ตอนที่ 479 หายตัวไป
ตอนที่ 479 หายตัวไป
ยานรบรุ่นที่ 2 ที่เซี่ยเฟยเคยเห็นมีทั้งยานรบจู่โจมหนักอย่างยานเบโอเนท และยานอินเตอร์เซปเตอร์ซึ่งเป็นยานรบเบาที่มีความเร็วในการเคลื่อนที่ที่สูงมาก
ภายใต้สถานการณ์ปกติยานรบโดยทั่วไปสามารถวาร์ปได้ระยะทางเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ปีแสง แต่ยานอินเตอร์เซปเตอร์สามารถที่จะวาร์ปครั้งหนึ่งได้ไกลถึง 100,000 ปีแสง ซึ่งมันเป็นระยะที่ไกลกว่ายานรบโดยทั่วไปถึง 2 เท่า
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากเขาได้ใช้ยานอินเตอร์เซปเตอร์ในระหว่างการเดินทาง มันก็จะช่วยย่นระยะเวลาเดินทางได้ถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเทคโนโลยีที่น่าตกตะลึงสำหรับยุคสมัยในปัจจุบัน
แน่นอนว่ายานรบจู่โจมหนักก็ได้รับการปรับปรุงระบบเครื่องยนต์ขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทำให้ยานรบรุ่นนี้สามารถวาร์ปได้ไกลถึง 60,000 ปีแสงซึ่งไกลกว่ายานรบโดยทั่วไป แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเทียบไม่ได้กับความเร็วของยานอินเตอร์เซปเตอร์อยู่ดี
ยานรบรุ่นใหม่ทั้งสองประเภทที่ถูกปล่อยให้ลองใช้งานพวกนี้ทำให้ผู้คนต้องปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อยานรบใหม่อีกครั้ง โดยยานรบจู่โจมหนักถือได้ว่าเป็นฝันร้ายสำหรับศัตรูอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่ยานประจัญบานบางลำก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยานรบประเภทนี้
ส่วนยานอินเตอร์เซปเตอร์ก็เหมาะสมจะเป็นยานรบที่เอาไว้ใช้ในการสอดแนมอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถอาศัยความปราดเปรียวและความว่องไวในการหลบหนีออกมาจากพื้นที่แนวหน้าได้อย่างปลอดภัย
ด้วยความอัศจรรย์ที่ยานรบรุ่นที่ 2 ได้แสดงออกมา มันก็คงจะเป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาก่อนที่ยานรบสมัยใหม่เหล่านี้จะได้เข้าไปแทนที่ยานรบสมัยเก่าอย่างสมบูรณ์
ข้อมูลที่นิโคลให้เซี่ยเฟยไปถือว่าเป็นข้อมูลลับของ 4 บริษัทผลิตยานขนาดใหญ่ เพราะนอกเหนือจากข้อมูลของยานรบจู่โจมหนักและยานอินเตอร์เซปเตอร์ของบริษัทไกอาแล้ว มันยังมีข้อมูลของยานรบรุ่นที่ 2 ของบริษัทผลิตยานขนาดใหญ่อีกสามบริษัทด้วย ซึ่งในข้อมูลมันก็มีแม้แต่ต้นทุนการผลิตที่บริษัทไกอาได้ประมาณการเอาไว้
เซี่ยเฟยไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่บริษัทไกอามีข้อมูลของอีกสามบริษัทที่เหลือ เพราะบริษัทผลิตยานรบแต่ละแห่งต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นทั้งคู่แข่งและพันธมิตรไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะทำการตรวจสอบข้อมูลจากคู่แข่งคนสำคัญของบริษัท
“ผมคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่ายานไดมอสที่คุณให้ผมเมื่อปีที่แล้วจะยังคงเป็นเพียงแค่ยานต้นแบบ ดูเหมือนตอนนี้ยานรุ่นใหม่ทั้งสองประเภทจะถูกพัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก แล้วความสามารถในการวิจัยของบริษัทผลิตยานขนาดใหญ่ทั้งสี่ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหลังจากที่เขาได้อ่านข้อมูลจนจบ
