ตอนที่ 42 : ซื้อเมล็ดข้าว
ตอนที่ 42 : ซื้อเมล็ดข้าว
นี่เป็นครั้งแรกที่เหวินจื้อหงประนีประนอม เขาให้บ่าวรับใช้จูงม้าไปไว้ที่คอกม้าก่อน ส่วนเขาได้เดินไปที่ด้านข้างรูปปั้นสิงโต เขาแทบอยากจะดึงตัวสวีฮุ่ยออกมาโดยเร็ว นางมิควรถูกรูปปั้นบดบังความงามเลย
“ในเสื้อของเจ้ามีอะไร ?” เหวินจื้อหงพูดจบก็ดึงมือของสวีฮุ่ยออก ทำให้ปลาหลีฮื้อสองตัวหล่นลงพื้นไป ในเวลานี้ พ่อบ้านเหวินได้เดินออกมาจากหลังประตู เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกัน เขาจึงหันไปทางประตูใหญ่
“คุณชายของข้า ท่านกลับมาเสียที เหตุใดถึงมิเข้าไปในจวนกันเล่า !” พ่อบ้านเหวินโค้งตัวคำนับเด็กชายอย่างนอบน้อมด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้า ราวกับว่าในสายตาของเขาเห็นเพียงเหวินจื้อหงเท่านั้น มิได้เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย
“แม่นางน้อยผู้นี้มาที่บ้านเราทำไมหรือ ?” เหวินจื้อหงถาม
ในเพลานี้ สวีจื้อหย่งวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามา: “เรียนคุณชาย นางคือลูกสาวของข้า พวกเรามาส่งปลาให้จวนเหวิน ปีนี้นางเพิ่งอายุ 6 ขวบเท่านั้น ยังมิรู้เรื่องรู้ราวอันใด หากนางทำให้คุณชายขุ่นเคือง ข้าต้องขออภัยแทนนางด้วย !”
สวีฮุ่ยกำลังนั่งยองกับพื้นเพื่อดูเจ้าปลาหลีฮื้อทั้งสองตัวนั้น นางถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจรีบป้อนน้ำแร่ใสจากในมิติให้ปลาทั้งสองตัวนี้ เมื่อนางได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อ นางจึงเงยหน้ามองเขา นี่คือครั้งแรกที่สวีฮุ่ยได้ยินพ่อของตนพูดประโยคยาว ๆ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมา
“ท่านพ่อ……” นี่ข้าสร้างปัญหาให้ท่านพ่อหรือเปล่านะ ? เหตุใดท่านพ่อถึงได้กล่าววาจาด้วยถ้อยคำที่เหมือนพยายามระงับอารมณ์ไว้ล่ะ เมื่อครู่นี้ข้ามัวโกรธจนลืมว่าที่นี่เป็นยุคโบราณไปเลย
“มิเป็นไร ! พวกเจ้ามิต้องกังวล ปลาหลีฮื้อนี้ขายด้วยหรือไม่ ? พวกเจ้าเสนอราคามาได้เลย ข้าจะซื้อเอง !” เหวินจื้อหงยังสงสัยตนเองว่าเขาอารมณ์ดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน !
เจ้าอ้วนคนนี้มิโกรธก็ดีแล้ว เมื่อเห็นว่าปลาหลีฮื้อสองตัวนี้ดิ้นอยู่บนพื้นจนดินเปรอะตัว สวีฮุ่ยจึงกล่าวว่า: “พวกข้าเจอปลาสองตัวนี้โดยบังเอิญ คุณชายลองตั้งราคาเถิด !”
“ตัวละ 10 ตำลึงเงินเป็นไง พ่อบ้านเหวิน ท่านก็รีบเพิ่มราคาให้ปลาชนิดอื่นของนางด้วย แม่นางน้อย เจ้าเป็นคนที่ใด คงมิใช่คนในมณฑลเฟิงซานใช่ไหม !” เหวินจื้อหงสนใจสวีฮุ่ยมากกว่าที่สนใจปลาหลีฮื้อเสียอีก เพราะสตรีที่เขาพบเจอมาก่อนหน้านี้ หากไม่ขี้อายดูอ่อนแอ ก็น่าขยะแขยงจนเขาไม่อยากเข้าใกล้
แต่แม่นางน้อยตรงหน้าเขานี้ ยามที่เขาได้มองนางกลับทำให้เขารู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะยามที่เขาได้เห็นนางกระพริบตาคู่งามนั้น มันทำให้ดวงใจน้อย ๆ ของเขาเต้นระส่ำ ทั้งดูอบอุ่น ดูแก่นแก้วและดูสบายใจไปในคราวเดียวกัน !
“ข้าอาศัยอยู่ที่……หมู่บ้านละแวกนี้ ท่านพ่อ ประเดี๋ยวขายปลาเสร็จแล้ว ข้าอยากไปเดินเล่นเสียหน่อย ท่านดูสิฟ้ายังมิมืดเลย ! ขอข้าไปซื้อของกลับบ้านได้หรือไม่ ?” สวีฮุ่ยหันไปถามสวีจื้อหย่ง
เหวินจื้อหงผู้นั้นเป็นมิตรเกินไป จนนางเริ่มทำตัวมิถูกแล้ว
“เจ้าอยากได้อะไร ? ถ้าที่บ้านข้ามี เจ้าสามารถเอาไปได้เลย !”
