ตอนที่ 33 : แม่นางผู้มิยอมแพ้
ตอนที่ 33 : แม่นางผู้มิยอมแพ้
เฮ่อจิ่นสัมผัสได้ถึงความคิดของสวีฮุ่ย มันจึงเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที ต้องยอมรับว่าในตอนแรกมันมิได้มองสวีฮุ่ยในแง่ดีนัก เพราะนางทั้งอายุน้อย ที่บ้านยากจน อีกทั้งยังมิมีความสามารถพิเศษให้พึ่งพา ตอนแรกมันคิดว่านอกจากตัวมันเองแล้ว ลวี่อู๋และสูตรลับสองเล่มนั้นมิจำเป็นต้องปรากฏออกมาเลย เพราะว่าหนูน้อยอ่อนแอเกินไป
แต่ตอนนี้ความคิดของมันได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ในเมื่อมิติเลือกให้สวีฮุ่ยเป็นเจ้านาย นั่นหมายความว่ามิติจะต้องมีเหตุผลของมันแน่นอน ถึงแม้ว่าเจ้านายคนนี้จะอ่อนแอไปสักนิด ยังมิสามารถใช้ความพิเศษของมิติได้ ถึงขั้นมิกล้าเอามันฝรั่งที่ปลูกในมิติออกไป แต่นางก็เป็นคนร่าเริงและมองโลกในแง่ดี รู้จักคิดเผื่อคนอื่นและมีใจที่บริสุทธิ์
เจ้านายแบบนี้พบเห็นได้มิมากนัก ! ในใจของเฮ่อจิ่นจึงมิเคยตำหนิสวีฮุ่ย แต่กลับยอมรับนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในกลางดึกสงัด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิท เฮ่อจิ่นทำให้โจวตงชูและโจวตงหลิงหลับสนิท สวีฮุ่ยจึงเข้ามาในมิติ: “มิได้มาที่นี่หลายวันเลย ข้าคิดถึงห้องครัว คิดถึงบ่อน้ำพุซุป คิดถึงน้ำแร่และต้นไม้แฝดเหลือเกิน !”
“แล้วข้าล่ะ ?” เฮ่อจิ่นถาม
“ต้องคิดถึงอยู่แล้ว เดิมทีข้าคิดอยากจะพูดถึงเจ้าต่างหากเพื่อแสดงให้เห็นว่าตรงไหนที่เจ้าแตกต่างจากพวกมันไม่ใช่หรือ ?” สวีฮุ่ยเด็ดลูกเดือยสุกลงมาจากต้นไม้แล้วนั่งกินอยู่ข้างบ่อน้ำแร่ !
“ทำไมเจ้ามิไปทำอาหารให้ตนเองกิน !” เฮ่อจิ่นปีนขึ้นมานั่งบนบ่าของสวีฮุ่ย
“กินลูกเดือยสุกพวงนี้เสร็จก็อิ่มแล้ว วันนี้ข้าจะมิทำอาหารแล้ว” หลายวันมานี้ อาหารการกินที่บ้านของท่านยายค่อนข้างใช้ได้ ถึงแม้ข้าวที่กินจะเป็นข้าวเจ้าผสมข้าวฟ่าง แต่หมั่นโถวที่กินทำมาจากธัญพืชผสมแป้งหมี่ขาว ซึ่งดีกว่าอาหารที่บ้านของนางอยู่มากโข
สวีฮุ่ยเห็นว่าบ้านของท่านยายมีแป้งข้าวเจ้าและแป้งหมี่ขาว นางจึงลองเดินไปดูที่ยุ้งฉางถึงได้พบข้าวสาลีที่ยังไม่ได้สีเอาเปลือกออก หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงเอาจอบเล็ก ๆ ไปขุดพลิกดินที่ข้างบ่อน้ำแร่ ส่วนเจ้าภูติเฮ่อจิ่นยังคงนั่งอยู่บนบ่าของสวีฮุ่ยเพื่อรอให้นางเรียกมันไปช่วย
ทว่าสวีฮุ่ยกลับตั้งหน้าตั้งตาใช้จอบขุดพรวนดินอย่างอดทน มิได้มีทีท่าว่าจะเรียกเฮ่อจิ่นไปช่วยนางเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าทำอะไร เหตุใดถึงมิเรียกข้าไปช่วย ?”
