ตอนที่ 39 : หาเงินเองได้เป็นครั้งแรก
ตอนที่ 39 : หาเงินเองได้เป็นครั้งแรก
เมื่อเห็นว่าสวีจื้อเกากินอิ่มแล้ว สวีฮุ่ยจึงเดินไปเก็บชามขึ้นมาแล้วยื่นมือเล็ก ๆ ไปตรงหน้าเขา
“อะไร! อาแท้ ๆ มาดื่มซุปปลายังต้องคิดเงินอีกหรือ ในสายตาของเจ้ามันมีแต่เงินหรือไร !” สวีจื้อเกาอยากจะตีหลานสาวตัวเองสักทีสองที สวีฮุ่ยก็ได้ชักมือเล็ก ๆ กลับตั้งแต่ตอนที่เขากำลังง้างมือขึ้นมา
“แอบอ้างเป็นญาติของผู้อื่นเพื่อมากินซุปปลาของเขา ท่านนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ ท่านย่าของข้ามีท่านพ่อเป็นลูกชายคนเดียวเท่านั้น เหตุใดข้าถึงจำมิได้ว่าตนเองมีญาติเช่นนี้ด้วย ?” ซุปปลา 1 ชามและแป้งทอด 1 แผ่นราคาเพียงแค่ 2 อีแปะเท่านั้น สวีฮุ่ยมิได้งกของ เพียงแต่นางคิดว่าหากให้สวีจื้อเกากินฟรีคงเสียดายของแย่
“ข้าเป็นอาจากบ้านใหญ่ ข้ามากินซุปปลายังต้องจ่ายเงินอีก นี่ครอบครัวของเจ้าสอนลูกหลานกันเยี่ยงไร !” คราวนี้สวีจื้อเกาชี้นิ้วไปที่เติ้งอาเหลียน แต่เมื่อเห็นว่าสวีจื้อหย่งกำลังนั่งขายปลาอยู่ตรงนั้น อีกทั้งในถังก็เหลือปลาเพียงแค่ไม่กี่ตัวแล้ว เขาจึงเดินไปไล่คนที่กำลังจะซื้อปลา: “ปลาที่เหลือเป็นของข้าแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ !”
“ท่านลุง ท่านป้า พวกข้ามิรู้จักเขา พวกท่านดูสิ คนอะไรมาตีเนียนขอกินซุปปลาและแป้งทอดโดยไม่จ่ายเงินมิพอ ยังคิดจะมาเอาปลาของคนอื่นไปฟรี ๆ อีก มีคนแบบนี้ด้วยหรือ ! ปลาพวกนี้ตัวใหญ่พอกัน ข้าคิดตัวละ 15 อีแปะเท่านั้น ขายหมดแล้ว พวกข้าก็จะกลับบ้านแล้ว เข้ามาสิ พวกท่านอยากได้ตัวไหนก็เลือกได้เลย !” สวีฮุ่ยเบียดสวีจื้อเกาออกไป แล้วไปช่วยลูกค้าจับปลา
กว่าสวีจื้อเกาจะได้สติกลับมา นางก็ขายปลาหมดแล้ว
สวีฮุ่ยมองสวีจื้อเกาอย่างท้าทาย: “เก็บของกลับบ้านกันเถอะ !”
“นังเด็กคนนี้ มิรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ !”
“ต่อให้ข้ามิรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ แต่ก็มิไร้ยางอายเหมือนคนบางคน มาขอกินข้าวโดยไม่จ่ายเงินมิพอ ยังคิดอยากเอาของผู้อื่นไปโดยไม่จ่ายเงินอีก เหตุใดข้าถึงมิเคยเห็นว่าท่านให้อะไรพวกข้าบ้าง ! บ้านของท่านคงสอนลูกหลานมาดีมากถึงได้ให้คนวัย 20 กว่าปีเร่ออกมาตีเนียนขอข้าวคนอื่นกินโดยไม่จ่ายเงิน ข้ารู้สึกละอายใจแทนครอบครัวของท่านเหลือเกิน ต่อไปนี้ร้านของพวกข้ามิต้อนรับท่าน อย่ามาแอบอ้างว่าเป็นญาติเพื่อขอกินข้าวโดยไม่จ่ายเงินอีก ต่อให้ท่านมิละอายใจ แต่คนอื่นเขาละอาย !” คำพูดถูกถ้อยคำของสวีฮุ่ยทำให้คนรอบข้างต่างพากันชี้ไม้ชี้มือไปยังสวีจื้อเกา บุรุษคนนี้อายุปูนนี้แล้วแต่ยังมาถูกเด็กน้อยคนหนึ่งสั่งสอน ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ
สวีจื้อเกาโตมาขนาดนี้แต่ยังมิเคยถูกใครด่าเช่นนี้มาก่อน เขาเอื้อมมือไปจะตีหัวสวีฮุ่ย คนในตระกูลสวีต่างเข้ามาช่วยหนูน้อย ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยความชุลมุน
“เฮ่อจิ่น ช่วยข้าจัดการเขาที !”