“อย่าลืมสิว่าพวกเราต้องต่อสู้ในโลกธุรกิจอันโหดร้ายนี้มานานแค่ไหน พวกเราย่อมต้องมีความสามารถในการเอาชีวิตรอดเป็นธรรมดา ว่าแต่หลังจากที่คุณได้อ่านข้อมูลแล้วคุณพอจะมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้าง?” นิโคลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท้ายที่สุดยานรุ่นใหม่ก็คงจะเข้ามาแทนที่ยานรุ่นเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นไปได้ผมก็อยากจะได้ยานรุ่นใหม่พวกนี้มาสร้างกองยานของผมด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าว
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มก็รู้ดีว่ายานรุ่นใหม่เพิ่งจะถูกผลิตออกมาจำนวนไม่มากนัก และไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือบริษัทขนาดใหญ่ต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องการจับจองยานรุ่นใหม่ก่อนใครอย่างแน่นอน ดังนั้นโอกาสที่เขาจะขอซื้อยานรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากจึงแทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างมากที่สุดนิโคลก็คงจะสามารถแบ่งขายให้กับเขาได้เพียงแค่ไม่กี่ลำเท่านั้น
“ฉันสามารถขายสินค้าของไกอาให้คุณได้ แต่ฉันไม่สามารถบังคับอะไรบริษัทขนาดใหญ่อีกสามแห่งได้ สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงแค่แนะนำพวกเขาให้คุณได้รู้จัก ซึ่งพวกเขาก็น่าจะเห็นแก่หน้าฉันและแบ่งขายยานบางส่วนให้คุณได้” นิโคลกล่าว
“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดีที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผมมากขนาดนี้” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้รับคำชมนิโคลก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาของเซี่ยเฟยเหมือนสาวน้อยขี้อาย แต่เธอเลือกที่จะสบสายตาเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่ร้อนแรง
“พวกเราไปทานอาหารด้วยกันไหม?” นิโคลพูดขึ้นมาเบา ๆ
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าจุดประสงค์ของการชวนไปทานอาหารครั้งนี้คงไม่ใช่การกินอาหารเฉย ๆ เพราะเธอทั้งให้ข้อมูลลับแก่เขาและสัญญาว่าจะช่วยเขาซื้อยานรบรุ่นใหม่ ดังนั้นเธอจะต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบซ่อนอยู่แน่ ๆ
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยก็สังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่านิโคลมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเขา และเขาก็รู้ว่านิโคลเคยถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เด็กเพียงแต่เธอไม่ได้โชคดีเหมือนกับแอวริลที่ได้เขาเข้ามาช่วยเหลือเอาไว้ จนทำให้แอวริลไม่ได้ถูกลักพาตัวไปและประสบชะตากรรมที่เลวร้ายเหมือนกับเธอ
ตั้งแต่ที่เซี่ยเฟยเกลี้ยกล่อมให้นิโคลบรอยแผลเป็นบนข้อมือของเธอไป ข้อมือของเธอก็กลับมาเนียนเรียบเหมือนกับที่ควรจะเป็น แต่ในความเป็นจริงนิโคลไม่ได้ต้องการจะลบแผลเป็น เพียงแค่เธอต้องการจะแสดงให้เซี่ยเฟยเห็นว่าเธออยากจะเชื่อฟังคำพูดของเขา
