ตอนที่ 34 : ใจไม่สงบ
ตอนที่ 34 : ใจไม่สงบ
เมื่อได้ยินคำพูดของสวีฮุ่ย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับหนูน้อย เพราะหากพวกเขามีลูกชายเหมือนโจวป๋อเทา พวกเขาก็คงให้ลูกชายตั้งมั่นกับเรื่องการเรียนและหาความรู้ เพราะถึงเยี่ยงไรมีบุรุษมากมายที่แต่งงานตอนอายุ 20 ปี
โต้วหรูอี้เปลี่ยนสีหน้าไป ปีนี้โจวป๋อเทาอายุ 16 ปี ส่วนนางอายุ 15 ปีแล้ว ตามที่สวีฮุ่ยพูดมา โจวป๋อเทายังมิมีความคิดที่จะแต่งงานในช่วง 4 ปีนี้ แต่ตัวนางนั้นไม่อาจรอได้แล้ว !
สิ่งที่ควรพูดได้พูดไปหมดแล้ว ในขณะที่ชาวบ้านทุกคนที่มุงดูต่างได้ยินอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน หากโต้วหรูอี้ยังเป็นฝ่ายเอาของไปมอบให้ตระกูลโจวถึงบ้านอีก ผู้ที่ชาวบ้านหัวเราะเยาะจะมิใช่ตระกูลโจว แต่เป็นนาง และหากตระกูลของนางรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องหยุดยั้งนางแน่นอน
ในตอนที่สามสาวลูกพี่ลูกน้องเดินกลับบ้านนั้น โจวตงชูได้หันไปยกนิ้วให้สวีฮุ่ย: “เจ้าพูดได้ดีมาก ดูซิว่าแม่นางโต้วหรูอี้คนนั้นยังจะกล้ามาหาท่านอาเล็กถึงบ้านอีกไหม !”
“ใช่แล้ว นางมิรู้จักมองดูตัวเองบ้างเลย นางมิเหมาะกับท่านอาเล็กเลยสักนิด ข้ามิอยากได้นางเป็นอาสะใภ้ !” โจวตงหลิงมิชอบโต้วหรูอี้ เพราะแม่นางผู้นั้นมักคิดว่าตนเองเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านหยุนเซี๋ย วันๆ เอาแต่สวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเดินไปเดินมาในหมู่บ้าน
แม่นางผู้นั้นมิรู้จักส่องกระจกดูตัวเองเอาเสียเลย หน้ากลมขนาดนั้น ไหนจะผิวพรรณที่ออกจะดำหน่อย ๆ ใครให้ความมั่นใจแก่นางว่าตนเองจะทำให้ท่านอาเล็กหลงใหลได้ อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่ในบ้านเลย แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมิชอบแม่นางผู้นั้น
“ในที่สุดพวกเจ้าสามคนก็กลับมาเสียที !”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้และเห็นผู้ที่เดินออกมารับ สวีฮุ่ยร้อง “ว้าว” ออกมา “ท่านแม่ ท่านมารับข้ากลับบ้านใช่หรือไม่ ?”
“ดูพูดเข้าสิ พวกเราปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีหรือ ? คนที่มิรู้ เขาจะคิดเอาได้ว่าเจ้าได้รับความมิเป็นธรรมตอนอยู่บ้านท่านยาย !” โจวป๋อเทายืนพิงขอบประตูพลางเอ่ยแซวหลานสาว
“ท่านอาเล็ก เมื่อครู่ข้าเพิ่งช่วยท่านแก้ปัญหามานะ หากท่านมิเชื่อก็ลองถามพี่หญิงและเสี่ยวหลิงดูสิ !” สวีฮุ่ยเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง
โจวเสี่ยวเหมยเห็นว่าสามสาวตัวน้อยยืนอยู่ด้วยกันแถมยังยิ้มมิหุบ และเมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนดูร่าเริงแจ่มใส อีกทั้งยังกล้าต่อปากต่อคำกับน้องชายของนาง ดูเหมือนว่าลูกสาวของนางจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย !
