ตอนที่ 45 : ทำปลา
ตอนที่ 45 : ทำปลา
ระยะนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น น้ำในแม่น้ำอุ่นขึ้นเล็กน้อย สวีฮุ่ยถอดรองเท้านั่งริมแม่น้ำ แล้วเอาเท้าจุ่มน้ำ
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้านั่งเล่นริมตลิ่งไปนะ อย่าเดินเล่นไปเรื่อยล่ะ ! พ่อและพี่รองของเจ้าจะไปจับปลา !” สวีจื้อหย่งยื่นแป้งทอดและกระบอกไม้ไผ่ที่มีน้ำอยู่เต็มกระบอกให้ลูกสาว แล้วพาลูกชายลงน้ำไปหาปลา
“เจ้านาย อยากให้พวกข้าช่วยไหม ? เสี่ยวจินให้ข้ามาถามเจ้าว่าต้องการปลากี่ตัว แค่บอกจำนวนมาก็ได้แล้ว” เสียงของเฮ่อจิ่นดังมาจากในมิติ
“มิต้องหรอก พวกข้าจะเอาแต่พึ่งพาผู้อื่นมิได้ รอให้พวกข้ากลับบ้านแล้ว ค่อยเอาปลาตะเพียนปล่อยออกมาจากในมิติสักสิบตัว ท่านพ่อและพี่รองของข้าจับปลาได้เท่าใด พวกเราก็จะขายเท่านั้น !” สวีฮุ่ยมิใช่ผู้ที่จะละโมบโลภมากแบบนั้น
ตระกูลสวีมิเลวเลยจริง ๆ เฮ่อจิ่นจึงถ่ายทอดคำพูดของสวีฮุ่ยให้แก่เสี่ยวจิน เสี่ยวจินที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกซาบซึ้งมาก
ตอนแรกที่เข้ามาในมิติ มันได้ตัดสินใจจะทำสัญญานายบ่าวกับสวีฮุ่ยแล้ว และมันคิดที่จะตอบแทนนางเป็นอย่างดีอีกด้วย
คิดมิถึงเลยจริง ๆ ว่าสวีฮุ่ยจะให้มันช่วยนางรดน้ำแปลงนาเท่านั้น มิได้ร้องขอสิ่งใดมากมาย อีกทั้งยังให้น้ำแร่ใสแก่มันมากมาย นั่นมันสมบัติชั้นดีเชียวนะ !
เสี่ยวจินคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายมันก็ตัดสินใจจะแอบช่วยเหลือตระกูลสวี มันส่งเสียงเบาๆ ออกไป ทำให้มีปลาจำนวนมากมายถูกดึงดูดเข้ามาข้างกายสวีจื้อหย่งและสวีเจี้ยนหลิน
สวีจื้อหย่งและลูกชายใช้เวลามินานก็จับปลาได้เต็มสองถังไม้แล้ว ในอกของสวีเจี้ยนหลินยังมีปลาหลีตัวใหญ่หนักประมาณ 5-6 ชั่งอีกหนึ่งตัวด้วย
“ฮุ่ยฮุ่ย นี่มันเรื่องอันใดกัน ?” สวีจื้อหย่งวางปลาลงข้างกายลูกสาวตนเอง
สวีฮุ่ยส่ายหัวน้อย ๆ พลางแอบคุยกับเฮ่อจิ่น
“นี่น่าจะเป็นฝีมือของเสี่ยวจิน บอกครอบครัวของเจ้าเถิดว่ามิต้องถือสา ปลาในแม่น้ำมีมากมาย อีกอย่างต่อให้พวกเจ้ามิจับปลาไป ผู้อื่นก็ต้องมาจับไป ! ตอนนี้เป็นช่วงฤดูจับปลา ในแต่ละวันมิรู้ว่ามีตั้งกี่คนที่โชคดีจับปลาได้มากมาย !”
แบบนี้จะดีจริงหรือ ?
เฮ่อจิ่นทำให้นางวางใจลง ปลาในแม่น้ำมีมากมาย จับได้มิมีวันหมด นางจึงมิจำเป็นต้องกังวลเลย
“ท่านพ่อ ในเมื่อจับมาแล้ว พวกเราก็เอามันกลับบ้านกันเถิด ประเดี๋ยวข้าไปจับปลาตะเพียนก่อน แล้วพวกเราค่อยกลับบ้านกัน !”
“ฮุ่ยฮุ่ย ในถังมีปลาตะเพียนแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถิด !”
