ตอนที่ 32 : เอาคืน
ตอนที่ 32 : เอาคืน
คืนนี้ตระกูลโจวถึงขั้นประชุมเรื่องนี้กัน ถ้าว่ากันตามหลักแล้ว เด็กน้อยจะมิได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุม สวีฮุ่ยในเวลานี้กำลังหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของโจวถงซื่อ ดูเหมือนนางกำลังหลับสนิท เมื่อเห็นใบหน้างดงามหมดจดของหลานสาวและขนตางอนยาว โจวถงซื่อทำใจปลุกหลานสาวมิลง
“เทาเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้ ตัวเจ้าคิดได้เยี่ยงไร !” โจวหมิงหลี่คาบมวนยาสูบพลางสูบไปสองฟืดใหญ่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้ข้ามีใจให้แค่การร่ำเรียนเท่านั้น ยังมิได้คิดเรื่องอื่น !” โจวป๋อเทาบอกความคิดของตนเองออกมา
เฉินกุ้ยฮวาแอบเบะปากด้วยความโมโห มาทำให้ตระกูลผู้นำหมู่บ้านมิพอใจ ต่อไปนี้ยังจะเหลือลู่ทางให้แก่ตระกูลโจวอยู่หรือไม่ เพราะลูกชายทั้งสองคนของนางอายุใกล้เคียงกับลูกสาวของผู้นำหมู่บ้านพอดี หากพวกเขาชื่นชอบซิ่งเย่ นางก็จะรีบตอบตกลงทันที
อาเล็กของเด็ก ๆ เติบโตมารูปงาม อีกทั้งยังมีความรู้ความสามารถอันยอดเยี่ยม เขาคงอยากหวังสูงเลยดูถูกเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ อย่างผู้นำหมู่บ้าน ถึงขนาดดูแคลนลูกสาวของพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน !
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ป๋อเทาเป็นคนมีความรู้ความสามารถ ขนาดอาจารย์ของเขายังกล่าวชมมิขาดปาก หากอาจารย์มิให้ความสำคัญแก่เขาก็คงมิพาเขาไปร่ำเรียนตำราถึงในเมืองใช่ไหม !
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้จึงมิจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องแต่งงาน อีกอย่างเขาก็เป็นผู้ชายมิใช่หรือ แต่งงานช้าไปปีสองปีคงมิเป็นไรหรอก ต่อไปนี้เวลามีคนหาข้ออ้างมาบ้านเราอีก เราก็แค่บอกอีกฝ่ายไปว่าป๋อเทายังมิอยากแต่งงาน มิว่าใครก็ตามที่มา เราจะพูดตอบเขาไปแบบนี้ พอเวลาผ่านไปนานเข้าเดี๋ยวคนพวกนั้นก็ล้มเลิกความคิดไปเอง” โจวป๋อหยางกล่าว
“แบบนี้จะทำให้ตระกูลของผู้นำหมู่บ้านมิพอใจหรือไม่ เพราะถึงเยี่ยงไร เรายังต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหยุนเซี๋ยต่อมิใช่หรือ ?” นี่คือเรื่องที่โจวถงซื่อเป็นกังวล
เฉินกุ้ยฮวาพยักหน้าเห็นด้วยเช่นเดียวกัน “ท่านแม่พูดมีเหตุผล หากพวกเรายังอยากอยู่ในหมู่บ้านหยุนเซี๋ยต่อไปก็มิควรทำให้ตระกูลโต้วมิพอใจใช่ไหม ที่จริงแม่นางหรูอี้ผู้นั้นถือว่าหน้าตาใช้ได้เลยทีเดียว อกเป็นอก เอวเป็นเอว ดูจากสะโพกของนางก็มองออกแล้วว่านางสามารถให้กำเนิดลูกชายได้”
“เจ้าช่วยพูดสิ่งดี ๆ หน่อยได้ไหม เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการคลอดบุตร ?” โจวป๋อซงอยากควักโคลนมายัดปากเฉินกุ้ยฮวาเสียจริง ต้องเป็นผู้หญิงแบบไหนกันถึงเอาแต่พูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้ตลอดเวลา
สวีฮุ่ยที่แกล้งหลับรู้สึกตลกกับคำพูดของป้าสะใภ้รองจนเกือบจะหลุดขำออกมา สตรีผู้นี้มีความสามารถมิน้อยที่รู้แม้กระทั่งว่าในอนาคตผู้หญิงคนหนึ่งจะให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาว !
โจวป๋อเทาลุกขึ้นยืนแล้วรับตัวสวีฮุ่ยมาจากในอ้อมอกของโจวถงซื่อ “ท่านแม่ เด็กคนนี้นอนหลับสนิทแบบแปลก ๆ ให้ข้าอุ้มเถิด !”
