ตอนที่ 35 : หารือเรื่องตั้งร้าน
ตอนที่ 35 : หารือเรื่องตั้งร้าน
หลังจากถูกฉะด้วยคำพูดของโจวถงซื่อและโจวเสี่ยวเหมย ในที่สุด เฉินกุ้ยฮวาก็ยอมสงบปากสงบคำเสียที
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว สวีฮุ่ยกำลังจะกลับไปเก็บของ ทว่าโจวเสี่ยวเหมยกลับรั้งนางไว้: “ฮุ่ยฮุ่ย อาเล็กของลูกบอกว่าลูกมีพรสวรรค์ด้านการเรียน มิเช่นนั้น……ลูกอยู่บ้านยายอีกสักระยะดีไหม รอให้อาเล็กของลูกกลับเข้าเมืองไปสอบ เจ้าค่อยกลับบ้านเราภายหลัง ?”
“พวกท่านมิได้มารับข้าหรอกหรือ ?” ทำไมถึงได้เปลี่ยนใจกันเร็วนัก
“ลูกชอบการเรียนมิใช่หรือไร ? บ้านของเรามีเพียงแค่พี่ใหญ่ของลูกเท่านั้นที่รู้หนังสือ แต่อาเล็กบอกว่าพี่ใหญ่ของลูกมิสามารถสอนลูกได้แล้ว !” โจวเสี่ยวเหมยมิอยากแยกจากลูกสาวเช่นเดียวกัน แต่นางคิดว่าคำพูดของน้องชายมีเหตุผล เพราะการที่สตรีได้ร่ำเรียนหนังสือมิใช่เรื่องไร้ประโยชน์เลย
สวีฮุ่ยจึงหันไปถามโจวป๋อเทา: “ท่านอาเล็ก ท่านจะกลับในเมืองเมื่อใด ?”
“อีกประมาณ 20 วัน ทำไมหรือ !”
“ท่านมอบหมายงานให้ข้าไว้เถิด ข้ารับรองเลยว่าจะตั้งใจทำมันให้เสร็จทั้งหมด แล้วครึ่งเดือนหลังจากนี้ ข้าจะเอาการบ้านมาส่ง !”
โจวป๋อเทาต้องการทดสอบสวีฮุ่ย หากนางผ่านการทดสอบ เขาจะยอมให้นางกลับบ้าน สวีฮุ่ยจึงตอบตกลง โจวป๋อเทาให้นางเขียนอักษร 20 ตัว กลอน 8 บท ซึ่งสวีฮุ่ยสามารถท่องและเขียนออกมาได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน
“นี่คือกลอนสามร้อยบทในราชวงศ์ถัง เจ้ากลับไปท่องตามลำดับวันละครั้ง และฝึกคัดอักษรบรรจงเล็กวันละสองจบ ข้าจะรอตรวจในอีกครึ่งเดือนหลัง !” โจวป๋อเทาเอากระดาษและพู่กันมาให้นาง นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าใส่หนังสือ แท่นฝนหมึกและแท่งหมึกด้วย
โจวเสี่ยวเหมยเห็นเช่นนั้นจึงมิกล้ารับไว้ เพราะกระดาษและพู่กันล้วนเป็นของล้ำค่ามีราคาแพง ที่ตระกูลซื้อให้สวีเจี้ยนเหวินล้วนเป็นของราคาถูกกว่า เทียบมิได้กับสิ่งที่โจวป๋อเทานำมามอบให้ลูกสาวของนางเลย
“ท่านพี่ ท่านให้ฮุ่ยฮุ่ยรับไปเถิด ! นางจะได้ตั้งใจเรียน แค่นี้ก็ถือเป็นการตอบแทนข้าอย่างหนึ่งแล้ว !” เวลาว่างจากการเรียน โจวป๋อเทามักจะวาดภาพและเขียนบทกลอนลงบนพัดเพื่อนำไปขาย บางครั้งก็ช่วยคัดตำราให้หอหนังสือ เงินที่เขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจึงมิใช่เงินจากตระกูล และสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นสิ่งที่เขาหาซื้อมาได้ด้วยตนเองทั้งนั้น
“นี่คือความปรารถนาดีจากอาเล็ก หากข้าเติบใหญ่ ข้าจะต้องตอบแทนท่านด้วยตนเองแน่นอน !”
