาอาจเป็นทายาทของสำนักม่อเจีย ได้หรือไม่?
(สำนักความรักสากล ม่อเจีย (墨家,Mòjiā) ม่อจื่อ (墨子, Mòzǐ) อดีตขุนนางของรัฐซ่งยุคหลังเมื่อขงจื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว มีความสามารถทางด้านช่างและกลไกมาก)
หยางจิ่วนอนจนถึงเที่ยงของวันถัดไป
เมื่อเขาลุกขึ้น และเดินออกจากร้านเย็บศพ กานซือซือก็มาส่งซาลาเปา
ไม่ว่าหยางจิ่วจะตื่นกี่โมง ก็มีซาลาเปาเนื้อสีขาวแสนอร่อยให้กินอยู่เสมอ
ฉางกวนเฟิงแห่งร้านเย็บศพหมายเลขสอง กำลังดึงเข็มเหล็กที่แผงประตูออก สิ่งนี้ดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้ามาดู
ที่หัวมุมถนน เจ้าหน้าที่กำลังติดประกาศฉบับใหม่
ผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันที่นั่น เพียงหวังว่าจะทราบเนื้อหาของประกาศโดยเร็วที่สุด
ประกาศในครั้งนี้ถูกประกาศโดยลิ่วซ่านเหมิน เนื้อความว่า ใครก็ตามที่สามารถให้เบาะแสกับกล่องเงินบรรเทาทุกข์ได้ ตราบใดที่เบาะแสพบว่ามีประโยชน์ จะได้รับรางวัลเป็นเงิน 1,000 ตำลึง
ลิ่วซ่านเหมินเคยประกาศแบบนี้มาก่อน แต่ทุกคนรู้ว่า มันไม่ง่ายที่จะหาได้เงินรางวัล
หลังจากกินซาลาเปาเสร็จแล้ว หยางจิ่วก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดา หยิบดาบดื่มหิมะ และเดินไปที่ลิ่วซ่านเหมิน
ลิ่วซ่านเหมินอยู่ไม่ไกลจากสำนักตงฉ่าง หลังจากเดินไปไม่นาน เขาก็มาถึงลิ่วซ่านเหมินที่ดูสง่างาม
หลังจากขอให้เจ้าหน้าที่ ที่ประตูแจ้ง หยางจิ่วก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องโถงด้านข้างเพื่อดื่มชา
ทุกครั้งที่มีการติดป้ายประกาศ จะมีคนมาที่ลิ่วซ่านเหมินและพูดเรื่องไร้สาระ เพียงเพื่อที่จะโกงเงินรางวัล
แม้เจ้าหน้าที่ลิ่วซ่านเหมินจะรู้เรื่องนี้ แต่เมื่อมีคนมาให้ข้อมูล ลิ่วซ่านเหมินก็ยังจะเอาจริงเอาจัง
โดยเฉพาะตอนนี้ สี่มือปราบพญายมที่มีชื่อเสียงทั้งสี่ เพิ่งถูกหัวหน้ามือปราบ จูเก๋อเจิ้งเฉียงดุด่ามา ซึ่งทำให้พวกเขาทั้งหมดอารมณ์ไม่ดี
คดีโจรกรรมเงินบรรเทาทุกข์มาถึงทางตันแล้ว และจักรพรรดิกดดันพวกเขาอย่างหนัก จูเก๋อเจิ้งเฉียงอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงต้องถ่ายโอนแรงกดดันไปยังสี่มือปราบพญายมแห่งฉางอันเท่านั้น
เหลิงเสวียนเดินนำหน้า และทันทีที่เขาเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง เขาก็จำหยางจิ่วได้อย่างรวดเร็ว
"จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบา..." เหลิงเสวียนหันหลังกลับ และต้องการจะวิ่งหนี
หยางจิ่วยืนขึ้น และถามด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว: "หลังค่อมตัวน้อย เจ้ามาที่ลิ่วซ่านเหมินเพื่อรับรางวัลงั้นหรือ?"
หลังค่อมตัวน้อย?
อู๋จินและอู๋จี้ มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
เจี๋ยชิงรู้สึกสับสน!?
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสี่จะดีมาก พวกเขาก็ไม่กล้าเรียกว่าหลังค่อม(ถัวเป้)
บิดามารดาผู้ให้กำเนิดเหลิงเสวียนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เขาถูกเลี้ยงดูโดยพี่น้อง และถูกทรมานอย่างหนักตั้งแต่เด็ก และปัญหาหลังค่อมนี้ก็มาจากสาเหตุในตอนนั้นเช่นกัน
โดยปกติแล้วใครก็ตามที่กล้าพูดถึงคำว่า "หลังค่อม" กับเหลิงเสวียน เขาพุ่งเข้าเสี่ยงชีวิตทันที ไม่ว่ากับใครก็ตาม
"ใช่ ใช่แล้ว" ปฏิกิริยาเหลิงเสวียนทำให้มือปราบอีกสามคนตกใจ
เขาถูกเรียกว่า "หลังค่อม" เเหลิงเสวียนไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังดูประหม่าด้วย?
เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขามักจะเรียกมันผิด ดังนั้นจึงไม่ควรเรียกว่า "หลังค่อม(ถัวเป้)" แต่ควรเรียกว่า "หลังค่อมน้อย(เสี่ยวถัวเป้)"?
เหลิงเสวียนเดินช้าๆ และนั่งถัดจากหยางจิ่วคว้ากาน้ำชาและเทใส่ถ้วย ดื่มรวดเดียว แต่ก็ยังรู้สึกคอแห้ง
มีพิรุจ!?
เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอย่างแน่นอน
เจี๋ยชิงแค่คิดว่ามันน่าตลก เหลิงเสวียนที่เป็นแบบนี้ นางรู้สึกว่า เขาน่ารักอย่างอธิบายไม่ถูก!
"หลังค่อมตัวน้อยก็มาให้เบาะแสคดีเงินบรรเทาทุกข์ด้วยงั้นเหรอ?" หยางจิ่วถามอีกครั้ง
ในวันธรรมดาที่ลิ่วซ่านเหมิน สี่มือปราบพญายมไม่ชอบสวมเครื่องแบบทางการ และพวกเขาจะสวมชุดธรรมดาเมื่อต้องออกไปจัดการคดี
พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบทางการก็ต่อเมื่อ ในโอกาสสำคัญเท่านั้น
เหลิงเสวียนได้ยินดังนั้นก็บ่นพึมพำ: "เจ้าช่วยหยุดเรียกข้าว่า หลังค่อมตัวน้อยได้ไหม?"
“เห็นว่าเจ้ายังอายุไม่มาก ข้าเลยเรียกหลังค่อมน้อย หรือเป็นไปได้ไหมว่า เจ้าจะให้ข้าเรียกว่า เฒ่าหลังค่อม(เล่าถัวเป้)” หยางจิ่วพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม
เฒ่าหลังค่อม?
หลังค่อมน้อยยังฟังดูดีกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะมีผีอยู่ในใจ เหลิงเสวียนคงไม่อดทนขนาดนี้
ในฐานะหัวหน้าทีมมือปราบลิ่วซ่านเหมิน ขาทำอุบายเพื่อทำร้ายผู้คน ถ้าจูเก๋อเจิ้งเฉียงรู้เรื่องนี้ ก้นของเขา จะต้องถูกระเบิดอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(ก้นโดนฟาดนะครับ อย่าคิดมาก)
เมื่อเขาเห็นหยางจิ่วเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าหยางจิ่วมาที่นี่เพื่อฟ้องร้องเขาแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับเงินทำขวัญแล้ว แต่ก็ยังวิ่งมาที่ลิ่วซ่านเหมินเพื่อบ่น
มันจะมีคนหน้าด้านแบบนี้อยู่ในโลกได้อย่างไร?
เหลิงเสวียนรีบบอก: "หลังค่อมน้อย หลังค่อมน้อยฟังดูดีกว่า"
"เหลิงเสวียน เจ้าไม่สติแตกหรือยังไง?" เจี๋ยชิงเบิกตากว้าง
เหลิงเสวียนลูบหัวอย่างใจเย็น เขาหัวเราะและพูดว่า "ไม่!"
"ข้าคิดว่ามันแปลกๆนะ" เจี๋ยชิงบ่นออกมา
เหลิงเสวียนยังคงแตะหัวของเขาและหัวเราะคิกคัก
อู๋จินที่ยืนอยู่ข้างๆ กอดอกแล้วถามเสียงทุ้มว่า "น้องชาย เจ้าชื่ออะไร? เจ้ามีเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีเงินบรรเทาทุกข์ใช่หรือไม่"
"ข้า...หยางจิ่ว มีเงื่อนงำสำคัญเกี่ยวกับคดีโจรกรรมเงินบรรเทาทุกข์" เดิมทีหยางจิ่วต้องการใช้นามแฝง แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันง่ายมากสำหรับลิ่วซ่านเหมิน ที่จะค้นหารายละเอียดของเขา ดังนั้น ไม่จำเป็นที่ต้องโกหก
อู๋จินพยักหน้าและพูดว่า: "หากเบาะแสที่เจ้าให้ไว้มีประโยชน์จริงๆ พวกเราลิ่วซ่านเหมินจะจ่ายรางวัลให้เจ้าเป็นเงิน 1,000 ตำลึง ดั่งที่ติดไว้ในใบประกาศ"
"สำนักคุ้มภัยไฉเสิน ท่านควรตรวจสอบสำนักคุ้มภัยไฉเสิน" หยางจิ่วกล่าว
สำนักคุ้มภัยไฉเสิน?
สำนักคุ้มภัยไฉเสินเป็นสำนักคุ้มกันที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเว่ยอันยิ่งใหญ่ และสำนักงานใหญ่ก็ตั้งอยู่ในเมืองฉางอัน
เบื้องหลังสำนักคุ้มภัยไฉเสิน มีเจ้าหน้าที่สำคัญหลายคนในราชสำนัก และแม้แต่พระญาติวงศ์บางคน ก็ยังมีความเกี่ยวข้องในสำนักคุ้มภัยไฉเสิน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตรวจสอบสำนักคุ้มภัยไฉเสินไม่ได้ เมื่อเทียบกับตำหนักกั๋วกงแล้ว การตรวจสอบสำนักคุ้มภัยไฉเสินนั้นง่ายกว่ามาก
เจี๋ยชิงถาม: "เจ้ามีหลักฐานไหม?"