“ข้อมูลที่คุณให้มามีประโยชน์มาก ผมน่าจะกลับไปที่เมืองหลวงตะวันตกในอีกครึ่งเดือน ถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้กับคุณเอง” เซี่ยเฟยพยักหน้าพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จู่ ๆ จะออกมาทานอาหารกับสาวสวยอย่างฉัน คุณไม่กลัวว่าแอวริลจะหึงฉันเหรอ?” นิโคลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แอวริลเข้าใจดีว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ และนั่นก็คือหนึ่งในเสน่ห์ที่น่าดึงดูดมากที่สุดของเธอ” เซี่ยเฟยกล่าว
เมื่อพูดถึงผู้หญิงของตัวเองเซี่ยเฟยก็ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ และมันก็ทำให้นิโคลเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะรอวันที่เราได้พบกัน” นิโคลกล่าวก่อนที่จะตัดการเชื่อมต่อไป
“ฉันว่าคำพูดของเธอค่อนข้างที่จะคลุมเครืออยู่นะ” อันธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแค่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
—
ตลอดช่วงเวลาการเดินทางเซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องตัดสินใจทั้งในเรื่องของแผนการพัฒนา, แผนการอพยพประชาชนกลุ่มใหญ่, ศึกษารายละเอียดการตั้งกองยานคุ้มกันและเขาก็ยังพยายามหาเวลาว่างระหว่างวันในการฝึกฝนและพูดคุยกับแอวริล
ขณะเดียวกันยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ซุนซานก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะในตอนนี้เป็นเวลานานกว่า 7 วันแล้วที่เขาไม่สามารถติดต่อครอบครัวของตัวเองได้ และมันย่อมไม่ใช่สถานการณ์ปกติสำหรับสมาพันธ์หนานหมิงที่มีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน
เซี่ยเฟยพยายามปลอบซุนซานว่าให้เขาใจเย็น ๆ แต่น่าเสียดายที่คำปลอบนั้นเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก
การใช้ชีวิตในอวกาศค่อนข้างน่าเบื่อ ดังนั้นในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง แอวริลจึงได้ใช้เวลาในการเล่นสนุกกับกระป๋องและขนอุยเป็นระยะ ๆ
กระป๋องเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคอยให้บริการมนุษย์โดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจึงสามารถพูดคุยเล่นสนุกกับแอวริลได้อย่างสนิทใจ แต่สำหรับขนอุยแตกต่างจากกระป๋องออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่ที่เจ้าตัวน้อยถูกแอวริลบังคับให้กินขนม มันก็รู้สึกหวาดกลัวหญิงสาวคนนี้ตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงมันรู้สึกหวาดกลัวแอวริลมากกว่าเซี่ยเฟยเสียอีก
อย่างไรก็ตามแอวริลกลับชอบอสูรขนปุกปุยตัวนี้มากเป็นพิเศษ ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้อธิบายถึงอาหารที่ขนอุยชอบกินเธอก็ไม่ได้ป้อนขนมให้กับเจ้าตัวน้อยอีกต่อไป แต่มักที่จะเอาขนอุยมากอดไว้ขณะเล่นเกมและฟังเรื่องเล่าจากกระป๋อง
ขนอุยคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่มันกลับกลายเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาในอ้อมแขนของแอวริล!!