โจวป๋อเทาพยักหน้ารับ: “ในฐานะลูกศิษย์ การเคารพนอบน้อมต่ออาจารย์เป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง !”
“เคยมีคนรับปากกับข้าว่าจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นลูกสาว ใช่หรือไม่อาเล็ก !” สวีฮุ่ยเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว นางอ้าแขนเพื่อจะกอดลาตระกูลของท่านยาย
โจวป๋อเทาอุ้มหลานสาวขึ้นมาแล้วบอกนางว่าปีหน้ามิอนุญาตให้นางใช้วิธีนี้บอกลาคนอื่นแล้ว โดยเฉพาะกับบุรุษ !
สวีฮุ่ยตอบรับว่าจะรักษาระยะห่างกับคนนอก นางหันไปโบกมือลาคนในตระกูลโจวอีกครั้ง แล้วนั่งเกวียนกลับบ้านไปพร้อมกับพ่อและแม่
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านฉือหลิ่ง เติ้งอาเหลียนที่ยืนอยู่ริมสะพานคอยชะเง้อคอมองว่าพวกนางจะกลับมาหรือยัง เมื่อนางเห็นเกวียนของบ้านตัวเอง นางก็โบกมือไหวๆ เรียก
“ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านย่าขึ้นมานั่งบนเกวียนกลับบ้านด้วยกันเถิด!” เมื่อเห็นผู้เป็นย่า สวีฮุ่ยจึงยิ้มทักทายนางด้วยรอยยิ้ม
“ย่าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว !” เติ้งอาเหลียนขึ้นมานั่งข้างกายหลานสาว จากนั้นก็พินิจพิจารณาหลานสาวตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ดูท่าว่าหนูน้อยคงอยู่บ้านยายอย่างสุขสบายดี เพราะใบหน้านวลเนียนของนางดูอ้วนขึ้นเล็กน้อย
ทั้งได้กลับบ้านทั้งสามารถทำอาหารให้คนในตระกูลได้กิน สวีฮุ่ยถือโอกาสตอนที่ท่านพ่อท่านแม่กำลังลงจากเกวียนวิ่งเข้าไปในครัว เพลานี้ผักกาดขาวและปวยเล้งที่ปลูกไว้น่าจะกินได้แล้ว สวีฮุ่ยจึงเอามันฝรั่งออกมาจากในมิติสิบกว่าลูกแล้ววางไว้ตรงมุมหนึ่งของชั้นวาง
“ท่านย่า คืนนี้พวกเรากินซุปปวยเล้งกับมันฝรั่งผัดผักกาดขาวกันเถอะ !”
“ที่บ้านมิมีมันฝรั่งที่กินได้แล้ว เพราะเราออกไปปลูกลงแปลงนาหมดแล้ว” อาหารการกินของที่บ้านในเพลานี้ดีกว่าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและช่วงฤดูหนาวมาก อย่างน้อยก็มีผักให้ได้กิน มิต้องกินผักป่าตากแห้งและหัวไชเท้าดองทุกวัน
“ท่านย่า ท่านดูสิ ที่บ้านยังมีมันฝรั่งอีกมากโข !”
เติ้งอาเหลียนเดินเข้ามาในครัวก็ต้องตกตะลึง มันฝรั่งมากมายมาจากไหนกัน เหตุใดนางถึงมิรู้มาก่อน ?
“ท่านย่าจะต้องวางไว้จนลืมเป็นแน่ !”