“เจ้าช่วยข้ามาเยอะแล้ว ข้าเห็นมันฝรั่งและถั่วลิสงอยู่เต็มห้องเก็บของ อีกทั้งบ่อปลาของข้าก็มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ข้าเองก็ต้องทำงานด้วยเหมือนกัน ! มิควรเอาแต่พึ่งพาเจ้าไปทุกเรื่อง จริงไหม ?” สวีฮุ่ยยังคงทำงานอย่างอดทน พอปวดมือนางก็สะบัดให้คลายปวดแล้วทำงานต่อ
“ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ามิได้โกหก ข้าจะรับหน้าที่ขุดพรวนดินให้เอง พอถึงตอนนั้นข้าจะใช้น้ำแร่ซุปรดให้เจ้า รับรองเลยว่าแป้งหมี่ขาวที่บดออกมาจากข้าวสาลีพวกนี้จะต้องหอมหวานอร่อยแน่นอน ต่อให้เจ้าจะมิกินผักแล้วกินเมนูเส้นแทนข้าวก็ยังได้”
“จริงหรือ ? งั้นพวกเรามาทำด้วยกันเถอะ ! แต่หากเราใช้น้ำแร่ซุปรดน้ำแบบนี้ น้ำแร่มันจะหมดหรือเปล่า !” สวีฮุ่ยถามด้วยความสงสัย
“มิมีทาง ขอเพียงมิติยังอยู่ น้ำแร่ซุปและน้ำแร่ใสจะมิมีวันแห้งเหือดไปอย่างแน่นอน ตอนนี้เจ้าไปตักน้ำแร่ใสมาแช่มือเถอะ ประเดี๋ยวพรุ่งนี้อาของเจ้าก็สั่งให้เจ้าคัดอักษรอีก !”
พอคิดถึงการฝึกนรกในแต่ละวัน สวีฮุ่ยอยากจะถอนหายใจออกมาจริง ๆ ทั้งที่ร่างนี้เป็นเพียงเด็กอายุ 6 ขวบเท่านั้น แต่ท่านอาเล็กก็ยังใจดำลงมือกับร่างนี้ได้
“เขาทำเพื่อเจ้าทั้งนั้น !”
สวีฮุ่ยพยักหน้ารับ หากนางสังเกตเห็นว่าท่านอาเล็กจงใจแกล้งนาง นางก็คงมิทำตั้งแต่แรก
เฮ่อจิ่นลอยขึ้นไปกลางอากาศ มีแสงส่องสว่างวาบจากร่างของมัน ทันใดนั้นพื้นดินข้างบ่อน้ำแร่ใสก็ไถพรวนเองอัตโนมัติ จากนั้นเฮ่อจิ่นก็ควบคุมให้น้ำไหลลงไปในดิน
สวีฮุ่ยแช่เมล็ดด้วยน้ำแร่ซุป ในตอนที่ไถพรวนพลิกดินแล้วหว่านเมล็ดได้ เมล็ดก็เริ่มงอก สวีฮุ่ยหว่านเมล็ดพันธุ์ลงบนแปลง แล้วเด็ดเครื่องเทศบางส่วนไปทำเครื่องปรุงในห้องครัว
วันต่อมา โจวป๋อเทากลัวว่าสวีฮุ่ยจะปวดข้อมือ หลังจากที่เขาสอนนางท่องกลอนไปสองบท เขาก็มิได้ให้นางคัดอักษรอีก โจวตงหลิงมาหาสวีฮุ่ย เพราะวันนี้มีพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่งเดินทางมาที่หมู่บ้าน อีกทั้งยังพาลิงน้อยมาด้วยตัวหนึ่ง ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงพากันแห่ไปดูพ่อค้าหาบเร่ผู้นั้น
“พี่หญิงของเจ้าล่ะ ถ้าเป็นเจ้าสองคน ข้ามิให้ไปนะ !” โจวถงซื่อเข้ามาขวางมิให้หนูน้อยสองคนออกไปนอกบ้านเพียงลำพัง
โจวตงชูจึงวิ่งมาจากหลังบ้าน นางล้างมือจนสะอาดแล้วพาหนูน้อยทั้งสองไปดูพ่อค้าหาบเร่ โจวป๋อเทามิลืมที่จะกำชับให้ทั้งสามกลับมาภายในครึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้นพวกนางทั้งสามคนจะต้องถูกลงโทษ
พ่อค้าหาบเร่หาบของมาขายเป็นจำนวนมาก ด้านในเต็มไปด้วยเข็มและด้าย ยางมัดผม ดอกไม้ใยบัว พื้นรองเท้า เครื่องประดับผมและอื่นๆ อีกมากมาย
มีเชือกผูกไว้ที่ด้านข้างของหาบและลิงน้อยตัวผอมบางที่เดินตามหลังมา พ่อค้าหาบเร่ไปยังที่ที่คนพลุกพล่าน เขาวางหาบลง ตะโกนเรียกความสนใจชาวบ้านไปพลาง สั่งให้ลิงทำสิ่งง่าย ๆ ไปพลาง
โจวตงหลิงอยากจะเบียดเข้าไปในฝูงชน สวีฮุ่ยมิยอม นางเพียงแค่อยากออกมาเดินเล่นรับลม มิได้สนใจพ่อค้าหาบเร่และลิง
“นี่คือหนูน้อยจากบ้านใด ข้าขึ้นเหนือล่องใต้หาบเร่ค้าขายมาหลายปี ยังไม่เคยพบเจอหนูน้อยที่หน้าตางดงามเช่นนี้มาก่อน ข้ามีที่คาดผมและดอกไม้ใยบัวที่งามที่สุด ข้าสามารถลดราคาให้เจ้าได้นะ !” พ่อค้าหาบเร่พยายามขายสินค้าของตนอย่างเต็มที่
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่และเด็กในหมู่บ้านหยุนเซี๋ยได้เป็นอย่างดี ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปยังสวีฮุ่ย
โจวตงชูเข้ามายืนบังสวีฮุ่ยไว้: “พวกข้ามิได้มาซื้อของ เพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น !”
