ตอนที่ 37 : ซุปปลาและแป้งทอด
ตอนที่ 37 : ซุปปลาและแป้งทอด
สวีฮุ่ยเข้าห้องครัวไปดูว่าแป้งขึ้นฟูแล้วหรือยัง นางล้างมือให้สะอาดแล้วลองกดแป้งดู เมื่อคิดว่าแป้งได้ที่แล้ว นางจึงถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อนวดแป้งต่อ
“เด็กน้อยเช่นเจ้าจะมีแรงเท่าไหร่กันเชียว ! รีบวางแป้งลงเถิด เดี๋ยวย่ากับแม่ของเจ้าจะเป็นคนนวดแป้งให้เอง เจ้าบอกมาก็พอว่าจะให้ทอดแป้งวันนี้เช่นไร !” เติ้งอาเหลียนมิได้ถามซักไซ้ว่าหลานสาวของตนจับปลาจำนวนมากมายขนาดนี้มาได้เยี่ยงไร ขอเพียงแค่หลานสาวยังสุขสบายปลอดภัยดี เติ้งอาเหลียนย่อมยอมรับได้ทุกสิ่งที่นางเป็น
โจวเสี่ยวเหมยยืนอยู่ตรงหน้าประตูครัว มองดูร่างเล็กของลูกสาวที่กำลังนวดแป้งอย่างขยันขันแข็ง นับตั้งแต่ที่ลูกของนางฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บที่หัวถูกกระแทก หนูน้อยก็เปลี่ยนไป ตอนนี้หนูน้อยมีความสามารถแม้กระทั่งเรียกฝูงปลามาได้แล้ว มิรู้ว่าต่อไปนี้จะเกิดเรื่องแปลก ๆ กับนางอีกหรือไม่ !
และจู่ ๆ นางก็คิดถึงเรื่องตำนานเล่าขานที่ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมา หรือว่าลูกสาวของนางจะเป็นเซียนเด็กจากสวรรค์ที่หนีลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ ? เมื่อเวลาผ่านไป หนูน้อยจะถูกพาตัวกลับไปหรือไม่ ?
“ท่านย่า ท่านแม่ คราที่แล้วตอนที่หัวกระแทกขอบบ่อแล้วสลบไปเป็นเวลาสองวันสองคืน หลังจากฟื้นขึ้นมา ข้าก็ค้นพบว่าตนเองชื่นชอบการทำอาหาร อีกทั้งในหัวของข้ายังมีสูตรอาหารเต็มไปหมด
แถมน้ำที่ข้าตักขึ้นมายังมีรสหวานเป็นพิเศษ อีกทั้งยังสามารถเรียกฝูงปลามาได้อีกด้วย คิด ๆ ดูแล้วมันก็คงมิใช่เรื่องมิดีใช่หรือไม่ ? ” เรื่องบางเรื่องควรเปิดเผยข้อมูลให้คนในตระกูลได้รู้บ้างสักเล็กน้อย เพราะหากอยากทำการค้าขาย นางคงมิสามารถปิดบังเรื่องน้ำแร่ซุปและน้ำแร่ใสไปได้ตลอด
“เรื่องเหล่านี้ให้รู้แค่ในบ้านของเราก็พอแล้ว หากใครกล้าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นฟังก็ให้ออกไปจากตระกูลสวี แล้วต่อไปนี้ก็อย่าได้กลับมาอีก !” เติ้งอาเหลียนเชื่อคำพูดของหลานสาว นางเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบไป สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่สวีเจี้ยนหลินโดยมิได้นัดหมาย เพราะคนที่น่าจะเผลอหลุดปากเล่าเรื่องความลับของตระกูลให้คนอื่นฟังก็คงจะมีแต่เขานี่แหละ
สวีเจี้ยนหลินกระโดดเหยงทันที: “ข้าเองก็มิใช่เด็กน้อยเสียหน่อยใช่ไหม ? ข้ารู้ว่าอะไรควรพูด อะไรมิควรพูด หากพวกท่านมิเชื่อข้า ข้าให้คำสาบานก็ได้ว่าถ้าหากข้าเผยแพร่ความลับของน้องสาวออกไป ข้าจะต้องมิตายดี……”
สวีฮุ่ยรีบวิ่งไปเอามืออุดปากพี่รองของตนเอง: “พวกเราเชื่อท่านพี่ อย่าได้ให้คำสัตย์สาบานซี้ซั้วเป็นอันขาด !”