“ข้ามิได้ออกไปไหนเสียหน่อย จะมีปัญหามาได้เยี่ยงไร ?”
“ก็แม่นางโต้วหรูอี้คนนั้นไง ! ข้าบอกนางต่อหน้าชาวบ้านหลายคนว่าท่านอาเล็กให้ความสนใจกับการศึกษา มิคิดถึงเรื่องอื่นก่อนอายุ 20 ปี ท่านอาเล็กยังมิเห็น เพลานั้นนางนิ่งไปเลย !”
“แล้วถ้าข้าเจอสตรีที่ข้าชอบในปีหน้าหรือปีต่อ ๆ ไปล่ะ ? หรือต้องรอให้ข้าอายุ 20 ปีก่อนค่อยสู่ขอนาง ?” โจวป๋อเทาแกล้งหลานสาว
สวีฮุ่ยส่ายหัวเล็ก ๆ แล้วเดินเอามือไพล่หลังไปยืนข้างโจวป๋อเทาอย่างทะเล้น: “ข้าพูดแค่ว่าท่านจะมิคิดถึงเรื่องอื่นก่อนอายุ 20 ปี มิได้บอกเสียหน่อยว่าท่านจะมิแต่งงาน ท่านมิเห็นหรือว่าข้าได้เหลือช่องทางและโอกาสไว้ให้ท่านแล้ว ?”
โจวป๋อเทายิ้มพลางส่ายหน้า: “ท่านพี่ พี่เขย พวกท่านได้ยินแล้วใช่ไหมว่าเด็กคนนี้ฉลาดเพียงใด ? หากคนเช่นนี้มิได้เรียนหนังสือคงน่าเสียดายแย่ !”
ท่านพ่อก็มาด้วยหรือ ! สวีฮุ่ยวิ่งเข้าไปในห้อง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง สวีจื้อหย่งก็ลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อ ท่านพ่อกับท่านแม่มารับข้ากลับบ้านใช่หรือไม่ ?” เพลานี้นางคิดถึงท่านย่าและพี่ชายทั้งสองแย่แล้ว สวีฮุ่ยสามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ได้แล้ว ถึงแม้ว่านางจะพึ่งมาอยู่กับตระกูลสวีได้ไม่ถึง 1 เดือนก็ตาม เพลานี้นางได้มองเติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยเป็นดั่งย่าและแม่จริง ๆ ไปแล้ว
สวีจื้อหย่งชำเลืองมองโจวป๋อเทา น้องชายของภรรยาบอกว่าลูกสาวของเขามีพรสวรรค์ทางด้านการเรียน แต่ในมณฑลเฟิงซานมิมีสำนักศึกษาสำหรับสตรี ฉะนั้นให้ลูกสาวของเขาเรียนกับโจวป๋อเทาไปซักระยะ ภายหน้าหากมีโอกาสค่อยให้ไปเรียนในสำนักวิชา
ในเมื่อสามารถทำให้บัณฑิตซิ่วไฉเอ่ยชมได้ มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าลูกสาวของเขาเฉลียวฉลาดจริง ๆ หรือเขาควรให้นางอยู่ที่หมู่บ้านหยุนเซี๋ยต่อ ทว่าแม่ของเขาและลูกชายทั้งสองต่างก็คิดถึงหนูน้อยแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน !
