ตอนที่ 47 : อยากยึดไว้เอง
ตอนที่ 47 : อยากยึดไว้เอง
เหวินจื้อหงนั่งอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ร้านแผงลอย ถึงอย่างไรเขาก็ต้องให้เกียรติแม่นางน้อยผู้นั้น เขาควรกินซุปปลาหนึ่งชามและแป้งทอดของนางสักชิ้น ต่อให้รสชาติของมันจะแย่แค่ไหน เขาก็รับได้
แต่พอซุปปลาไหลลงคอไป เหวินจื้อหงก็ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะรสชาตินี้มันอร่อยกว่าพ่อครัวของจวนเหวินเสียอีก ! ตระกูลสวีทำได้เยี่ยงไรกัน ?
และถึงแม้ว่าแป้งทอดของตระกูลสวีจะมิได้ทำมาจากแป้งหมี่ขาว แต่เนื้อสัมผัสมันเหนียวนุ่มมาก กินแล้วมิเนื้อละเอียดจนเกินไปเหมือนแป้งหมี่ขาว พอกินกับซุปปลาแล้วเข้ากันมาก
เมื่อซุปปลาและแป้งทอดชุดนี้ลงท้องเขาไปแล้ว เหวินจื้อหงลุกขึ้นแล้วเดินวนไปวนมาอีกครั้ง จากนั้นก็กลับมานั่งใหม่แล้วกล่าวว่า: “เอามาให้ข้าอีกชาม !”
“คุณชายเหวิน ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ก็คงมิมีใครกล้ามาซื้อซุปปลาของข้าแล้ว รบกวนท่านช่วยยกซุปปลาไปกินในโรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ?” สวีฮุ่ยยืนพูดอยู่ตรงประตูครัว
“หากเจ้ายกซุปปลาไปให้ข้า ข้าก็จะไป !”
เพื่อการค้าของครอบครัว สวีฮุ่ยจึงต้องยอมยกซุปปลาและแป้งทอดอีกสองแผ่นใหญ่ไปให้เหวินจื้อหงอย่างยอมรับชะตากรรม คราวนี้ร้านซุปปลาของตระกูลสวีจะได้เปิดขายได้อย่างสะดวกเสียที
“อร่อยจริง ๆ คราวหน้าหากมีตลาดอีก……”
“ท่านหยุดความคิดของท่านเลยนะ หากคราวหน้าท่านมาอีก พวกข้าก็จะมิมาแล้ว !” สวีฮุ่ยตัดบทเหวินจื้อหง เพราะหากเขามาแบบเอิกเกริกเช่นนี้ทุกครั้ง มินาน จวนเหวินคงพุ่งความสนใจมาที่ครอบครัวนาง และหากจวนเหวินคิดอยากจะสร้างความกดดันหรือทำลายร้านแผงลอยเล็ก ๆ ของนางนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย ตระกูลสวีมิมีแม้แต่ความสามารถจะดิ้นรนขัดขืน มิต่างอะไรจากเนื้อปลาบนเขียงที่ต้องยอมปล่อยให้คนอื่นเขาจัดการได้ตามอำเภอใจ !
“ข้ามากินซุปปลา กินแป้งทอด จะมิก่อความวุ่นวายแน่นอน !”
“ชาวบ้านส่วนใหญ่ในเมืองล้วนรู้จักท่าน หากท่านไปนั่งตรงนั้น แล้วใครจะกล้าเข้ามาซื้อซุปปลาของข้า อีกอย่างบ้านของท่านมิมีพ่อครัวหรือ หรือว่าพวกเขาทำซุปปลามิเป็น ?”
พ่อครัวของจวนเหวินทำเมนูอื่นพอใช้ได้ แต่มิอาจทำซุปปลาอร่อยไปกว่าของตระกูลสวี เหวินจื้อหงจึงเรียกหลงจู๊ของร้านมาคุย: “คราวหน้าตอนมีตลาด ข้าจองโรงเตี๊ยมของเจ้าแล้ว ข้าและคนของข้าจะกินซุปปลาของตระกูลสวีในโรงเตี๊ยมของเจ้า วันหนึ่งเจ้าทำเงินได้มากเท่าไหร่ ข้าก็จะจ่ายเท่านั้น !”