"พวกเจ้าไม่ได้บอกว่า ข้าจะต้องให้เบาะแสเท่านั้น? ถ้าเจ้าต้องการหลักฐาน เจ้าควรตรวจสอบด้วยตัวเอง" หยางจิ่วยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าลิ่วซ่านเหมินพยายามเล่นเลห์
เขาคิดอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจหาเงิน 1,000 ตำลึง และช่วยเหลือลิ่วซ่านเหมินอรทางหนึ่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไขคดีเงินบรรเทาทุกข์โดยเร็วที่สุด
การแจ้งเตือนบอกเช่นนั้นจริงๆ และเจี๋ยชิงรู้ว่านางเป็นคนขอมากเกินไป
นางฝืนยิ้มและถามอีกครั้ง: "แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่า สำนักคุ้มภัยไฉเสินมีปัญหาล่ะ"
"เพื่อรูปร่างที่ดูดีของเจ้า ข้าจะบอกเจ้าแล้วกัน" หยางจิ่วพูดโดยถือถ้วยชา เป่าใบชาที่ลอยอยู่บนใบ จิบเพื่อให้ชุ่มคอ
ในเวลาปกติ ถ้ามีใครปฏิบัติกับนางอย่างไร้เหตุผล เจี๋ยชิงคงตบหน้าเขาไปแล้ว
แต่เพื่อที่จะสืบสวนคดีนี้ นางจึงต้องอดทน
“ข้าเป็นช่างเย็บศพจากตงฉ่าง ข้าเย็บศพเมื่อคืนนี้ เป็นชายชื่อเล่าฉีจากสำนักคุ้มภัยไฉเสิน เมื่อเขาถูกส่งมา เขายังมีชีวิตอยู่ ข้าได้ยินเขากล่าวคำว่า ' เงินบรรเทาทุกข์' พอดีข้าเห็นประกาศที่พวกเจ้าติดเมื่อกี้ และข้าคิดว่าสิ่งที่เล่าฉีพูด น่าจะช่วยเจ้าไขคดีได้” หยางจิ่วรู้ว่าการโกหกในระดับสูงสุดคือต้องมีความจริงครึ่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำให้จริงเท็จยากจะแยกแยะได้
ไม่กี่วันที่ผ่านมา หน่วยคุ้มกันของสำนักคุ้มภัยไฉเสินถูกโจรโจมตี เมื่อตอนพวกเขากลับมาที่เมืองฉางอัน ตั้งแต่ผู้นำหน่วยคุ้มกันไปจนถึงลูกน้อง พวกเขาทั้งหมด ถูกสังหารและไม่มีใครรอดชีวิต
ลิ่วซ่านเหมินส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ และได้รู้ว่าเมื่อตอนหน่วยคุ้มกันกลับมา พวกเขาไม่ได้พาคนคุ้มกันไปจำนวนมากเพื่อคุ้มกันสินค้า
สำนักคุ้มภัยไฉเสินอ้างว่า บุคคลที่โจมตีหน่วยคุ้มกัน ควรเป็นศัตรูของสำนักคุ้มภัยไฉเสิน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสำนักคุ้มภัยไฉเสิน มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ และปิดกั้นโอกาสทางการเงินของเพื่อนร่วมอาชีพจำนวนมาก
แต่สำนักคุ้มภัยไฉเสินไม่ได้ขอกว่าเป็นใคร และพวกเขาไม่ต้องการเจาะลึกถึงเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจะถือว่ามันเป็นเรื่องของยุทธภพ
หลังจากนั้น ลิ่วซ่านเหมินจึงไม่ได้ตรวจสอบอีกต่อไป
แต่เมื่อคิดถึงตอนนี้ ทีมหน่วยคุ้มกันถูกสังหาร และสำนักคุ้มภัยไฉเสินไม่ได้ตั้งใจค้นหาความจริงแต่อย่างใด แค่เพียงต้องการฝังเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งมันผิดปกติมากเกินไป
หลังจากเงินบรรเทาทุกข์ถูกปล้น สี่มือปราบพญายมได้พบกับหัวหน้าโจร และเขาบอกว่า เงินบรรเทาทุกข์ถูกส่งไปที่ตำหนักกั๋วกงในเมืองฉางอัน
เป็นไปไม่ได้ที่ อู๋โหย่วต้าจะนำเงินบรรเทาทุกข์ เข้ามาในตำหนักอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นการดีที่จะขอให้มีคนขนเงินให้เขา
"ข้าได้ให้เบาะแสสำคัญแก่เจ้าแล้ว หลังจากนี้ เงินรางวัลล่ะ?" หยางจิ่วลุกขึ้น และยื่นมือของเขาไปยังสี่มือปราบพญายม