ตอนที่ 53 ความสามัคคี
ในตอนนี้ ต่อหน้าทหารจำนวนมาก มีชายวัยกลางคนที่สูงกว่าห้าฟุตมีใบหน้าผอมบางและมีหนวดเคราอยู่เพียงสามเส้นได้ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา
ชายคนนั้นกำลังถือม้วนตำราหยกอยู่ชิ้นหนึ่ง แม้ว่าการยืนของเขานั้นจะให้ความรู้สึกเหมือนกับคนทั่วไป แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่เหมือนกำลังยืนอยู่ต่อหน้ากษัตริย์หรือจักรพรรดิมาก ซึ่งนี่เป็นการยืนที่เป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่งที่มีเฉพาะบุคคลระดับสูงที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญเท่านั้นที่สามารถแสดงอำนาจผ่านการยืนออกมาได้
“เฮ้ยๆไอ้ระบบ ความทรงจำของปี่กันไม่ได้ถูกดัดแปลงงั้นหรือ? ทำไมเขาถึงได้ยังมีอำนาจได้ล่ะ? และในโลกนี้เขามีอำนาจเหมือนกับโลกแห่งนิยายที่เขาอยู่หรือเปล่า?”
"เนื่องจากเขาเป็นคนที่มีความตรงฉินมากทำให้เขาเกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปเขาจะได้รับอำนาจในโลกแห่งนี้ด้วยเช่นกัน คนอย่างเขาเกิดมาเพื่อเป็นขุนนางชั้นสูงโดยกำเนิด"
“นั่นหมายความว่าข้าได้พบกับคนที่มีค่าราวกับสมบัติเข้าให้แล้วสินะ!”
"ว่าแต่เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?"
ในตอนนี้รูเล็ตสีทองได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาซึ่งมันคือเข็มทิศแห่งโชคชะตา
ซึ่งมีเพียงซู่เฮาเที่ยนเท่านั้นที่มองเห็นมันในตอนนี้
ทันใดนั้นแสงสีเงินก็สว่างวาบขึ้นบนเข็มทิศ และตัวอักขระสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซู่เฮาเที่ยนอย่างรวดเร็ว
ปี่กัน : สุดยอดนักปราชญ์ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งและโชคลาภ ขุนนางผู้ตรงฉินและเป็นขุนนางที่เก่งกาจด้านการบริหาร
จากนั้น ทันทีที่แสงสีน้ำเงินได้มาบรรจบกัน มันก็กลายเป็นรูปลักษณ์ของปี่กันที่ถือตำราม้วนหยกซึ่งอยู่ถัดจากร่างของไป๋ซู่เจินทันที
"บ้าน่า นี่เขาเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภด้วยงั้นหรือ? แล้วมันจะมีผลต่อโชคของข้าด้วยรึเปล่าเนี่ย?!"
ซู่เฮาเที่ยนนั้นตกใจมากและทันใดนั้นเขาได้พบว่าค่าคุณสมบัติของเขาได้เปลี่ยนไป
ค่าความโชคดี : 95000
ค่าความโชคไม่ดี : 0/1000
ค่าความโชคร้าย : 0/1000
"เฮ้ย! ค่าความโชคดีเพิ่มขึ้นเป็น 95,000 เลยงั้นเรอะ? หรือเป็นเพราะว่าได้พบกับปี่กันแล้วค่าความโชคดีของข้าถึงได้เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้?
ซู่เฮาเที่ยนจ้องมองไปที่การเปลี่ยนแปลงของค่าคุณสมบัติด้วยความสงสัย และแม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือค่าความโชคดีที่เพิ่มขึ้นนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับปี่กันโดยตรง
แต่เขาไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่นักเพราะในอนาคตสักวันเขาก็ต้องรู้อยู่ดีว่าค่าความโชคดีนั้นมันเพิ่มขึ้นเพราะปี่กันหรือเปล่า?
“ปี่กัน ในที่สุดเจ้าก็มาข้าขอยินดีต้อนรับ ด้วยการช่วยเหลือของเจ้านั้นข้าหวังว่าการได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าของข้านั้นคงไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่นะ”!"
