ตอนที่ 50 : ปลาหลีฮื้อเยอะมาก
ตอนที่ 50 : ปลาหลีฮื้อเยอะมาก
เฉียนยวี่ผิงนึกว่าเติ้งอาเหลียนจะตามไปที่บ้านตระกูลหลี่ เพราะถึงเยี่ยงไรนางก็ล้มเพราะคำพูดของเติ้งอาเหลียน นางและแม่สามีสนิทกันมิใช่หรือ ? หากมิตามมาคงมิเหมาะสมเท่าไหร่ !
แต่สิ่งที่ทำให้นางคาดมิถึงก็คือ เติ้งอาเหลียนกลับหิ้วตะกร้าสองใบเดินผ่านบ้านตระกูลหลี่ไป ส่วนโจวเสี่ยวเหมยเพียงแค่ยืนอยู่หน้าบ้านตระกูลหลี่เท่านั้น นางเพียงแค่พูดคุยกับย่าหลี่ที่ออกมาถามว่าเกิดอันใดขึ้น แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
“ตระกูลสวีนี่มันอะไรกัน มีใครเขาทำแบบพวกนางบ้าง ทำให้ข้าล้มมิพอ ยังมิยอมขอโทษข้าสักคำ !” เฉียนยวี่ผิงนั่งอยู่บนตั่งในสวน ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโมโห
“นางผลักเจ้าหรือเตะเจ้ากันล่ะ อายุปูนนี้แล้วยังกล้าผลักความผิดไปให้ผู้อื่นอีก เจ้ามันมิมีสมองเอง ! อยากทำอะไร ทำไมมิคิดให้ละเอียดรอบคอบก่อนแล้วค่อยทำ !” ย่าหลี่มิถูกชะตากับลูกสะใภ้เล็กมานานแล้ว หากมิใช่เป็นเพราะลูกชายของนางกลัวภรรยา ป่านนี้นางคงไล่สะใภ้คนนี้ออกจากบ้านไปนานแล้ว คนอะไรมิยอมทำงานทำการ กินอะไรมิเคยเผื่อไว้ให้ผู้อื่น เวลาเรื่องจริงจังมิเคยเห็นหัว ดีแต่เที่ยวออกนอกบ้านไปยุ่งเรื่องคนอื่น
มิง่ายเลยที่กว่านางจะยอมออกไปหาเห็ดในวันนี้ แถมยังกลับมามีสภาพนี้อีก ทำเอาย่าหลีถึงกับพูดมิออกบอกมิถูก
แค่ล้มก็ทำให้เฉียนยวี่ผิงโกรธมากพอแล้ว กลับบ้านมายังต้องมาโดนแม่สามีด่าอีกชุดใหญ่ เฉียนยวี่ผิงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห: ตระกูลสวี พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ แค้นนี้ข้าจำขึ้นใจแล้ว !
เมื่อออกมาจากประตูรั้วของครอบครัวหลี่แล้ว สวีฮุ่ยจึงปีนลงมาจากหลังของโจวเสี่ยวเหมย: “ท่านแม่ พวกเรากลับบ้านกันเถิด !”
“เจ้านี่เจ้าเล่ห์มิเบาเลยนะ !” โจวเสี่ยวเหมยรับตะกร้าใบเล็กมาจากลูกสาว แล้วจับมือนางเดินกลับบ้านด้วยกัน
……
ในตอนที่พวกนางทั้งสามทำอาหารอยู่ในครัวนั้น เติ้งอาเหลียนยังเอาแต่บ่นว่าเฉียนยวี่ผิงทั้งโลภทั้งขี้เกียจ ดีแต่จะคอยเอาเปรียบผู้อื่น สวีฮุ่ยเอาเห็ดที่ทำเสร็จแล้วไปลวกในน้ำร้อนครู่หนึ่ง แล้วแอบเอาพริกหยวกออกมาจากมิติ นางอาศัยตอนที่แม่และยายมิได้สนใจหั่นพริกหยวกออกเป็นเส้น แล้วนำไปผัดกับเห็ดลม
สวีจื้อหย่งไปดูพืชที่ปลูกไว้ในแปลงนา สวีเจี้ยนหลินต้อนวัวไปกินหญ้า สองพ่อลูกกลับบ้านมาพร้อมกับฟืนจำนวนหนึ่ง
หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว สวีเจี้ยนหลินก็ใช้จมูกดมฟุดฟิด: “น้องหญิงทำของอร่อยอีกแล้ว !”