“เจ้าอย่าทำให้นางตื่นนะ !” โจวถงซื่อมิวางใจเสียเท่าไร นางยังกำชับให้ลูกชายอุ้มสวีฮุ่ยไว้ให้ดี
สวีฮุ่ยที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับคร่ำครวญในใจว่า ไม่นะ ! ข้ามิอยากให้อาเล็กอุ้ม ใครจะไปรู้ว่าต่อไปเขาจะทำอะไรต่อ !
“ดูท่านแม่พูดเขา ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว เหตุใดถึงจะอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งไม่ไหว !” โจวป๋อเทาอุ้มสวีฮุ่ยไว้มือหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเอื้อมออกไปเกาใต้รักแร้ของสวีฮุ่ยเงียบ ๆ แล้วแสร้งปั้นหน้าจริงจังพูดคุยกับตระกูล
มิเคยมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับนางเวลาอยู่ในน้ำมือของอาเล็กจริงด้วย ร่างกายและจิตใจของสวีฮุ่ยถูกทรมานอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน นางอยากจะขยับแต่ก็มิกล้า อยากจะหัวเราะแต่ก็ต้องกลั้นขำไว้ มันช่างทรมานเหลือเกิน
มิสนแล้ว ! สวีฮุ่ยลืมตาโพลงขึ้นมา: “ข้าหลับไปตอนไหนเนี่ย ท่านอาเล็ก ลำบากท่านแล้ว !” สวีฮุ่ยกำลังจะเขยิบลงจากตักของผู้เป็นอา แต่โจวป๋อเทากลับกอดนางไว้แน่นมิยอมปล่อย:“เจ้าหลับจริง ๆ หรือ ?”
ถ้ามีความสามารถพอก็แกล้งหลับต่อไปสิ ! โจวป๋อเทาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกระตุกรอยยิ้มขณะมองไปยังสวีฮุ่ย
“เมื่อครู่นี้ข้านอนหลับอยู่ดี ๆ แต่ตอบมาก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งมาเกาเล่นอยู่ใต้แขนของข้า ท่านอาเล็ก ท่านคิดว่าใครทำเรื่องมิดีเหล่านี้กัน !”
โจวถงซื่อรับตัวหลานสาวมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง แล้วตีหลังลูกชายคนเล็กของตนเองไปหนึ่งที “เจ้านี่นะ……”
เรื่องของตระกูลโต้วถูกพับเก็บไว้ก่อน คนในตระกูลโจวกลับมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการสอบฮุ่ยซื่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ พวกเขากำลังวางแผนว่าจะจัดโต๊ะไว้เลี้ยงฉลองกี่โต๊ะเวลาที่เจ้าหน้าที่จากทางการมาประกาศข่าวดี
โจวป๋อเทามิค่อยสนใจหัวข้อสนทนาพวกนี้เท่าไหร่นัก เขากำลังถลึงตาใส่หลานสาวที่แอบหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของแม่เขา !
นัยน์ตาดอกท้อสองคู่ที่ดูคล้ายกันมากต่างถลึงตาใส่กันไปมา สวีฮุ่ยยังมิวายแอบแลบลิ้นใส่อาเล็กของตนเองอย่างซุกซน ในขณะที่โจวป๋อเทาทำทีเป็นชูกำปั้นใส่นาง
“ข้าคิดว่าพวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ !” โจวป๋อหยางเห็นสองอาหลานที่กำลังถลึงตาใส่กันไปมาก็หมดอารมณ์คุยเรื่องพวกนี้ทันที เขาอุตส่าห์แบกร่างกายอันเหนื่อยล้ามาพูดคุยปรึกษาหารือถึงเรื่องของน้องชาย แต่ดูเจ้าตัวสิ ? แทบจะมิเก็บมาใส่ใจเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าพวกผู้ใหญ่ออกไปหมดแล้ว โจวตงชูและโจวเสี่ยวหลิงจึงเดินมาจับมือสวีฮุ่ย พวกนางก็ถึงเวลานอนแล้วเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้ามันเด็กโง่ !” เฉินกุ้ยฮวาส่ายหน้า นับตั้งแต่ที่ลูกสาวคนนี้ของน้องสาวสามีมาอยู่ที่บ้านตระกูลโจว ในสายตาของแม่สามีและอาเล็กของบ้านมีเพียงแค่นังเด็กนั่นคนเดียวเท่านั้น ขนาดเรื่องกินยังยึดตามที่นังเด็กผู้นั้นต้องการ
ตระกูลโจวมีของดีของอร่อยอะไรก็มักจะให้นางก่อน อีกทั้งนังเด็กนั่นก็ยังยอมรับอย่างใจเย็น แถมยังมิเคยเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปช่วยงานในแปลงนาเลยสักครั้ง แต่ลูกสาวของนางกลับต้องไปเกี่ยวหญ้ามาให้หมู ทั้งยังต้องไปลงแปลงนา ในขณะที่นังเด็กผู้นี้เอาแต่อยู่บ้านราวกับเป็นคุณหนูในตระกูลใหญ่
ยิ่งคิด ในใจก็ยิ่งรู้สึกมิเป็นธรรม !