สวีฮุ่ยเดินมาหลบอยู่ด้านหลังสวีจื้อหย่ง: “คุณชาย ท่านรีบกลับเข้าจวนเถิด !”
เด็กชายอายุน้อยเพียงนี้แต่กลับมาแสดงความปรารถนาดีต่อเด็กหญิงคนหนึ่งแล้ว ประเด็นก็คือนางยังเด็กเกินไป มิอาจตอบรับและตอบรับมิได้ !
พ่อบ้านเหวินเองก็เชื้อเชิญให้คุณชายของตนรีบกลับเข้าจวนเช่นกัน คุณชายน้อยของเขาเหมือนกับม้าป่าที่ชอบพยศ มีแค่ตอนนายท่านลงโทษให้เขาท่องตำราเท่านั้น ถึงจะเห็นท่าทีตึงเครียดของเขา ปกติเวลาเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือเรื่องอื่น เขามักจะชอบมีนิสัยเจ้าอำนาจ เอาแต่ใจตัวเอง
“ข้าบอกให้เจ้าชั่งปลาให้นาง เจ้าชั่งเสร็จแล้วหรือยัง แล้วก็ต้องจ่ายราคาปลาหลีฮื้อสองตัวนั้นให้นางด้วย !”
หลังจากรับเงินมาแล้ว สวีฮุ่ยเก็บไว้เพียง 10 ตำลึงเงิน แล้วคืนที่เหลือให้แก่พ่อบ้านเหวิน: “ปลาพวกนี้คิดราคานี้แล้วกัน ส่วนที่เหลือขอพ่อบ้านเหวินรับไว้ด้วย ท่านพ่อ เราไปกันเถิด !” สวีฮุ่ยเอาเงินใส่ในมือของพ่อ แล้วดึงพี่รองขึ้นไปบนเกวียนวัว นางแอบสวดภาวนาในใจว่าขอให้นางสามารถซื้อเมล็ดข้าวที่ร้านขายเมล็ดพันธุ์ได้ด้วยเถิด
เมื่อเห็นว่าครอบครัวสวีกำลังจะไป เหวินจื้อหงจึงร้อนใจขึ้นมา: “ข้าชำนาญเส้นทางในมณฑลเป็นอย่างดี เดี๋ยวข้าจะนำทางให้เจ้าเอง !”
สวีฮุ่ยถึงกับเหลือบมองพ่อบ้านเหวินราวกับกำลังบอกว่า: ดูแลลูกหลานของพวกท่านให้ดีเถิด เขามาเกาะติดกับนางขนาดนี้ ถึงนางจะมิได้รังเกียจเหวินจื้อหง เพียงแต่มิอยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขา เหวินจื้อหงดูเหมือนเด็กนิสัยเสียและถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เกิด มิเหมือนกับตัวนางสักนิด
มีใครห้ามได้ที่ไหน ! พ่อบ้านเหวินมิใช่พ่อบ้านใหญ่ประจำจวนเสียหน่อย เขาจึงมิมีสิทธิ์พูดอะไรต่อหน้าเหวินจื้อหง กล่าวได้ว่ามิกล้าพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว !
“เช่นนี้ดีหรือไม่ แม่นางตัวน้อยอยากซื้ออันใด หากในจวนของข้ามี เราก็ซื้อขายกันดีไหม !” พ่อบ้านเหวินคิดหาทางออกมิเจอแล้วจริง ๆ เขาคิดว่าอย่างมากสวีฮุ่ยคงต้องการแค่น้ำตาลก้อนหรือไม่ก็ดอกไม้ผ้า และขนมอีกมิเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีในจวนเหวิน
“ท่านลุงพ่อบ้าน ข้าอยากซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสัก 10 อีแปะ ท่านมีหรือไม่ ?” สวีฮุ่ยเองก็หวังว่าจะมีความหวังเช่นกัน ในช่วงนี้แม้แต่ร้านขายเมล็ดพันธุ์ก็อาจจะมิมีเมล็ดข้าวขาย !
“จวนของข้ามี ข้าจะไปเอามาให้ เจ้ารอข้าก่อนนะ !” เหวินจื้อหงวิ่งเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว สวีฮุ่ยเห็นว่าเขาวิ่งเข้าจวนไปแล้ว จึงเร่งเร้าให้สวีจื้อหย่งรีบขับเกวียนออกไป
ดูก็รู้ว่าเด็กชายผู้นั้นคงมิสนสี่สนแปด เกิดเขาเอาเมล็ดข้าวออกมาหนึ่งกระบุงขึ้นมา นางจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเขา อีกอย่างในมิตินั้น มิว่าจะปลูกอะไรล้วนใช้เมล็ดพันธุ์มิเท่าไร มิสู้เอาเงินไปซื้อแป้งและน้ำมันดีกว่าหรือ !