งั้นหรือ ? เติ้งอาเหลียนจำมิได้ว่าตนเองไปเอามันฝรั่งพวกนั้นมาวางไว้ตอนไหน อีกทั้งมันฝรั่งเหล่านี้ยังดูสดใหม่มาก ราวกับพึ่งขุดขึ้นมาจากใต้ดินอย่างไรอย่างนั้น
“มันฝรั่งเหล่านี้มาอยู่ที่บ้านเราก็ถือว่ามิเลวแล้ว ฉะนั้นก็อย่าซักไซ้ไล่เรียงไปเลย เดี๋ยวข้าจะเป็นคนทำอาหารเย็นเอง ท่านย่านึ่งข้าวได้ไหม ?”
เติ้งอาเหลียนจะกล้าปฏิเสธหลานสาวสุดที่รักได้เยี่ยงไร ! หลังจากที่นางนึ่งข้าวเสร็จแล้วจึงได้ไปเป็นลูกมือให้หลานสาว ทั้งช่วยก่อไฟ ทั้งช่วยหั่นมันฝรั่ง ส่วนหนูน้อยสวีฮุ่ยที่มิได้ทำอาหารมาหลายวันได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ใส่หอมแดงและขิงจนหอม แล้วใส่เครื่องปรุง เติมน้ำซุป
เมื่อเครื่องปรุงและน้ำซุปถูกต้มจนเข้ากันแล้วจึงใส่ไข่ เทปวยเล้งลงไป สวีฮุ่ยสะบัดนิ้ว น้ำซุปน้ำแร่หนึ่งหยดตกลงไปในหม้อทันที
“น้ำซุปที่ฮุ่ยฮุ่ยทำหอมมาก ในตอนที่ย่าทำอาหาร ย่าก็ใส่เครื่องปรุงที่เจ้าเตรียมไว้ให้ แต่เหตุใดมันถึงมิหอมเท่านี้กันเล่า ?” เติ้งอาเหลียนพูดด้วยความสงสัย
“ท่านย่า เพลานี้บนภูเขามีเห็ดหรือไม่ ? รอให้เรามีเห็ดตากแห้งก่อน แล้วข้าจะทำเครื่องปรุงสูตรใหม่ให้ท่าน แบบนี้เวลาทำอาหารและน้ำซุปก็จะหอมอร่อยยิ่งกว่าเดิม
จริงสิ ในเมื่อเพลานี้เพาะปลูกเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ฉะนั้นพวกเราก็ควรจะหารือกันเรื่องตั้งร้านได้แล้วใช่ไหม ! ” สวีฮุ่ยรอคอยเรื่องนี้มาโดยตลอด !
“มันจะไหวจริงหรือ ?” ที่ผ่านมาพวกเขาเพาะปลูกทำไร่ทำนาเลี้ยงชีพมาโดยตลอด มิเคยทำการค้ามาก่อน เติ้งอาเหลียนจึงมิมีความมั่นใจ
“ทำไมถึงจะมิไหวกันเล่า ที่พวกเราทำเป็นเพียงแค่ร้านค้าเล็ก ๆ ลงทุนมิมากนัก อาหารที่ขายก็ล้วนเป็นอาหารที่ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้ มันจะต้องดีแน่นอน”
“แต่ในตลาดมีร้านขายเกี๊ยวหลายร้านเชียวนะ !” เติ้งอาเหลียนเกรงว่าหากขายเหมือนคนอื่นแล้วจะสู้พวกเขามิไหว
“งั้นพวกเราก็ขายซุปปลากับแป้งทอด ใช้ปลาเพียงมิกี่ตัวก็ได้ซุปปลาหม้อใหญ่แล้ว เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเตรียมเครื่องปรุงเอง มิต้องใช้เงินลงทุน ส่วนแป้งก็ทำมาจากธัญพืช ใช้เงินลงทุนมิเท่าไหร่ อีกทั้งแผ่นหนึ่งก็มิได้ใช้น้ำมันมาก ดังนั้นต้นทุนในแต่ละวันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30-40 อีแปะเท่านั้น
พวกเราลองดูกันเถอะ ต่อให้มิได้ขายก็ยังขาดทุนไม่มากนัก ! ” มีตัวนางและเครื่องปรุงจากในมิติที่เป็นเหมือนสูตรโกงแบบนี้ ทำไมจะขายมิได้กันเล่า !