“กินข้าวได้แล้ว มีอะไรไว้ค่อยคุยกันหลังจากกินข้าวเสร็จเถิด !” โจวถงซื่อเรียกทุกคนให้มานั่งกินข้าวด้วยกัน
วันนี้อาหารบนโต๊ะล้วนเต็มไปด้วยปลาและไก่ ในขณะที่ข้าวเป็นข้าวขาวมากกว่าธัญพืช เฉินกุ้ยฮวาเห็นว่าแม่สามีดีต่อลูกสาวคนเล็กขนาดนี้ ในใจของนางพลันเกิดความรู้สึกริษยาขึ้นมา
เพราะแม่ของนางอยู่ในหมู่บ้านหยุนเซี๋ยเช่นกัน ทุกครั้งที่เฉินกุ้ยฮวากลับบ้าน นางมักจะมิเคยได้รับการต้อนรับแบบนี้มาก่อน ในทางตรงกันข้าม เวลาที่บ้านแม่ของนางมีงานอะไรให้ทำก็มักจะนึกถึงนาง เวลามีอะไรกินก็มักจะมิเพียงพอต่อพี่สะใภ้จอมตะกละและน้องชายน้องสาวของนาง
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของสามีและตระกูลของนางมิได้สนิทชิดเชื้อกัน เป็นเพราะสามีของนางเคยถูกพี่น้องของนางสร้างปัญหาให้ในวันแต่งงาน เขาจึงมิค่อยกลับบ้านแม่กับนาง ส่วนลูกๆ ก็มักถูกลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่นั่นชี้นิ้วสั่งทำงาน พวกเขาจึงมิค่อยอยากกลับบ้านยายเช่นกัน
แต่พอมาเห็นสิ่งที่น้องสาวสามีได้รับตอนกลับมาบ้าน เฉินกุ้ยฮวายิ่งคิดยิ่งใจมิสงบ นางนั่งกินข้าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง บางครั้งนางก็จงใจส่งเสียงฟึดฟัดเรียกความสนใจจากน้องสาวสามีราวกับจงใจจะบอกว่า:
“พี่สะใภ้รองของเจ้ามิพอใจ กินข้าวเสร็จก็รีบไสหัวไปเสีย แล้ววันหลังอย่ามาเสนอหน้ากินข้าวฟรีที่บ้านนี้อีก”
โจวเสี่ยวเหมยเข้าใจสถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างดี นางรู้ว่าพี่สะใภ้รองมิมีสิทธิ์ตัดสินใจหรือพูดอะไรในบ้านของนาง เวลามิพอใจทำได้เพียงแสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมาเท่านั้น นางจึงมิได้ใส่ใจกับท่าทีของพี่สะใภ้คนนี้
ส่วนสวีจื้อหย่งเป็นบุรุษ ในตอนกินข้าว นอกจากจะคอยเอาแต่มองดูลูกสาวของตนเองแล้ว เขามิได้สนใจสตรีผู้อื่นเลย เขาสนใจแค่การนั่งดื่มกับพ่อภรรยา พี่ชายและน้องชายของภรรยาเท่านั้น
สวีฮุ่ยชำเลืองมองเฉินกุ้ยฮวาด้วยหางตา: ยัยป้าคนนี้มิพอใจอีกแล้ว ! ป้าสะใภ้รองของนางมักจะชอบทำหน้าบึ้งตึงเป็นประจำ แต่พอท่านยายหรือไม่ก็ลุงรองเริ่มโมโหขึ้นมา พอดุนางสักสองสามทีก็ทำท่าสลดเหมือนหมาหงอยแล้ว
นี่มิมีใครสนใจข้าเลยรึ ! เฉินกุ้ยฮวาโมโหแล้ว นางจึงใช้ตะเกียบเคาะชามข้าวของลูกสาวแล้วพูดจาเหน็บแนมว่า: “รีบกินข้าวเข้า หากอาหญิงของเจ้ามิมาและพี่หญิงของเจ้ามิได้อยู่ที่นี่ เจ้าก็คงมิมีโอกาสได้กินอาหารเหล่านี้ แต่เจ้าจะเอาแต่นั่งชูคอสนใจแต่เรื่องกินมิได้หรอกนะ เพราะสถานะของเจ้าเป็นเยี่ยงไร เจ้าน่าจะรู้ดี ! คิดจริง ๆ น่ะหรือว่าตนเองคือคุณหนูผู้ที่ใครเห็นเป็นต้องรัก !”