เมื่อได้รับคำสั่งที่เข้มงวดจากเซี่ยเฟย ขนอุยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องยอมให้แอวริลเล่นกับมันในทุก ๆ วัน โดยตลอดเวลาการเดินทางในครั้งนี้มันก็ไม่ได้มีเวลาไปนอนขี้เกียจบนโซฟาตัวโปรดของมันอีกเลย
เมื่อแอวริลมีเวลาว่างเธอก็มักที่จะเรียนรู้วิธีการซักผ้าและวิธีการทำอาหารร่วมกันกับกระป๋อง เพื่อที่เธอจะเตรียมความพร้อมในการเป็นภรรยาที่ดีของเซี่ยเฟยในอนาคต
“นั่นน่ะเหรอดาวเคราะห์ที่เป็นที่ตั้งของสมาพันธ์หนานหมิง?” เซี่ยเฟยขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องมองออกไปยังดาวเคราะห์ประหลาดที่อยู่นอกหน้าต่าง
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดเล็กมากเพียงแค่ประมาณ 1 ใน 4 ของดาวโลกเท่านั้น
“ดาวดวงนี้ชื่อว่าดาวพูลตอน สภาพแวดล้อมภายในดาวเต็มไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่มากมายแล้วมันก็มีพืชหายากขึ้นอยู่ทั่วทุกที่ ขณะที่เวลาการหมุนรอบของดาวอยู่ที่ 12 ชั่วโมง ชีวิตประจำวันของพวกเราคือการออกไปสำรวจพื้นที่ด้านนอกหลังอาหารเช้า และจะกลับมาที่สมาพันธ์อีกครั้งก่อนอาหารเย็น” ซุนซานกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะเท่าที่เขารู้ดาวมีชีวิตส่วนใหญ่มักจะมีเวลาหมุนรอบตัวเองใกล้ ๆ 24 ชั่วโมง แต่ดาวมีชีวิตดวงนี้กลับใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองเพียงแค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งมันถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดพอสมควร
ฟินิกซ์มีขนาดใหญ่เกินไปและไม่สามารถที่จะนำลงไปจอดบนดาวดวงนี้ได้ ดังนั้นเซี่ยเฟยกับซุนซานจึงเดินทางไปที่แวมไพร์เพื่อเตรียมตัวจะขับยานลงไปยังดาวพูลตอน
“กระป๋อง”
“ครับ?”
“ฝากดูแลแอวริลด้วย”
“ได้ครับนายท่าน”
หลังจากฝากฝังให้กระป๋องดูแลแอวริลแล้ว เซี่ยเฟย, ซุนซาน, ขนอุยและอันธก็โดยสารแวมไพร์ลงจอดบนพื้นที่ราบบนดวงดาวนี้ในเวลาอีกไม่กี่นาทีต่อมา
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคืออาคารสูง 3 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าและมีอาคารชั้นเดียวล้อมรอบอยู่อย่างหนาแน่น แต่เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของอาคารแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหรือวัสดุที่ถูกนำมาใช้ มันก็ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายกับที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณ
“นี่คือสมาพันธ์หนานหมิงและมันก็เป็นบ้านของผมด้วย ปกติพ่อ, แม่กับผมจะอาศัยอยู่ที่อาคาร 3 ชั้นตรงนั้น ส่วนพื้นที่โดยรอบจะเป็นที่อยู่อาศัยของสมาชิกในสมาพันธ์ แต่สมาพันธ์ของเราเป็นเพียงแค่สมาพันธ์เล็ก ๆ สมาชิกในสมาพันธ์จึงมีเพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น” ซุนซานกล่าวพร้อมกับชี้มือไปด้านหน้า
แต่ในระหว่างที่ซุนซานกำลังอธิบายอยู่นั่นเอง จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็หมอบลงไปบนพื้นพร้อมกับหยิบทราย 1 กำมือขึ้นมาดมกลิ่นชิดกับจมูก
“มียานอวกาศมาลงจอดเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว หญ้าบริเวณนี้ราบเอียงไปยังพื้นที่ด้านหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด พวกมันน่าจะถูกลมพัดจากเครื่องยนต์ของยานที่ลงจอด แต่มันไม่มีกลิ่นเหม็นไหม้บนพื้นทรายแสดงว่ายานลำนั้นไม่ได้ลงจอดแนบสนิทกับพื้นดินแต่หยุดอยู่สูงกว่าพื้นประมาณ 10 เมตร”