มีเงินนี่มันดีจริง ! อยากทำอะไรก็สามารถทำได้ตามอำเภอใจ สวีฮุ่ยเห็นว่าหลงจู๊พยักหน้าตอบรับแล้ว แถมยังบอกอีกว่ามิต้องให้เหวินจื้อหงจ่ายเงิน แค่เขามานั่งกินที่โรงเตี๊ยมของตนก็เป็นเรื่องที่ทรงเกียรติแล้ว !
“เจ้าดูสิ ผู้อื่นล้วนต้อนรับข้า มีแต่เจ้าที่เอาแต่ผลักไสข้า !” เหวินจื้อหงทำหน้าน้อยใจ
“ข้ามิได้ผลักไสท่าน ใครกันที่มิอยากขายของ ! เพียงแต่สถานะของท่านมันพิเศษ มิค่อยเหมาะที่จะมานั่งกินอาหารในร้านแผงลอยเล็ก ๆ แบบนี้ !”
“มิเช่นนั้น……พวกเจ้าไปทำซุปปลาที่จวนของข้าดีไหม อยากได้เงินเดือนเท่าใดสามารถเรียกมาได้เลย !”
สวีฮุ่ยลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ถึงแม้ครอบครัวของข้าจะจน แต่พวกข้ามิคิดจะขายตนเป็นทาสของใคร ข้าและครอบครัวจะมิแยกจากกัน ต่อให้ท่านให้เงินมากมายเพียงใด ข้าก็จะมิไป คุณชายเหวิน ท่านมาอุดหนุนกิจการของครอบครัวข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมาก ! แต่ห้ามคิดอย่างอื่นเด็ดขาด !”
“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธข้าสิ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย ข้าแค่อยากเชิญพวกเจ้ามาเป็นแม่ครัว มิได้มีสัญญาผูกมัดเป็นบ่าวรับใช้เสียหน่อย !” เหวินจื้อหงเห็นว่าสวีฮุ่ยหน้าตาบูดบึ้งและสะบัดหน้าหนีแล้ว เขาจึงรีบอธิบายทันที
“หากอยากกินซุปปลา ท่านส่งคนมาซื้อหรือไม่ก็มานั่งกินที่นี่ได้ แต่อย่าคิดอย่างอื่นเชียว มิเช่นนั้นข้าจะมิยอมเป็นแม้แต่สหายของท่าน !”
สหาย ! นางยอมที่จะเป็นสหายของเราแล้ว ! เหวินจื้อหงจึงชูมือรับปากทันที: “ข้าและครอบครัวของข้าจะมิมีวันทำเรื่องให้เจ้าโกรธแน่นอน เราเป็นสหายกันแล้ว ต่อไปนี้เวลามีเรื่องให้ช่วยเหลืออะไรก็สามารถมาหาข้าที่จวนเหวินได้ !”