ระหว่างทางกลับบ้าน สวีฮุ่ยยื่นมือลงไปในถังไม้ เพียงชั่วพริบตา ปลาในถังไม้ก็ดูร่าเริงขึ้นมา นอกจากนี้นางยังปล่อยปลาตะเพียนจากในมิติลงไปในถังไม้สิบตัว ถังไม้ทั้งสองใบจึงเต็มไปด้วยปลาที่เกือบจะล้นออกมา
“คราวหน้าเราเอาถังไม้มาสี่ใบเถิด !” สวีเจี้ยนหลินจับปลามาได้ตัวใหญ่ หากให้น้องหญิงเอาไปต้มให้กินคงดี
“จับปลาได้ตั้งสองถังแบบนี้ เราควรรู้จักพอได้แล้ว !” สวีจื้อหย่งเชื่อว่าเรื่องในวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับลูกสาวของตนแน่นอน เพราะหากพวกเขาจับปลาได้เท่านี้เป็นครั้งคราวก็ยังพอคิดว่าเป็นเพราะโชคช่วยได้บ้าง แต่นี่พวกเขาจับปลาได้มากมายในทุกครั้งที่พาลูกสาวมาด้วย หากเป็นแบบนี้บ่อยเข้าอาจทำให้ผู้อื่นเอาไปพูดคุยกันและตั้งข้อสงสัยเอาได้
เขามิอยากให้ผู้อื่นมาสังเกตเห็นว่าบ้านของพวกเขามีแม่นางน้อยผู้หนึ่งที่แตกต่างไปจากผู้อื่น
“ท่านพ่อพูดถูก คนเรามิควรละโมบโลภมากเกินไป สิ่งที่มิใช่ของเราก็มิควรคิดไปเอาของผู้อื่นเขา ครอบครัวของเราขยันขันแข็ง ข้าเชื่อว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
สวีเจี้ยนหลินเองก็เพียงแค่พูดไปอย่างนั้น ที่จริงเขามิได้ต้องการอะไรมากมาย ขอเพียงแค่ให้ปลาที่จับได้ในทุกครั้งเพียงพอให้เขาได้กินก็พอแล้ว
“กลับบ้านเดี๋ยวเราจะเอาปลาที่เสี่ยวหลินจื่อจับได้ออกมาต้มกิน ฮุ่ยฮุ่ย เย็นนี้คงต้องรอดูฝีมือของลูกแล้วแหละ !” สวีจื้อหย่งหยอกลูกสาว
“มิมีปัญหา ท่านพ่อคอยดูให้ดีเถอะ พวกท่านอยากกินปลาพะโล้หรือว่าปลาผัดเปรี้ยวหวาน !”
“ขอเพียงแค่เป็นฝีมือของน้องหญิง พี่รองมิเลือกกินแน่นอน !” สวีเจี้ยนหลินกล่าว
“ท่านพี่มิเลือกใช่ไหม……งั้นก็ให้ท่านแม่มาทำแล้วกัน !” สวีฮุ่ยแกล้งพี่รอง
“ขนาดเจ้ายังรู้จักแกล้งพี่แล้ว น้องหญิง เจ้านี่เลียนแบบนิสัยมิดีแล้วนะ !”
ในตอนที่สามคนพ่อลูกขับเกวียนวัวถึงบ้านนั้น เติ้งอาเหลียนและลูกสะใภ้ก็ได้ทอดแป้งทอดเสร็จหมดแล้ว เมื่อเห็นว่าในถังไม้มีปลามากถึงห้าสิบหกสิบตัว เติ้งอาเหลียนจึงหันไปมองหลานสาวอย่างสื่อความหมาย ชาติที่แล้ว หลานของนางคงมิได้เป็นลูกสาวของราชามังกรใช่ไหม !
“เอาถังไม้ไปไว้ในห้อง ต่อไปก็อย่าจับปลาแบบนี้อีก !” มันช่างน่าตกใจเหลือเกิน โจวเสี่ยวเหมยกำลังคิดว่าหากมีใครสักคนมาเห็นเข้าก็คงตกใจมิใช่น้อย เพราะมีใครบ้างที่จะจับปลาได้คราวละมากมายขนาดนี้
สวีฮุ่ยเอาอ่างมาใบหนึ่ง แล้วจับปลาตะเพียนเหล่านั้นออกมาจากถังไม้ แล้วเอาปลาตัวที่พี่รองจับมาได้ออกมาเช่นกัน: “เย็นนี้เราจะกินพวกมันกัน !”
เติ้งอาเหลียนนั่งนับปลาไปได้สักพัก: “ยังมีปลาอีก 43 ตัว”
หากคิดคำนวณที่ตัวละ 25 อีแปะ ปลาเหล่านี้สามารถขายได้มากถึง 1 ตำลึงเงินเชียวนะ
วันนี้นางทอดแป้งทอดได้เยอะมาก ปกติขายซุปปลาคู่กับแป้งทอดก็สามารถขายได้มากถึง 400-500 อีแปะแล้ว วันเดียวสามารถทำเงินได้มากถึง 1 ตำลึงเงินเชียวล่ะ ! หากเป็นเมื่อก่อน เติ้งอาเหลียนคงมิกล้าจินตนาการว่าตนเองจะทำเงินได้มากขนาดนี้แน่นอน แต่ตอนนี้กลับง่ายดายแล้ว
“คืนนี้เราจะต้มปลาตัวใหญ่ที่ฮุ่ยฮุ่ยเอาออกมาแล้วกัน พวกเราทำปลาพะโล้กินดีไหม เมื่อก่อนปลาที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินก็ปลาพะโล้นี่แหละ น่าเสียดายที่มิได้ลิ้มรสมันมานานหลายปีแล้ว !” เติ้งอาเหลียนนึกถึงความทรงจำในอดีต ตอนนั้นเป็นตอนที่นางแต่งงานกับสามีได้ใหม่ ๆ ทั้งสองจึงชวนกันออกไปกินข้าวในเมือง รสชาตินั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของนางมิรู้ลืม !