ในตอนกินข้าวเย็น ทุกคนในตระกูลสวีมานั่งล้อมวงกินข้าวและปรึกษาหารือเรื่องการตั้งร้านแผงลอยขายอาหาร สุดท้ายพวกเขาก็ตกลงที่จะลองสักครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงมิอนุญาตให้สวีฮุ่ยไปตลาดเช่นเคย
“เหตุใดข้าถึงไปมิได้ ?” ถ้านางมิไป ซุปที่ทำออกมาจะมีรสชาติความอร่อยจะลดลงไปมาก เฮ่อจิ่นบอกแล้วว่าน้ำซุปแร่และน้ำแร่ใสในมิติจะต้องผ่านมือนางเท่านั้นถึงจะแสดงความพิเศษออกมาได้อย่างเต็มความสามารถ หากผ่านมือผู้เป็นย่าหรือแม่ของนางไปก็มิรู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า !
“ฮุ่ยฮุ่ย ที่ตลาดมีคนหลายประเภท หากเป็นช่วงที่คนกำลังซื้อของอย่างพลุกพล่าน พวกเรากลัวว่าจะมีคนสังเกตเห็นเจ้าแล้ว……” หากหลานสาวถูกลักพาตัวไป แล้วพวกนางจะใช้ชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไร เช่นนั้นเลิกทำการค้าแล้วกลับมาทำไร่ทำนาที่หมู่บ้านฉือหลิ่งตามเดิมมิดีกว่าหรือ !
“ข้ามีวิธี !” สวีฮุ่ยวิ่งเข้าไปในห้องของพี่ชาย จากนั้นก็ไปเลือกชุดเก่าของพี่รองมาเปลี่ยน แล้ววิ่งไปที่้เตาไฟเพื่อเอาขี้เถ้ามาป้ายหน้าตัวเองให้เหมือน “กระ”
เมื่อเห็นหนูน้อย “ปลอมตัว” แบบนี้ เติ้งอาเหลียนถึงกับรู้สึกเจ็บปวดดวงใจเล็กน้อย ต้องโทษที่ตระกูลของพวกนางเกิดมายากจนเกินไป นางมิมีความสามารถ เพื่อป้องกันมิให้หลานสาวถูกคนอื่นลักพาตัวไป พวกนางมีแต่จะจำต้องยอมให้หลานสาวปลอมตัวเป็นเด็กชายเท่านั้น
“มะรืนนี้จะมีตลาด เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะพาเสี่ยวหลินจื่อไปจับปลา !” สวีจื้อหย่งยื่นมือไปเช็ดขี้เถ้าออกจากใหน้าของลูกสาว
“ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองเพื่อดูว่าพอจะซื้อโต๊ะ เก้าอี้และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารราคาถูกได้ไหม ดีกว่าเราไปเช่าโต๊ะและเก้าอี้ข้างตลาด เราเพิ่งเปิดร้านใหม่ มิต้องใช้ของมากมาย หรือ……พรุ่งนี้จะยืมตั่งตัวยาวมาจากเพื่อนบ้านก่อน รอให้ขายดีแล้ว ครั้งหน้าพวกเราค่อยซื้อชุดโต๊ะเก้าอี้และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารเพิ่ม !” โจวเสี่ยวเหมยเล่าแผนการของตนออกมา
“ข้าและท่านย่าจะนวดแป้งไว้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องรอให้แป้งขึ้นฟูก่อน แบบนี้เนื้อแป้งจะได้มิแข็ง” สวีฮุ่ยกล่าว