“พี่รองต้องเกิดปีจอแน่นอน จมูกของท่านถึงได้ดีขนาดนี้ !” สวีฮุ่ยเดินออกจากครัวมาถาม
“เป็นเพราะรสชาติอาหารฝีมือน้องสาวของข้าแตกต่างจากของคนอื่น มันหอมมาก น้องหญิง ต่อไปนี้เวลาเจ้าเปิดร้านอาหาร จะให้ข้าคอยทำความสะอาดก็ได้ ขอเพียงแค่ในทุกครั้งทำเผื่อข้าสักจานก็พอ ข้ามิสนเรื่องเงินเดือนหรอก !”
เติ้งอาเหลียนที่ยืนอยู่ด้านหลังสวีฮุ่ยตะโกนด่าหลานชายของตน: “เสี่ยวหลินจื่อ หากเจ้าเป็นสตรีมิทันที่จะโตก็คงหนีตามคนอื่นไปแล้ว โชคดีที่เจ้าเป็นเด็กเหลือขอที่มิมีใครสนใจ !”
“ท่านย่า ท่านกับท่านแม่ดึงหูข้าทุกวันแบบนี้ ข้าจะกล้าหนีไปไหน ! อีกอย่างบ้านเรามีน้องหญิงอยู่มิใช่หรือ ? ข้าจะไปอยู่บ้านผู้อื่น โดยทิ้งน้องหญิงของข้าที่เป็นถึงเทพแม่ครัวกลับชาติมาเกิดได้เยี่ยงไร !”
“รีบไปล้างมือมากินข้าวเถิด !” โจวเสี่ยวเหมยถลึงตาใส่ลูกชาย นางและสามีซื่อตรงขนาดนี้ แล้วเจ้าลูกคนนี้มันเหมือนใครกัน !
เห็ดลมผัดพริกหยวกถูกเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร สวีเจี้ยนหลินกินเข้าไปหนึ่งคำแล้วพยักหน้า: “เห็ดนี้ทั้งเผ็ดทั้งสด แล้วเจ้าเขียว ๆ นี้คืออะไร ?”
“ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน ข้าบังเอิญเจอมันเข้า หลังจากลองชิมถึงได้รู้ว่ามันมีรสเผ็ด ข้าจึงใส่ลงไปเล็กน้อย เผื่อท่านพ่อชอบกิน !”
“ย่าชอบเช่นกัน กินกับเห็ดลมแล้วอร่อยมาก !” เติ้งอาเหลียนตักพริกขึ้นมากิน
สวีฮุ่ยจึงถือโอกาสขออ่างแตก ๆ หรือไม่ก็กระถางต้นไม้ เพราะอยากจะปลูกพริกหยวก
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เติ้งอาเหลียนจึงหาอ่างให้หลานสาว สวีฮุ่ยคว้าเมล็ดพริกหยวกที่เลือกไว้ล่วงหน้ามาหนึ่งกำมือแล้วปลูกลงในดิน แล้วเทน้ำลงไป
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าสิ่งนี้มันจะปลูกได้หรือ ?” เติ้งอาเหลียนถาม
“น่าจะได้ พวกเราลองดูก็รู้แล้ว !”