“วันนี้เราจะทำปลาพะโล้แล้วกัน พวกท่านรอชิมฝีมือข้าได้เลย !” สวีฮุ่ยกล่าว
ตอนนี้คนในครอบครัวต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตน เติ้งอาเหลียนช่วยหลานสาวทำปลาตัวใหญ่ตัวนั้น และควักแพไข่ปลาออกมาจากท้องปลาได้แพใหญ่
“เอาไข่ปลามาผัดเค็มดีไหม ?” เติ้งอาเหลียนถาม
“ไข่ปลาและไตปลาตัวนี้พอที่จะทำอาหารได้จานหนึ่งเลยท่านย่า ท่านช่วยข้าเอาส่วนที่กินได้ออกมาจากท้องปลาให้หน่อย ข้าจะเอามาผัดสักจาน !”
เติ้งอาเหลียนอยากพูดเหลือเกินว่าไข่ปลาและไตปลานั่นมันคาวมาก เมื่อก่อนนางเคยลองนำมานึ่ง ทำซุป และตุ๋นกินด้วย แต่มิว่าจะทำเยี่ยงไรก็มิสามารถกำจัดกลิ่นคาวออกได้
“ท่านย่ามิต้องกังวล ข้าทำแล้วมิมีกลิ่นคาวแน่นอน”
ไข่ปลาและไตปลาถูกทำเสร็จแล้ว สวีฮุ่ยนำขิง เหล้าจีนและน้ำส้มสายชูมาดับกลิ่นคาวของเครื่องในปลา
หนูน้อยนำหม้อใบใหญ่ไปตั้งไฟ หั่นปลาเป็นชิ้นพอดี จากนั้นนำไปคลุกแป้งแล้วทอดให้เหลืองสวยทั้งสองด้าน ถึงใส่เครื่องปรุงลงไปและเติมน้ำซุป
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีฮุ่ยเตรียมทำเมนูไข่ปลาและไตปลา เวลาทำอาหาร นางจะมิเคยปิดบังใคร เพราะวิธีการทำอาหารของนางมิต่างจากเติ้งอาเหลียน เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ปลาพะโล้และเมนูไตปลาเสร็จพร้อมกันพอดี
“กลิ่นนี้เลย เอ๊ะ มิใช่สิ กลิ่นนี้มันหอมกว่าครั้งนั้นที่ย่าเคยไปกินกับปู่ของเจ้าเสียอีก !” เติ้งอาเหลียนรู้สึกซาบซึ้งใจ เพราะนางมิได้กินเมนูปลาที่อร่อยขนาดนี้มานานหลายปีแล้ว
“ท่านย่า ท่านแม่ พวกเราช่วยกันเก็บเงินเปิดร้านอาหารสักร้าน หากให้น้องหญิงเป็นคนทำอาหาร ข้ารับรองเลยว่าจะต้องขายดีแน่นอน !” สวีเจี้ยนหลินมั่นใจในฝีมือของน้องสาวมาก
“น้องของเจ้ายังเด็กเกินไป อีกทั้งคนอื่นในครอบครัวก็มิมีใครทำรสชาตินี้ได้อีกแล้ว !” เติ้งอาเหลียนมิอยากให้หลานสาวต้องคอยวุ่นอยู่หน้าเตาตั้งแต่อายุยังน้อย
“ท่านย่า หลังปีใหม่ข้าก็จะอายุ 7 ขวบแล้ว เราเก็บเงินสัก 2 ปี รอให้ข้าอายุ 10 ขวบก่อนค่อยเปิดร้านอาหาร ช่วงแรกเราเปิดร้านเล็ก ๆ กันก่อน ขายพวกของกินเล่นอย่างทอดมันปลา ไข่พะโล้และกุ้งฝอยทอด ข้าจะเป็นคนเตรียมเครื่องปรุงให้ ท่านย่าและท่านแม่ก็สามารถทำได้ เพียงแค่คอยควบคุมไฟให้ดีก็พอ”
หลานสาวของนางเฉลียวฉลาด ทั้งยังทำอาหารอร่อยทุกอย่าง ทำให้เติ้งอาเหลียนเกิดความรู้สึกอยากจะเปิดร้านขึ้นมาจริง ๆ
ตอนนี้ครอบครัวของนางมิขาดแคลนปลาแล้ว ตอนนี้พวกนางขายของกิน ขอเพียงแค่มีรสชาติอร่อยและราคามิแพง นางเชื่อว่าจะต้องมีลูกค้าแน่นอน โจวเสี่ยวเหมยเองก็เห็นด้วยเช่นกัน แม้นางจะทำอาหารมิเป็น แต่นางช่วยเก็บกวาด ทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ได้ !