สวีฮุ่ยให้เขากินซุปไป ส่วนนางจะไปเข้าครัวแล้ว เหวินจื้อหงกินอิ่มแล้วก็ยังมิยอมไปเสียที เขานั่งอยู่ตรงประตูดูผู้คนที่แวะเวียนเข้ามากินอาหารของร้านตระกูลสวี แล้วก็มาดูในครัว
จวนเหวินซื้อปลาไป 6 ตัว ส่วนปลาเป็นตัวอื่น หากมิถูกลูกค้าที่มากินซุปปลาซื้อไป ก็ถูกร้านค้าละแวกใกล้เคียงซื้อไปหมดแล้ว
ตอนที่ซุปปลาขายหมดแล้ว ปลาในถังไม้ก็แทบจะมิเหลือแล้ว
เมื่อเห็นว่าตระกูลสวีเริ่มเก็บร้าน เหวินจื้อหงจึงเข้ามาร่วมแจมเพื่อถามว่าพวกเขาจะกลับบ้านหรือเดินเล่นในเมืองก่อน
“พวกเราจะไปส่งพี่ใหญ่สอบที่สำนักวิชา !” สวีเจี้ยนหลินกล่าว
“ไปที่สำนักวิชาทำไม ! ที่นั่นวุ่นวายจะตายไป มิสู้ไปเรียนกับข้าดีกว่า ! ที่บ้านของข้ามีอาจารย์ด้วย เจ้าน่ะอยากเรียนเขียนอักษรไหม ? ข้าให้อาจารย์สอนเจ้าได้นะ !”
สวีฮุ่ยหัวเราะ: “ข้ามีอาจารย์แล้ว เป็นอาเล็กของข้าเอง เขาเรียนเก่งมากเลยล่ะ !”
“เช่นนั้นเจ้าเขียนอักษรได้หรือไม่ ?”
“ได้สิ ! เพียงแต่มิมากเท่าไหร่นัก เพราะข้าเพิ่งเรียนได้มินาน คุณชายเหวิน ขอบคุณที่ท่านมาอุดหนุน ไว้เจอกันใหม่ !” สวีฮุ่ยโบกมือให้เขา เช้านี้ แค่รับมือกับเขามันเหนื่อยกว่าการตั้งร้านเสียอีก !
“วันหลังข้าจะไปเที่ยวบ้านของพวกเจ้าแล้วกัน ! แล้วเรามาประลองเขียนอักษรกัน จะได้ดูว่าใครสามารถจำตัวอักษรได้มากกว่ากัน !”
“คุณชายเหวิน ท่านท่องกลอน 300 บทของราชวงศ์ถังได้กี่บท ?”
“เอ่อ……ประมาณ……3-5 บทแล้ว !”
“ตอนนี้ข้าท่องได้สิบกว่าบทแล้ว รอให้ท่านท่องได้ 20 บทก่อนแล้วค่อยไปประลองกับข้า ! หากไปเร็วเกินไป ท่านอาจจะแพ้ข้าได้ !” สวีฮุ่ยได้แต่แอบคิดในใจว่าทางที่ดีอย่ามาหานางเลย เพราะนางมิมีเวลาไปต้อนรับเขาจริง ๆ
20 บท ! แบบนั้นต้องท่องไปจนถึงเมื่อไหร่ ! เหวินจื้อหงกลัวการท่องตำราที่สุดแล้ว ที่บ้านเชิญอาจารย์มาสอนเขากี่คน เขาก็ทำให้อาจารย์โกรธจนหนีตะเพิดไปหมด
ในบ้านมีแค่ท่านย่าและท่านพ่อเท่านั้นที่กล้าถามถึงเรื่องเรียนของเขา หากเป็นคนอื่น ใครก็ตามที่กล้าพูดถึงเรื่องเรียนต่อหน้าเขา เขาก็จะจัดการคนนั้นทันที !
รอจนกระทั่งเหวินจื้อหงได้สติกลับมาแล้ว ตระกูลสวีก็ได้เก็บของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อย หากเขามิตอบรับคำขอของนาง ต่อไปนี้ก็คงมิอาจมาพบเจอนางได้อีก เขามิอยากให้นางดูแคลนเขา;เอาเป็นว่าตอบรับนางไปแล้วกัน……แต่นั่นมันกลอน 20 บทเชียวนะ แค่คิดก็รู้สึกเศร้าแล้ว แบบนี้เขาต้องท่องไปจนถึงเมื่อไหร่กัน !
“ครั้งหน้าตอนมีตลาด หากข้าท่องกลอนมิถึง 20 บท ข้ายังสามารถมากินซุปปลาได้หรือไม่ ?”