“โชคดีที่วันนั้นน่าจะมีฝนตกหนักทำให้ยังเหลือร่องรอยบนพื้นอยู่บ้าง ฉันหวังว่าพวกเราจะตามรอยเท้าของพวกเขาไปจนเจอเบาะแสอะไรที่มีประโยชน์บ้างนะ” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากวิเคราะห์สภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบ
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์จากเซี่ยเฟยซุนซานก็เริ่มกระวนกระวาย เพราะเมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเป็นช่วงเวลาที่เขาขาดการติดต่อกับครอบครัวไปพอดี
“รอยเท้ามีคนอยู่ 7 คนซึ่งรอยเท้าของพวกเขาลึกมากแสดงว่าพวกเขาน่าจะแบกอาวุธหรืออุปกรณ์หนักในระหว่างที่พวกเขาเดินทางด้วย”
การวิเคราะห์สถานการณ์ของเซี่ยเฟยทำให้ซุนซานรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะท้ายที่สุดเขาก็ยังคงเป็นเพียงนักสู้มือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ต่อสู้เหมือนกับเซี่ยเฟย และถ้าหากว่าเขาเดินทางมาที่นี่เพียงคนเดียว เขาก็คงจะไม่มีทางค้นพบร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นพวกนี้เลย
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้อาคารสูง 3 ชั้น พวกเขาก็ได้พบกับประตูที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ แต่พื้นที่โดยรอบก็ยังคงตกอยู่ในความเงียบสงบราวกับว่ามันไม่มีใครอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้แม้แต่คนเดียว
“รอยเท้าหันหน้าไปทางประตูและระยะของรอยเท้ากับประตูก็ใกล้กันมาก แสดงว่าคนพวกนี้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและไม่กลัวที่จะถูกพบเจอเลย บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนที่พ่อของนายตกลงอะไรบางอย่างของสมาพันธ์เอาไว้หรือเปล่า?” เซี่ยเฟยกล่าว
“เป็นไปไม่ได้ สมาพันธ์ของเราไม่ได้ติดต่อกับคนภายนอกมากนัก และถึงแม้ว่ามันจะมีข้อตกลงกันจริง ๆ แต่พ่อก็จะเป็นคนเอาน้ำยาออกไปส่งให้กับลูกค้าเสมอ ไม่มีทางที่ลูกค้าจะเข้ามารับน้ำยาจากสมาพันธ์ของเราได้” ซุนซานกล่าว
“หือ? มีรอยเท้าฝังลึกอยู่ตรงนั้น มันเป็นรอยเท้าที่ใหม่กว่ารอยเท้ารอยอื่นมาก ฉันคิดว่ามันน่าจะมีคนอื่นเดินทางมาที่นี่หลังจากที่พ่อแม่ของนายหายตัวไป และเขาก็เดินทางไปทางฝั่งนั้นด้วยตัวคนเดียว”
ซุนซานรีบวิ่งเข้าไปในสมาพันธ์และตะโกนเรียกชื่อพ่อแม่ของตนอย่างสิ้นหวัง แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะส่งเสียงตะโกนออกมาดังแค่ไหน มันก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมานอกเสียจากเสียงสะท้อนของตัวเอง
ระหว่างที่ซุนซานกำลังพยายามตะโกนหาครอบครัวอยู่นั้น เซี่ยเฟยก็เดินตามรอยเท้าไปจนถึงพื้นที่สวนที่อยู่หลังอาคาร
บริเวณด้านหลังของอาคารมียานอวกาศจอดอยู่ทั้งสิ้น 3 ลำ โดย 2 ลำมีสัญลักษณ์พืชสีเขียวซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสมาพันธ์หนานหมิงติดเอาไว้ ส่วนยานรบอีกลำคือยานฟริเกตรุ่นเอ็กซิคิวชั่นของสมาพันธ์จัสทิส
“เรื่องที่คนของสมาพันธ์หนานหมิงหายตัวไปเกี่ยวข้องกับสมาพันธ์จัสทิสด้วยงั้นเหรอ?” อันธอุทานขึ้นมาพร้อมกับคิ้วขมวด
“ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัวว่าเขาเองก็ยังไม่สามารถสรุปเรื่องราวได้เหมือนกัน
***************