“มิได้โวยวายสักวัน ปากของเจ้ามันหุบมิลงหรือไง ?” หากมิใช่เป็นเพราะเขามิมีนิสัยชอบตบตีทำร้ายสตรี ป่านนี้โจวป๋อซงลงมือไปนานแล้ว
เฉินกุ้ยฮวาเห็นว่าสามีของตนโกรธจริง ๆ จึงรีบหดคอแล้วกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
วันต่อมา โจวป๋อเทาได้มอบหมายการบ้านใหม่ให้แก่สวีฮุ่ย เขามิเพียงแต่ให้นางคัดกลอนโบราณเท่านั้น แต่ยังให้นางเรียนการเขียนอักษรบรรจงเล็กอีกด้วย
“ท่านอาเล็ก เหตุใดข้าถึงคิดว่าท่านกำลังแก้แค้นข้ากันนะ ?” เมื่อวานข้าก็แค่อยากดูความสนุกเอง แต่อาเล็กของนางกลับแค้นฝังหุ่นเสียได้ นางเองก็มิได้อยากจะไปสอบจอหงวนหญิงเสียหน่อย และมิอยากเป็นไฉหนี่ด้วย จะฝึกคัดอักษรบรรจงเล็กไปทำไม !
“เจ้าจะเรียนหรือมิเรียน !” ต่อให้เขากำลังเอาคืนนางจริง ๆ แต่โจวป๋อเทาจะมิยอมรับแน่นอน
“เรียน !” แม้ว่าพฤติกรรมของอาเล็กจะมิยุติธรรม แต่สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์เยอะที่สุดก็คือนาง สวีฮุ่ยมิใช่เด็กน้อยจริง ๆ สักหน่อย นางย่อมรู้ดีว่าควรทำเยี่ยงไร
โจวป๋อเทาจับมือสอนสวีฮุ่ยคัดอักษรไปครู่หนึ่ง แล้วให้นางฝึกเขียนเอง และในตอนที่นางเขียนมาถึงช่วงบ่ายจนมือแทบจะยกมิขึ้นแล้วนั้น โจวป๋อเทาก็บอกให้นางคัดกลอนโบราณเพิ่ม และต้องเขียนด้วยอักษรบรรจงเล็กเท่านั้น
“ท่านเป็นอาของข้าจริงหรือเปล่า” สวีฮุ่ยนวดมือพลางกัดฟันพูด
“ภายหน้าเจ้าจะต้องขอบคุณข้าแน่นอน !”
นางเขียนการบ้านวันนี้จนถึงมืด โจวถงซื่อที่เห็นเช่นนั้นถึงกับบอกให้ลูกชายอย่าเข้มงวดกับหลานสาวมากเกินไป เกิดเป็นสตรี รู้อักษรแค่มิกี่คำก็พอแล้ว มิได้จะไปสอบจอหงวนเสียหน่อย เหตุใดต้องฝึกหนักเช่นนั้นด้วย !
“ท่านแม่ หากเราอบรมนางให้ดี ในอนาคตนางจะมีชื่อเสียงยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก !” โจวป๋อเทามิค่อยเอ่ยชมใคร เขาจึงมิอยากให้ สวีฮุ่ยรู้เรื่องนี้ เขาตั้งใจจะบอกแค่โจวถงซื่อและพี่สาวกับพี่เขยเท่านั้น
ก่อนนอน โจวป๋อเทามาทายาที่ข้อมือให้สวีฮุ่ย ความรู้สึกเย็นสบายของตัวยาช่วยลดอาการปวดชาข้อมือได้
แต่หากได้เข้าไปแช่น้ำแร่ในมิติ บางทีอาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ ! เมื่อไหร่หนอที่นางจะได้เข้าไปในมิติ !
“เจ้าอยากเข้ามาในมิติไหม ?” ทันใดนั้น เสียงของเฮ่อจิ่นก็ดังเข้ามาในหูของนาง
“แน่นอนสิ !” สวีฮุ่ยคิดถึงพืชพรรณที่อยู่ในมิติ คิดถึงเวลาได้ทำอาหารมื้อใหญ่ปลอบใจตนเอง
“คืนนี้ข้าจะใช้พลังวิญญาณทำให้แม่นางน้อยทั้งสองคนนั้นหลับสนิท แค่นี้เจ้าก็จะได้เข้ามาในมิติแล้ว !”
“คงจะมิทำให้พวกนางเป็นอันตรายใช่ไหม ข้าคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ใกล้จะมารับข้าแล้ว อีก 2-3 วันตอนกลับไปค่อยเข้ามิติก็ได้ ตอนนี้ข้ายังมิรีบร้อนหรอก !” สวีฮุ่ยเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของพี่หญิงน้องหญิงในตระกูลโจว อีกทั้งนางยังสงสารเฮ่อจิ่น เพราะกลัวว่าพลังวิญญาณของมันจะเหือดแห้งจนมันต้องเข้าสู่ภาวะจำศีลอีกครั้ง