“ได้ แต่นอกเหนือจากที่ตลาดแล้ว หากท่านมิสามารถท่องกลอนได้ถึง 20 บท ห้ามท่านมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก !” สวีฮุ่ยกล่าว
เหวินจื้อหงพยักหน้า ต่อให้สวีฮุ่ยมิพูด เขาก็มิกล้าไปหานางหรอก !
ที่มุมหนึ่งของตลาด สวีจื้อเกาที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนกล่าวกับจ้าวยวี่จือว่า: “ท่านแม่ ท่านเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาขายดีมากแค่ไหน !”
นับตั้งแต่ที่ซุปปลาต้มเสร็จแล้วและนำมาตั้งขาย ก็มีคนแวะเวียนเข้ามาซื้อมิขาดสาย
“เติ้งอาเหลียนมิมีทางยอมเอาสูตรลับทำซุปปลาออกมาอย่างง่ายดายแน่นอน ครอบครัวของพวกนางลำบากจนมิมีข้าวสารจะกรอกหม้ออยู่แล้ว มิง่ายเลยกว่าที่จะหาช่องทางทำเงินได้ เหตุใดนางต้องเอาสูตรลับมาให้เราด้วย ?”
“ท่านแม่ พวกเราได้สูตรลับมาแล้วก็มิได้ออกมาตั้งแผงขายตามตลาดนัดเสียหน่อย อย่างมากก็แค่มิขายในวันที่มีตลาดนัด แล้วปล่อยให้พวกเขาขายซุปปลาอยู่ที่นี่เหมือนเดิมก็พอแล้ว !” ฟู่เฉียวเยว่ลองคิดคำนวณเงินดู มิว่าอย่างไร ซุปปลาพวกนั้นก็น่าจะขายได้ 100 กว่าอีแปะแล้ว หากพวกเขาได้สูตรลับมา พวกเขาก็จะขายที่โรงเตี๊ยมอย่างน้อยชามละ 2 อีแปะ เพราะถึงเยี่ยงไรก็ต้องคำนวณต้นทุนค่าเช่าร้านและค่าจ้างคนงานเข้าไปด้วย
ไหนจะแป้งทอดประเภทนั้นอีก บ้านรองนี่ล้างผลาญเงินทุนของตนเองจริง ๆ แป้งทอดแผ่นใหญ่ขนาดนั้น ขายราคา 1 อีแปะจะไปได้กำไรอะไร ต้องตั้งราคาไว้ที่ 2 อีแปะถึงจะได้ แต่ถึงอย่างไรวันหนึ่งพวกเขาขายซุปปลาได้ 200 ชาม แป้งทอด 400 แผ่น ก็สามารถทำเงินได้มากถึง 600 อีแปะเชียวนะ ! และเดือนนึงคงมีรายได้อย่างน้อย 15 ตำลึงเงินแน่นอน……
แบบนี้พวกเขากำลังจะรวยน่ะสิ !
จ้าวยวี่จือคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่นางจะทำเยี่ยงไรถึงจะเอาสูตรลับนั้นมาเป็นของตนได้ เป็นการดีกว่าที่ครอบครัวของบ้านรองจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านฉือหลิ่งโดยมิออกมาเพ่นพ่านด้านนอก พวกเขาทำไร่ไถนาก็ดีอยู่แล้ว จะมาทำการค้าทำไม !
สวีจื้อเกาคิดแล้วคิดอีก ดูเหมือนว่าทางที่ดีที่สุดควรให้พ่อของเขาเป็นคนพูดเรื่องนี้ เพราะพ่อเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในบ้านแล้ว แต่เขาก็กลัวว่าพ่อของตนจะมีใจลำเอียงไปยังบ้านรอง จนมิกล้าไปแย่งสูตรลับนั้นมา
ต้องทำเยี่ยงไรถึงจะเอาสูตรลับซุปปลามาอยู่ในมือได้ ? คงต้องคิดวางแผนให้ดีเสียแล้ว