“เจ้านี่เองที่เป็นแขกขวัญของบ้านตระกูลโจว !” เมื่อวาน โต้วหรูอี้เอาแต่จับจ้องไปที่โจวป๋อเทา มิได้สังเกตใบหน้าของสวีฮุ่ย นางจำได้เพียงว่าโจวป๋อเทาพาเด็กน้อยคนหนึ่งออกไปจากโต๊ะกินข้าว
ดูเหมือนนอกจากหนูน้อยผู้นี้ ตระกูลโจวก็ไม่ได้มีแขกคนไหนมาเยี่ยมเยียนอีก เพราะโต้วหรูอี้คอยจับตาดูความเคลื่ิอนไหวของตระกูลโจว !
“แขกขวัญคืออะไรหรือ !” สวีฮุ่ยแสร้งทำเป็นมิรู้เรื่องรู้ราวและดูแคลนตัวเองไปด้วย คนที่ลองนับรวมอายุของทั้งสองชาติได้สามสิบกว่าปีอย่างนางยังต้องแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาอีก
“ตระ……ตระกูลโจวและโจวซิ่วไฉชอบเจ้ามากเลยใช่หรือไม่ ?” โต้วหรูอี้มองดูนัยน์ตาดอกท้อของสวีฮุ่ยที่คล้ายกับโจวป๋อเทามาก
“พี่สาวหมายถึงท่านอาเล็กของข้าน่ะหรือ ?”
ใบหน้าของโต้วหรูอี้กลายเป็นสีแดงเรื่อขึ้นมาทันที เหล่าสายตาที่เคยจับจ้องสวีฮุ่ยต่างหันมามองนางแทน เพราะชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้านรู้ว่าโต้วหรูอี้ชอบซิ่วไฉโจว หากเป็นคนอื่นคงดีใจมากที่ลูกสาวของผู้นำหมู่บ้านมาชอบ แต่สถานการณ์ของตระกูลโจวมีความพิเศษ โจวป๋อเทาเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ว่ากันว่าเขาเรียนเก่งมาก ในอนาคตจะต้องเป็นขุนนางได้แน่นอน จะมาตบแต่งภรรยาในชนบทได้เยี่ยงไร ?
ลูกสาวผู้นำหมู่บ้านมิมีคุณสมบัติพอหรอก !
“ที่ข้าถามหมายถึง……ตระกูลโจว เจ้าอย่าเข้าใจผิด !” โต้วหรูอี้เริ่มโมโหแล้ว เด็กคนนี้แต่เดิมทีดูฉลาดมาก แต่ทำไมถึงได้มิรู้จักพูดเยี่ยงนี้
เห็นกันอยู่ว่านางหมายถึงอาเล็ก แต่ก็ยังอยากปกป้องชื่อเสียงของตนเอง คนที่ทำอะไรแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เช่นนี้มิเหมาะกับบุรุษผู้สง่าผ่าเผย……และใจดำอำมหิตแบบอาเล็ก
สวีฮุ่ยจึงตัดสินใจว่าจะช่วยอาเล็กสักครั้ง นางจะเอ่ยเตือนโต้วหรูอี้ ให้นางรู้ว่าตนเองมิคู่ควรกับอาเล็ก
“อาเล็กชอบข้าที่สุดแล้ว เขายังรับปากอีกว่าหากภายหน้าออกไปจากหมู่บ้านหยุนเซี๋ย ในตอนที่เขามีความสามารถพอ เขาจะรับข้าไปเรียนหนังสือ !” สิ่งนี้มินับว่าสวีฮุ่ยโกหก เพราะโจวป๋อเทาเคยพูดไว้จริง หากเขามีโอกาส เขาจะพานางไปเรียนรู้โลกกว้าง หากนางสามารถเข้าเรียนในสำนักวิชาได้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่!
“เขา……อยากไปไหนล่ะ ?” โต้วหรูอี้ถามอย่างมีความหวัง
นี่เจ้ายังมิถอดใจอีกรึ ! ข้าอุตส่าห์บอกว่าท่านอาเล็กจะมิกลับมาที่หมู่บ้านหยุนเซี๋ยแล้ว เหตุใดถึงยังได้เฝ้าคะนึงหาเขาอยู่อีก ?
“ออกไปหาความรู้น่ะสิ อาเล็กของข้าบอกว่าก่อนอายุ 20 ปี เขาแค่อยากศึกษาหาความรู้เท่านั้น มิว่าสิ่งใดช่วยเพิ่มความรู้ให้เขาได้ หรือสำนักศึกษาไหนอาจารย์คนใดเก่ง เขาก็จะไปหาอย่างมิลังเล ยังมิคิดเรื่องอื่น !”
แม่นางหรูอี้ คราวนี้ท่านคงจะถอดใจแล้วสินะ !