ขอเพียงแค่พ่อบ้านเหวินเป็นคนพยักหน้า สวีฮุ่ยถึงจะยอมทำการค้าด้วย แต่สำหรับเหวินจื้อหงนั้น……ช่างมันดีกว่า !
พ่อบ้านเหวินเข้ามาขวางเกวียนของนางไว้: “แม่นางตัวน้อย เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย !” หากคุณชายของเขาออกมาแล้วมิเจอนาง มีหวังจับเขากินแน่นอน
“ท่านลุง ข้ามีเงินเพียงแค่ 10 อีแปะเท่านั้น ! เงินที่ขายปลาได้เมื่อครู่นี้เป็นเงินที่ครอบครัวของข้าจะเอาไปส่งพี่ใหญ่เรียน มิสามารถเอามาใช้อย่างอื่นได้ !” สวีฮุ่ยเปลี่ยนประเด็น
สำหรับจวนเหวินแล้ว เงินหลักสิบหลักร้อยตำลึงเทียบมิได้กับทรัพย์สินในจวนเลย เพราะเป้าหมายเดียวของพวกเขามีแค่คุณชายของพวกเขาเท่านั้น ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่ทำให้คุณชายมีความสุข ทุกอย่างจะง่ายขึ้นทันที !
เวลานี้ สวีจื้อหย่งได้กระซิบลูกสาวว่าจะซื้อเมล็ดข้าวไปทำไม ?
“ข้าต้องใช้มัน ไว้รอกลับบ้าน เราค่อยคุยกันนะท่านพ่อ !”
ผ่านไปสักประเดี๋ยว เหวินจื้อหงได้วิ่งกลับออกมาอีกครั้ง ด้านหลังของเขายังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งดึงรถลากใส่เมล็ดพันธุ์ข้าวมาด้วย
แม่เจ้า นี่ข้าประเมินเขาน้อยไปหรือ เจ้าเด็กผู้นี่ให้คนลากรถลากใส่ข้าวมามากมายขนาดนี้ แถมด้านบนรถลากยังมีกล่องของขวัญอีกตั้งหลายกล่อง นี่เขาตั้งใจจะขายหนึ่งแถมสิบหรือไร ?
เฮ่อจิ่นที่อยู่ในมิติถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา: “เจ้านาย ดูเหมือนเจ้าเด็กอ้วนผู้นี้จะชอบเจ้าเข้าแล้วล่ะ !”
“จะมีอะไรมากไปกว่าการเป็นเฒ่าหัวงูกันล่ะ ข้าอายุเท่าไหร่เอง เขาเองก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ! ต่อให้เขาแก่แดด แต่มันจะโตกว่าวัยเกินไปหน่อยหรือไม่ !”
“เรื่องนี้มันก็ยังมิแน่เสมอไป ! อ้อ คนโบราณเขาโตเร็วกันจริงแหละ !”
สวีฮุ่ยเข้าใจความคิดของเฮ่อจิ่น แต่นางตัดสินใจแล้ว นางต้องการซื้อเมล็ดข้าวเพียง 10 อีแปะเท่านั้น
“ท่านลุง ข้ามีเท่านี้ !” สวีฮุ่ยควักเงิน 10 อีแปะออกมาแล้วยัดใส่มือพ่อบ้านเหวิน เพื่อให้เขาจัดการตามที่เห็นสมควร !
พ่อบ้านเหวินจึงเดินมาตรงหน้าเหวินจื้อหง แล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า: “บ้านของแม่นางน้อยผู้นี้มีฐานะลำบาก นางมีเงินเพียงแค่ 10 อีแปะ และต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวแค่ 10 อีแปะเท่านั้น !”
“เมล็ดพันธุ์ข้าวสองกระบุงนี้รวมแล้วได้ 10 อีแปะพอดี !” เหวินจื้อหงแย่งเงิน 10 อีแปะนั้นมายัดใส่อกเสื้อของตนเองโดยมิลืมที่จะตบมันอย่างภาคภูมิใจ ต่อไปนี้เงินจำนวนนี้ก็เป็นของเขาแล้ว
“หากคุณชายยังทำเช่นนี้อีก ฉะนั้นข้าจะมิขอรับเมล็ดข้าวนี้แล้ว และข้าจะมิขอรับเงิน 10 อีแปะคืนเช่นกัน ท่านพ่อ เรากลับกันเถิด !”
“เอ่อ อย่าเพิ่งไปสิ ! บ้านข้ามีเสบียงมากมาย……”
“ข้ามิได้มาเอาเปรียบท่านนะ หากท่านขายเมล็ดข้าวให้ข้าในราคาที่ควรจะเป็น 10 อีแปะจริง ๆ ข้าก็จะซื้อ แต่หากมิขาย ข้าก็คงต้องขอตัวก่อน !”
นี่มีคนกล้าพูดจาเช่นนี้กับคุณชายด้วยหรือ ? บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนเหวิน รวมถึงพ่อบ้านเหวินต่างนับถือในความกล้าหาญของสวีฮุ่ย จริงอยู่ที่ลูกวัวแรกเกิดมิกลัวเสือ คนที่มิเคยเห็นฤทธิ์เดชของคุณชายช่างมีความกล้าเสียจริง !