พี่รองของนางกล้าให้คำสาบานที่น่ากลัวอย่างเช่นบอกว่าจะยอมมิตายดี
เติ้งอาเหลียนจึงบอกหลานชายให้เขาจดจำคำพูดของตนเองเอาไว้: “เจ้ามีอะไรที่ควรทำก็จงไปทำเสียเถิด จื้อหย่ง แบ่งปลาพวกนั้นเสีย ฮุ่ยฮุ่ย พรุ่งนี้หลานจะใช้ปลาชนิดใดทำซุป !”
“ปลาตะเพียนแล้วกัน ท่านพ่อ ท่านช่วยแยกปลาตะเพียนออกมาจากปลาชนิดอื่นให้ข้าที ท่านย่า พวกเราไปทอดแป้งทอดกันเถิด !”
โจวเสี่ยวเหมยรับหน้าที่คอยเติมฟืน เติ้งอาเหลียนทำหน้าที่ม้วนแป้ง สวีฮุ่ยยืนบนตั่งแล้วเทน้ำมันใส่ลงไปในหม้อเล็กน้อย จากนั้นก็เอาแป้งลงไปทอด ทอดไปได้สักครู่หนึ่งก็ใช้ตะหลิวพลิกมันขึ้นมา นางใช้มันหมูทาลงไปบนขอบกระทะอย่างรวดเร็ว แล้วเอาแป้งลงไปทอดใหม่
สวีฮุ่ยทอดแป้งได้เร็วกว่าเติ้งอาเหลียน แต่ถึงเยี่ยงไรนางก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ทอดไปได้สามถึงห้าแผ่นก็เหนื่อยเสียแล้ว สองคนย่าหลานช่วยกันทอดแป้ง จนกระทั่งฟ้ามืด พวกนางทอดแป้งได้มากถึง 110 แผ่น
“พรุ่งนี้เหลือปลาตะเพียนไว้ให้ข้าต้มซุป 6 ตัวก็พอ ส่วนที่เหลือให้ท่านพ่อนำไปขายที่ตลาดแล้วกัน !” ทุกคนในตระกูลกินซุปปลาที่สวีฮุ่ยทำกินเป็นอาหารมื้อเย็นพร้อมกับแป้งทอดอีกราวสิบห้าสิบหกแผ่น
หลังจากกินอิ่มแล้ว พวกเขาก็มีความมั่นใจสำหรับวันพรุ่งนี้มากขึ้น เติ้งอาเหลียนถามสวีฮุ่ยว่าพอจะสอนวิธีต้มซุปปลาให้นางได้หรือไม่ เช่นนี้สวีฮุ่ยก็มิต้องปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายเพื่อตามพวกนางไปต้มซุปที่ตลาดแล้ว
สวีฮุ่ยจึงนำปลาออกมาตัวหนึ่งแล้วสอนย่าของนางต้มซุปทีละขั้นตอน ทว่าพอเติ้งอาเหลียนชิมกลับส่ายหน้า: “รสชาติยังห่างชั้นกันอีกเยอะ !”