“ข้าปี่กันขอคารวะนายท่าน อันที่จริงก่อนที่ข้าจะมาถึงนั้น ข้าได้เห็นความพิเศษของผู้อาวุโสจากตระกูลยู่กุ่ยมากับตา เพราะแม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลเล็กๆแต่พวกเขาก็สามารถจัดการกับราชาปีศาจศาจระดับสูง จักรพรรดิปีศาจ และเทพปีศาจได้เพราะความสามัคคี นั่นหมายความว่าต่อให้ท่านยังเป็นเด็กอยู่แต่ท่านเองก็สามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้าพร้อมกับตระกูลของท่านได้เช่นกัน”
ปี่กันลูบเคราของเขาและหัวเราะ คำพูดของเขานั้นเป็นเสมือนคำพูดปลุกใจซึ่งทำให้เหล่าทหาร ซู่เฉิงเฟิงและคนอื่นๆถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง
ส่วนซู่เฮาเที่ยนนั้นมีความสุขมากและไม่คาดคิดว่าปี่กันจะแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเขาในตอนนี้ได้ นั่นก็คือความสามัคคี
“อันที่จริงปี่กันนั้นก็แค่พูดเพื่อแก้ไขปัญหาที่เขาเห็นเท่านั้นนซึ่งไม่ได้คิดว่าคำพูดของเขามันจะกลายเป็นปลุกใจขึ้นมาด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าปี่กันจะไม่ใช่คนที่เงียบขรึมเหมือนที่ข้าคิดเอาไว้แฮะ”
ซู่เฮาเที่ยนถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากนั้นปี่กันก็รีบพูดขึ้นว่า "นายท่าน รีบไปกันเถอะ ในอนาคตท่านจะต้องครองโลกใบนี้โดยมีข้าอยู่เคียงข้างท่านอย่างแน่นอน"
ปี่กันนั้นรู้ถึงความคิดของซู่เฮาเที่ยนได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะข้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอให้เจ้าช่วยนับตั้งแต่วันนี้เลยแล้วกันนะ!”
ซู่เฮาเที่ยนไม่ได้ปิดบังความทะเยอทะยานของเขาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นซู่เฮาเที่ยนเดินเข้าไปจับมือของปี่กันด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นอย่างมาก ทำให้ปี่กันรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น เขารู้สึกว่าซู่เฮาเที่ยนเป็นผู้นำที่คู่ควรกับเขามากจริงๆ
หลังจากที่แนะนำปี่กันให้ไป๋ซู่เจิน จือเสีย และสิงโตเก้าหัวได้รู้จักแล้ว ซู่เฮาเที่ยนก็หยิบหอกสิ้นสูญออกมาและเริ่มฝึกฝนทันที
"ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะฝึกฝนอย่างหนักขนาดนี้ มันไม่ใชเรื่องง่ายเลยที่คนที่อายุน้อยอย่างท่านจะหมั่นฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งได้แบบนี้!"
ปี่กันจ้องมองไปที่ซู่เฮาเที่ยนที่กำลังฝึกฝนและกล่าวชมเชยออกมาทันที ซึ่งทำให้อีกสามคนที่เหลือที่ได้ยินแบบนั้นจ้องมองอย่างชื่นชมไปที่ซู่เฮาเที่ยน โดยเฉพาะแววตาของสองสาวอย่างไป๋ซู่เจินและจือเสีย
"ฮ่ะๆๆ ความขยันของข้านี่ได้ผลมากจริงๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะส่งผลต่อความภักดีของผู้แข็งแกร่งทั้งสี่คนได้มากขนาดนี้ สุดยอดจริงๆ"
"ซู่เฮาเที่ยนเจ้าบังอาจมากที่คนจากตระกูลเล็กๆอย่างเจ้า กล้าสังหารท่านผู้นำแห่งนิกายสายธารของข้า เจ้าไม่รู้ถึงสถานะของนิกายสายธารในอาณาจักรเที่ยนซวนเลยงั้นหรือ? และเจ้าไม่รู้หรือว่าเรื่องนี้จะนำเจ้าพาตระกูลซู่ของเจ้าไปพบกับหายนะน่ะ?”
ทันทีที่ทุกคนมาถึงประตูเมืองฉูเฉิง พวกเขาก็ถูกขวางเอาไว้โดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง และในตอนนี้ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินได้กระโดดออกมาจากกลุ่มคนที่เข้ามาขวางและตะโกนออกมาด้วยความเศร้าโศกบนใบหน้าของเขา