ซุนเซียงทำเสียงมิพอใจออกมา: “น้องสะใภ้ เวลากินข้าวอย่าอบรมสั่งสอนลูก ๆ ทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกัน มิมีความแตกต่างแบ่งแยกกัน !” เวลาพูด นางก็ใช้สายตาเตือนเฉินกุ้ยฮวาว่าให้หยุดได้แล้ว นางคนเดียวพูดสุภาพที่สุดแล้ว เพราะหากเป็นแม่สามีกับน้องรองพูด คงจะมิสุภาพเยี่ยงนี้
เฉินกุ้ยฮวาเป็นคนมิรู้จักหลาบจำ พอนางมิได้ยินคำตำหนิคำสั่งสอนจากแม่สามีและสามี นางจึงคิดว่าคำพูดของนางถูกต้องแล้ว หากมิถูกพวกเขาก็คงแย้งนางไปแล้วไม่ใช่หรือ ?
“สะใภ้ใหญ่ ข้าอบรมลูกของข้า มิได้ว่าลูกใคร เรื่องแบบนี้ท่านเองก็ยังมายุ่งอีกหรือ !”
“เฉินกุ้ยฮวา หากอิ่มแล้วก็กลับห้องของเจ้าไป ถ้ายังมิอิ่มก็หาอะไรยัดใส่ปากเสีย พวกเสี่ยวหลิงมิเพียงแต่เป็นลูกของเจ้าคนเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกหลานตระกูลโจวของพวกข้าด้วย เจ้าอย่าทำเกินไปหน่อยเลย !” ที่จริงโจวถงซื่อมิอยากตำหนิสะใภ้ต่อหน้าเด็ก ๆ แต่สะใภ้ของนางผู้นี้มิรู้จักหลาบจำ จะโทษใครได้ล่ะ !
“ท่านแม่……”
โจวเสี่ยวเหมยคีบเนื้อไก่ให้ท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายและสะใภ้ใหญ่ แต่กลับเพิกเฉยต่อเฉินกุ้ยฮวา: “สะใภ้รองมีอะไรก็พูดออกมาตามตรงเถิด เหตุใดต้องทำท่าอ้ำอึ้งเช่นนั้น พวกข้ามิได้กลับมาที่นี่เพื่อมาหาเจ้าเสียหน่อย ข้าวที่พวกข้ากินก็มิใช่ส่วนของเจ้า แล้วเจ้าจะกังวลอันใด ?
หรือว่าสิ่งที่เจ้าได้ยินเวลากลับบ้านแม่ของตนคือคำด่าทอจากพี่สะใภ้และพี่น้องของตนเอง หากเป็นเช่นนั้นข้าก็รู้สึกสงสารเจ้าเหลือเกิน เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะกลับบ้านแม่ไปทำไมล่ะ ! ”
เฉินกุ้ยฮวาลุกขึ้นตบโต๊ะอย่างแรงทันทีที่ได้ยิน: “บ้านแม่ของข้า……ดีกับข้าและลูก ๆ มาก เวลาที่ข้ากลับบ้านก็มักจะได้รับการต้อนรับเยี่ยงแขกขวัญมาโดยตลอด……”
โจวถงซื่อตัดบทนางทันที: “เจ้าพูดจามิสนลมสนฟ้าเช่นนี้ ยังมีโอกาสได้รับการต้อนรับแบบแขกอยู่อีกหรือ เป็นเพราะเจ้ามิได้กลับบ้านแม่ของตนเองมานานแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ลืมความรู้สึกตอนกลับบ้านแม่ของตนไปแล้ว !”
ตระกูลเฉินให้ความสำคัญกับลูกชายและมิสนใจลูกสาว พวกเขามิได้เอาใจใส่เฉินกุ้ยฮวา นางคิดว่าคนอื่นมิรู้พื้นเพตระกูลของนางหรือไร คิดว่าคำพูดพวกนี้จะตบตาคนอื่นได้อย่างนั้นหรือ !