“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรหรือ หากมันยังมิงอก เราก็จะหากินมิได้แล้วใช่ไหม !” เติ้งอาเหลียนชอบกินเผ็ดมาก นางรู้สึกว่ามันสะใจดี อีกทั้งยังทำให้นางตื่นตัว ดูมีกำลังวังชาอีกด้วย หากมีพริก นางน่าจะกินข้าวได้สองชามใหญ่
“ท่านย่า ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร ในเมื่อมันเผ็ดถึงเพียงนี้ งั้นเราก็เรียกมันว่าพริกแล้วกัน ! รสเผ็ดทำให้แสบท้อง คนอายุเยอะและเด็กมิควรกินในปริมาณที่มากเกินไป !”
“ฮุ่ยฮุ่ยรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย อาเล็กของเจ้าสอนมาใช่ไหม ?”
ในตำราโบราณมีเรื่องราวเหล่านี้บันทึกไว้ที่ไหนกัน ! ในบันทึกการเดินทางหรือไม่ก็ตำราเกี่ยวกับการเกษตรน่าจะพอมีบันทึกไว้อยู่บ้าง แต่คนที่จะไปสอบขุนนางคงมิต้องอ่านเรื่องราวเหล่านี้หรอก
วันสอบขุนนาง……และวันที่อาเล็กนัดไว้ใกล้จะมาถึงแล้ว สวีฮุ่ยจึงถามย่าว่าในตลาดหรือในเมืองมีร้านขายกระบอกน้ำหรือไม่ ? นางอยากเอาน้ำแร่ใสจากในมิติให้อาเล็กนำติดตัวไปสอบด้วย หากดื่มมันจะทำให้สดชื่นสบายตัว สมองปลอดโปร่ง เหมาะสำหรับใช้ดื่มตอนช่วงสอบมาก
“ครอบครัวชาวนาอย่างพวกเรา เวลาออกนามักจะใช้หม้อดินเผาหรือไม่ก็กระบอกไม้ไผ่ คนมีเงินเท่านั้นถึงจะใช้กระบอกน้ำ !”
“ข้าอยากซื้อกระบอกน้ำให้อาเล็ก เอาเช่นนี้แล้วกัน บ่ายวันนี้ข้ากับท่านพ่อจะไปจับปลา หากโชคดีก็อาจจะจับปลาหลีฮื้อได้อีกครั้ง จากนั้นก็จะนำไปขายให้โรงเตี๊ยมในเมือง แล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อกระบอกน้ำ แบบนี้ได้หรือไม่ ?”
เรื่องเช่นนี้ต้องสนับสนุน มิใช่แค่เพราะหลานสาวเป็นคนร้องขอเท่านั้น เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าคือ โจวป๋อเทาดีกับตระกูลสวีมาก เวลากลับมาก็มักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาเสมอ ไหนจะเงินที่ชอบแอบทิ้งไว้ให้อีก รวม ๆ แล้วน่าจะ 10 ตำลึงเงินได้แล้ว
“เจ้ามิต้องไปจับปลาแล้ว ย่าจะให้เงินเจ้าไป 2 ตำลึงเงิน เจ้าลองไปดูที่ร้านขายของชำในเมือง ย่าคิดว่าที่นั่นน่าจะมีขาย !”
“เงินที่ใช้ซื้อของขวัญต้องเป็นเงินที่ข้าหามาด้วยตนเอง อาเล็กจะสอบอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังสอนข้าคัดอักษร ข้าซาบซึ้งใจในตัวเขามาก”
เติ้งอาเหลียนจึงถามหลานสาวว่าทำการบ้านที่โจวป๋อเทามอบหมายไว้เสร็จหรือยัง ? สวีฮุ่ยตอบไปว่าเหลือมิมากแล้ว นางรับปากว่าจะเขียนให้เสร็จภายในสองวันนี้ จะได้มิรบกวนเวลาไปตั้งแผงขายของ
“เราหาเงินให้มากขึ้นหน่อย รอให้เมืองหรือสถานที่ที่อาเล็กของเจ้าไปมีโรงเรียนสตรี ย่าจะส่งเจ้าเข้าเรียน !”