“ท่านย่า ฝีมือการทำอาหารของท่านมิอาจเทียบกับน้องหญิงได้จริง ๆ บางคนเกิดมาก็มีความสามารถในการทำบางสิ่งบางอย่างแล้ว หากคนอื่นคิดอยากลอกเลียนแบบคงมิอาจทำได้ !” สวีเจี้ยนหลินกล่าวอย่างลอยหน้าลอยตา ทันใดนั้น เขาก็คิดได้ว่าคำพูดของตนเองมีเหตุผล เขาจึงให้พี่ใหญ่และน้องเล็กช่วยกันหาสำนวนมาเปรียบเปรย
“เรียกว่ามนุษย์เราย่อมมีทั้งด้านเก่งและด้านมิเก่งอยู่ในตัวเองใช่หรือไม่ ?” สวีเจี้ยนเหวินกล่าว
“มันเรียกว่าพรสวรรค์ต่างหาก !” สวีฮุ่ยกล่าวเสริม
“ใช่ เขาเรียกว่ามีพรสวรรค์ !” นี่เป็นครั้งแรกที่เติ้งอาเหลียนมิได้โยนรองเท้าใส่หัวของหลานชาย ตัวนางเองก็ยอมรับว่าซุปปลาของตนมิอร่อยเท่าของหลานสาวจริง ๆ
“ฉะนั้นพรุ่งนี้คงต้องลำบากฮุ่ยฮุ่ยของเราแล้ว หลังจากที่เราขายซุปปลาและแป้งทอดได้แล้ว ย่าจะซื้อแบะแซให้เจ้ากิน !” เติ้งอาเหลียนมิลืมที่จะเอาใจหลานสาวของตน
“น้องหญิง เจ้าต้องแบ่งให้พี่รองของเจ้าด้วยนะ !” พรุ่งนี้พี่ใหญ่และพี่รองของนางคนหนึ่งจะต้องไปเรียน ส่วนอีกคนจะต้องอยู่เฝ้าบ้าน ในขณะที่คนอื่นไปตั้งร้านขายของที่ตลาด
หลังจากปรึกษาหารือและตกลงกันเรียบร้อยแล้ว สมาชิกตระกูลสวีจึงรีบแยกย้ายกันไปพักผ่อน เช้ามืดวันต่อมา ในตอนที่เริ่มมีแสงสว่างส่องให้เห็นทางนั้น สวีจื้อหย่งก็ได้ขับเกวียนวัวออกไปแล้ว
เติ้งอาเหลียนเอาเสื้อตัวหนาคลุมให้หลานสาว ให้นางนอนหลับในอ้อมแขนของตนสักพัก เพราะจากหมู่บ้านฉือหลิ่งไปในเมือง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยามถึงจะไปถึง !
“เจ้าค่ะ ข้าจะหลับสักประเดี๋ยว ถึงตลาดแล้วท่านย่าก็ปลุกข้าด้วยนะ !” สวีฮุ่ยรู้ดีว่าย่าของตนรู้สึกผิด ฉะนั้นก็ให้นางได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแล้วกัน !
ในตอนที่สมาชิกตระกูลสวีมาถึงตลาดนั้น เหล่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเริ่มทยอยมาถึงกันแล้ว ต่างคนต่างยุ่งกับการตั้งร้านของตนเอง ร้านของตระกูลสวีอยู่เกือบถึงท้ายตลาด ร้านค้าบริเวณนี้ส่วนใหญ่ขายผลผลิตทางการเกษตรและเครื่องมือเครื่องใช้ มิมีใครขายอาหาร
นำโต๊ะและเก้าอี้ออกจากร้าน สวีจื้อหย่งตั้งเตาดินง่าย ๆ สองเตาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สวีฮุ่ยได้นำวัตถุดิบที่ใช้ต้มซุปและปลาที่ล้างจนสะอาดใส่ลงไปในหม้อแล้ว รอเพียงแค่ก่อไฟต้มซุปปลาและอุ่นแป้งทอดเท่านั้น
“บ้านของพวกเจ้าเตรียมจะขายอาหารงั้นหรือ ! ตรงนี้มันท้ายตลาดแล้ว ขายอาหารตรงนี้มันจะดีหรือ ?” สตรีวัยกลางคนที่ขายไก่ตัวผู้อยู่ข้างกันเอ่ยเตือนตระกูลสวีด้วยความปรารถนาดี
แต่เดิมเติ้งอาเหลียนมิมีความมั่นใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินคนอื่นพูดเช่นนี้ก็เกิดความกังวลเข้าไปใหญ่
“ท่านย่า ถึงแม้ว่าทำเลตรงนี้จะมิค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็มิมีร้านใดที่ขายอาหารเหมือนเรา ! วันนี้ลมพัดถึงอีกฟากของตลาด ประเดี๋ยวกลิ่นหอมของซุปปลาจะต้องดึงดูดผู้คนให้มาเป็นลูกค้าร้านเราแน่นอน” สวีฮุ่ยปลอบใจย่าของตน
พ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงขายของอยู่ข้างกันต่างพากันส่ายหัว เด็กน้อยผู้นี้จะไปรู้อะไร เพราะส่วนใหญ่คนที่เดินมาถึงท้ายตลาดล้วนเป็นคนที่กินและดื่มมากจนอิ่มแล้ว ใครกันที่จะแบกความหิวรอจนเดินตลาดเสร็จแล้วค่อยไปซื้อของกิน ! ถึงแม้จะมีแม่บ้านและลูกสาวของตระกูลใหญ่มากมายมาเดินตลาด แต่พวกนางก็มิเคยเดินมาถึงตรงนี้
เมื่อหม้อใหญ่ถูกยกขึ้นไปตั้งบนเตา เติ้งอาเหลียนรีบก่อไฟ สวีฮุ่ยได้ยินนางท่องภาวนาขณะก่อไฟตั้งหม้อว่า: วันนี้จะต้องขายดิบขายดี ทุกอย่างต้องราบรื่น !