“จะให้ฆ่าเขา หรือทำให้เขาพิการดีล่ะ !” เฮ่อจิ่นมิถูกชะตากับสวีจื้อเกามานานแล้ว คนอะไรรังแกแม้กระทั่งเด็ก หน้ามิอายจริง ๆ
“ทำให้เขาบาดเจ็บภายในเล็กน้อยก็พอ เอาแบบที่มองไม่เห็นจากภายนอก ข้ามิอยากเห็นคนจากบ้านใหญ่มาหาเรื่องถึงบ้านอีกแล้ว ทางที่ดีอย่าให้เขาออกมาอาละวาดภายในช่วง 3 วันนี้ก็พอ !”
เรื่องนี้……เหมือนจะยากอยู่เหมือนกัน เฮ่อจิ่นจึงกระแทกตัวใส่สวีจื้อเกาเพื่อแทรกจิตเข้าไปในร่างกายของเขา อดกลั้นต่ออาการคลื่นไส้เข้าไปลงมือกับลำไส้ของเขาอย่างทารุณ ทำให้เขาเข้าห้องน้ำมิได้ หรือกลั้นปัสสาวะมิอยู่ และมิสามารถฟื้นตัวได้ภายในสิบวันหรือครึ่งเดือน !
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฮ่อจิ่นจึงได้กลับไปนอนหลับบนต้นไม้แฝด
เมื่อเห็นว่าสวีจื้อเกามิมีโอกาสได้ลงมือกับลูกสาว แต่กลับทรุดลงไปกับพื้นเสียเอง เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยนึกว่าสวีจื้อหย่งลงมือ สวีจื้อหย่งรู้ว่าภรรยาและแม่ของตนตบตีเก่งมาก ยังนึกว่าพวกนางเป็นคนจัดการสวีจื้อเกา ตระกูลสวีช่วยกันเก็บของ เก็บโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารไว้ที่ร้านด้านหลัง
เมื่อเช้าหลงจู๊กินซุปปลาของครอบครัวสวีไปสองชามแล้ว จึงมีความประทับใจดี ๆ ต่อพวกเขา เขาบอกว่าคราวหน้ามิต้องตั้งเตาดินให้ยุ่งยากแล้ว สามารถไปใช้เตาที่หลังร้านเขาได้ ขอเพียงแค่แบ่งซุปปลาไว้ให้พวกเขาสัก 10 ชาม เขาจะมิคิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
สวีฮุ่ยตอบรับในทันที นางเองก็รู้ว่าหลงจู๊ผู้นี้มีใจอยากแอบเรียนรู้สูตรซุปปลาของนาง แต่สวีฮุ่ยมิได้กังวลถึงจุดนี้เลย เพราะหากมิมีน้ำซุปแร่และปลาตะเพียนจากในมิติ มิว่าใครก็อย่าหวังว่าจะทำซุปรสชาติที่เหมือนกับของบ้านนางได้
“ท่านพ่อ วันนี้พวกเราหาเงินได้ตั้งหนึ่งร้อยกว่าอีแปะเชียวนะ ไปซื้อน้ำมันและเนื้อกลับบ้านสักหน่อยเถิด” สวีฮุ่ยอยากไปเดินดูบริเวณที่ขายเมล็ดพันธุ์ เพื่อหาดูว่าพอจะมีเมล็ดข้าวขายหรือไม่
“วันนี้พวกเรารีบกลับกันเถิด ตอนบ่ายพ่อต้องเอาปลาไปส่งให้จวนเหวินอีก !” สวีจื้อหย่งดูออกว่าลูกสาวอยากเดินเล่นในเมืองต่อ ถ้าเขามิมีนัดนำปลาไปส่งคงมีเวลาพอ แต่นี่เขาดันมีนัดน่ะสิ ประเดี๋ยวมันจะมิทัน
“ได้ !” สวีฮุ่ยตื่นเต้นเกินไปหน่อย จึงลืมสัญญาที่รับปากกับพ่อบ้านเหวินไว้
“พรุ่งนี้ตอนที่พ่อมาซื้อแป้ง พ่อจะพาเจ้ามาด้วย !” สวีจื้อหย่งมิลืมที่จะเอาใจลูกสาว
“จริงหรือ !” หนูน้อยที่เพิ่งจะทำหน้าหงอยพลันดีใจขึ้นมา ราวกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แต่พอได้น้ำกลับดูสดชื่นขึ้นมา
เมื่อขึ้นมาบนเกวียนแล้ว เติ้งอาเหลียนให้หลานสาวทายว่าวันนี้ขายได้เงินเท่าไหร่
“ซุปปลากับแป้งทอดขายได้ทั้งหมด 166 อีแปะ ส่วนปลาเป็นขายได้ 310 อีแปะ รวมทั้งหมดขายได้ 476 อีแปะ ต้นทุนของพวกเราอย่างมากก็แค่ 30 อีแปะ ดังนั้นวันนี้เราจึงได้กำไร 400 กว่าอีแปะ”
เติ้งอาเหลียนตบขาฉาดใหญ่ ทำการค้านี่มันดีจริง ๆ วันเดียวก็ทำเงินได้มากมายถึงเพียงนี้แล้ว
“ท่านแม่ ฮุ่ยฮุ่ย วันนี้พวกเราไปส่งปลาที่จวนเหวินด้วยกันเถิด ! ปลา 20 ตัวน่าจะขายได้ประมาณ 400 อีแปะ แบบนี้พอลองนับดูแล้ว วันนี้เราน่าจะหาเงินได้ 1 ตำลึงเชียวนะ !”