“ท่านย่า ข้ามิไป ที่นั่นเปิดไว้เพื่ออบรมคุณหนูจากจวนใหญ่ทั้งหลาย ด้านในสอนแต่หลักสี่คุณธรรมสามคล้อยตาม และมารยาทที่ควรปฏิบัติเมื่อพบกับคนมีเงิน พวกเรามิได้ใช้หรอก ขอเพียงแค่รู้หนังสือบ้าง ในอนาคตสามารถอ่านบัญชีหรือสัญญาการค้าออกก็พอแล้ว !”
ที่หลานสาวพูดมาเช่นนี้คงเพราะต้องการปลอบใจนางสินะ หากมีโอกาสได้เรียนหนังสือ เด็กคนนี้จะต้องอยากเข้าเรียนแน่นอน ดังนั้นนับแต่นี้ไป พวกนางจะต้องขยันขันแข็งให้มากกว่านี้ เก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ หากมีโอกาสก็จะส่งหลานสาวเข้าเรียนอย่างแน่นอน
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย สวีฮุ่ยอ้อนให้พ่อพานางไปจับปลา พอสวีเจี้ยนหลินได้ยินว่าจะไปจับปลานั้น เขาก็รีบไปเอาอุปกรณ์จับปลาโดยมิรอให้ผู้เป็นพ่อพยักหน้าตอบรับแต่อย่างใด
แม่น้ำที่สามพ่อลูกไปจับปลายังคงเป็นแม่น้ำแห่งเดียวกันกับครั้งล่าสุด ที่นี่ค่อนข้างอยู่ลึก มิเด่นสะดุดตาเหมือนแม่น้ำที่อยู่หัวหมู่บ้าน ดังนั้นจึงมีคนเข้ามาหาปลาในบริเวณนี้น้อยมาก
คราวนี้สวีฮุ่ยถลกขากางเกงและแขนเสื้อขึ้น แล้วลงไปในน้ำด้วย นางให้เฮ่อจิ่นบอกเสี่ยวจินให้ช่วยเรียกฝูงปลาหลีฮื้อมาให้นางหน่อย
หากบอกว่าลูกสาวสามารถเรียกปลาหลีหรือปลาตะเพียนมาได้ สวีจื้อหย่งย่อมเชื่อเช่นนั้น เพราะปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว
ส่วนปลาหลีฮื้อนั้น เดิมทีพบเห็นได้น้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากจับได้สักตัวสองตัวยังถือว่าปกติ แต่หากมากกว่านี้ล่ะก็……
ในตอนที่สวีจื้อหย่งกำลังจะจับปลาใส่ถังไม้ จู่ ๆ ใต้น้ำก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เพราะบัดนี้เริ่มมีฝูงปลาหลีฮื้อแหวกว่ายเข้ามาจากหนึ่งตัว、สองตัว……ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละตัว สวีฮุ่ยถามพ่อว่าปลาหลีฮื้อหนึ่งตัวขายได้ราคาเท่าไหร่ ทว่าสวีจื้อหย่งมัวตกตะลึงกับฝูงปลาหลีฮื้อที่กำลังแหวกว่ายเข้ามาล้อมเขาและลูกสาว จนเขาลืมตอบนางไปเลย
“แม่เจ้า ! ปลาหลีฮื้อเยอะมาก !” สวีเจี้ยนหลินรับถังไม้จากพ่อที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น แล้วเริ่มจับปลาหลีฮื้อใส่เข้าไป
สวีฮุ่ยบอกพ่อของตนว่าจับปลาหลีฮื้อแค่พอขายเอาเงิน 2 ตำลึงเงินก็พอแล้ว มิให้พ่อจับไปเยอะเกิน หากตอนเย็นอยากกินปลาพะโล้ก็ค่อยจับปลาธรรมดากลับบ้านไปสักตัว