หลังจากใส่น้ำครึ่งถังลงในหม้อ สวีฮุ่ยใส่ผงเครื่องปรุงรสที่ห่อด้วยผ้าขาวบางลงไป อาศัยตอนนำวัตถุดิบลงหม้อแอบหยดน้ำซุปแร่จากในมิติลงไป เมื่อไฟที่จุดไว้โหมแรงยิ่งขึ้น ในตอนที่น้ำซุปเริ่มเดือดจนควันลอยกรุ่นออกมา ก็เริ่มมีคนพูดขึ้นว่า “หอมยิ่งนัก !”
“แม่นาง ร้านของพวกเจ้าขายอะไรหรือ กลิ่นหอมมากเลย !” มีแม่ค้าผักหลายคนเข้ามาถาม
“ซุปปลาและแป้งทอด ซุปปลาราคา 1 อีแปะ แป้งทอดราคาแผ่นละ 1 อีแปะ สตรีหนึ่งคนกินแค่ซุปปลาหนึ่งถ้วยและแป้งทอดหนึ่งแผ่นก็อิ่มแล้ว นอกจากนี้ยังได้กินเนื้อปลาด้วย ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายมาก ส่วนบุรุษที่กินเยอะ อย่างมากก็แค่ซุปชามสองถ้วยและแป้งทอดสองแผ่นก็อิ่มแล้ว จ่ายอย่างมากที่สุดก็แค่สี่อีแปะเท่านั้น ทั้งได้กินซุปปลารสชาติอร่อย ทั้งได้กินแป้งทอด ถือว่ามิเสียเปรียบเลย !” เติ้งอาเหลียนคิดคำพูดเรียกลูกค้าไว้ตั้งนานแล้ว
สวีฮุ่ยหันไปยกนิ้วให้กับย่าของตน หากนางและย่าร่วมมือกันทำการค้าจะต้องมิเลวแน่นอน
กลิ่นหอมของซุปปลายิ่งหอมเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะปลาเหล่านี้ถูกเลี้ยงในมิติ ทั้งยังมีน้ำซุปแร่มาช่วยเพิ่มรสชาติ และด้วยฝีมือการทำอาหารของสวีฮุ่ย ต่อให้ซุปปลาหม้อนี้อยากจะมิอร่อยเพียงใดก็คงยากเสียแล้ว
ในตอนที่ซุปปลาใกล้จะได้ที่แล้วนั้น เตาดินอีกเตาได้ถูกจุดไฟแล้ว แผ่นแป้งทอดยี่สิบสามสิบแผ่นได้ถูกห่อไว้ในผ้าขาวบางและตั้งซึ้งนึ่งไว้บนเตาดิน ต่อไปก็แค่คอยเติมไฟไม่ให้ดับก็พอแล้ว เพราะแป้งทอดของนางยิ่งได้ความร้อนจะยิ่งนุ่มอร่อย