เงินจำนวนนี้มิใช่เงินจำนวนน้อย ๆ สำหรับตระกูลสวีเลย
เติ้งอาเหลียนหยิบเงินยื่นให้สวีฮุ่ย 10 อีแปะ: “นี่คือของรางวัลของหลานสาวข้า !”
นางกำลังกังวลว่าจะมิมีเงินซื้อเมล็ดพันธุ์อยู่เลย ! สวีฮุ่ยเองก็รับเงินมาไว้ในเสื้ออย่างมิเกรงใจ แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะมิสามารถซื้อเมล็ดข้าวได้ถึง 1 ชั่ง แต่หากมีมิติอยู่ ใช้เวลามินานนางก็จะได้กินข้าวที่ปลูกกินเองแล้ว สวีฮุ่ยกำลังวาดฝันอย่างสวยงาม
เมื่อผ่านแม่น้ำในหมู่บ้านฉือหลิ่ง สวีจื้อหย่งจึงถามลูกสาวว่าจะไปจับปลาตอนนี้เลยไหม ?
“ตอนบ่ายก่อนที่เราจะเข้าเมืองค่อยไปจับ ท่านพ่อมิต้องกังวล ข้ารับประกันว่าเราจะต้องจับปลาได้ 20 ตัว มิขาดมิเกินแน่นอน” สวีฮุ่ยเลือกแม้กระทั่งบริเวณแม่น้ำที่จะจับปลา ระหว่างทางเข้าเมืองมีป่าเล็ก ๆ และมีแม่น้ำอยู่ด้วย แม่น้ำที่นั่นกว้างกว่าแม่น้ำในหมู่บ้านฉือหลิ่ง หากจับปลาตัวใหญ่ได้ล่ะก็ ยังสามารถนำไปขายให้ตระกูลเหวินหรือไม่ก็ที่โรงเตี๊ยมได้ คราวนี้นางอยากทดสอบความสามารถของตนเองบ้าง เพราะนางจะเอาแต่พึ่งพาเฮ่อจิ่นมิได้
มันเป็นถึงภูติประจำมิติเชียวนะ มิควรต้องมาถูกมนุษย์ตัวน้อยชี้นิ้วสั่งให้ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตลอดเวลา ต้องโทษที่นางเป็นเจ้าของที่อ่อนแอ มิสามารถทำให้มันใช้พลังได้อย่างเต็มความสามารถ และมิมีโอกาสให้มันแสดง
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้ได้ไหม ? เจ้าอายุเพียงเท่านี้เอง ยังมีอีกหลายเรื่องที่มิอาจทำได้ ตอนนี้ข้าดูดซับพลังวิญญาณจากในมิติทุกวัน ทั้งยังช่วยเจ้าปลูกข้าวสาลี ต่อไปนี้เวลาเจ้าได้เมล็ดพันธุ์อะไรมาก็จะเปลี่ยนปลูกไปเรื่อย ๆ หน้าที่หลักของข้าคือการดูแลมิติ ข้ามิได้มีความคับข้องใจแต่อย่างใด” ถึงแม้ว่าในยามปกติ เฮ่อจิ่นจะค่อนข้างขี้บ่นและปากร้ายไปบ้าง แต่มันเป็นภูติที่จิตใจดี มันกลัวว่าสวีฮุ่ยจะเสียใจ จึงปลอบใจนางมิหยุด
“ข้าเองก็จะขยันเช่นกัน ข้าจะพยายามทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว จะได้มิทำให้เจ้าและมิติต้องขายหน้า !” ในใจของสวีฮุ่ยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางเองก็เชื่อมั่นว่าตนเองจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ
ในเมื่อหลานสาวพูดมาเช่นนี้แล้ว สวีจื้อหย่งจึงเชื่อว่านางจะมิทำให้เขาผิดหวังแน่นอน เขาจึงรีบขับเกวียนกลับบ้านทันที
“ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ น้องหญิง ซุปปลากับแป้งทอดขายหมดแล้วหรือ ?” สวีเจี้ยนหลินเดินวนไปวนมาที่หน้าประตูรั้วบ้านมิรู้สักกี่รอบแล้ว เขาชะเง้อคอรอจนปวดรอบคอไปหมด เมื่อเห็นว่าเกวียนจากบ้านของตนมาถึงแล้ว
สวีจื้อหย่งคว้าไหล่ของลูกชายคนเล็ก เจ้าเด็กคนนี้เวลาทะเล่อทะล่าทีไรเป็นต้องเกิดเรื่องทุกที นี่เขามิกลัวเกวียนวัวชนเข้าหรือ ตัวเองอายุมากกว่าน้องตั้งสองปี แต่กลับมิรู้จักทำจิตใจให้สงบเหมือนน้องสาวเลย !