1051 - ราชากระทิง
1051 - ราชากระทิง
ราชาแห่งแสงประสานอินด้วยมือทั้งสองข้าง และแสงอมตะก็พุ่งออกมา นี่คือปราณต้นกำเนิด ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวของสำนักแสงศักดิ์สิทธิ์
ในทะเลสีคราม หมอกควันกำลังโหมกระหน่ำขึ้นสู่ท้องฟ้า ความว่างเปล่าสั่นไหวอย่างรุนแรง และมหาสมุทรทั้งหมดดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ
นักพรตชิงกู่เคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า ไม่ว่างการโจมตีของราชาที่อยู่ตรงหน้าจะรุนแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถคุกคามความปลอดภัยของเขาได้
“เขายังอ่อนแอกว่าราชามนุษย์เล็กน้อย” หลี่เทียนกล่าว
“ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาเพียงทดสอบความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม ยังไม่ได้เริ่มเอาจริงด้วยซ้ำ” เย่ฟ่านกล่าว
ฉากที่น่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้นในช่วงเวลาถัดมา ความว่างเปล่าพังทลายลงและหน้าผาขนนกอมตะมีรอยร้าวปรากฏอยู่ทุกที่
การโจมตีของพวกเขาน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เมื่อบวกกับค่ายกลแห่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่บนวิหารโบราณและเรือโบราณสิบแปดลำ การต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น และมันจะจบลงก็ต่อเมื่อมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิตเท่านั้น
“พวกเขาทรงพลังจริงๆ ขอบเขตพลังของราชาเหล่านี้แทบจะเทียบได้กับการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตอมตะแล้ว!”
เย่ฟ่านที่มีโอกาสมองเห็นการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตอมตะก่อนหน้านี้รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เหล่าชายชราที่อยู่ตรงหน้ามีพลังที่เพียงพอจะสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์พิภพ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้
นักนักพรตชิงกู่ทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ร่างศักดิ์สิทธิ์ที่บรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และไม่อาจนับได้ว่าเป็นราชาแห่งยุคสมัยเหมือนผู้อื่น แต่ความเร็วของเขากลับไม่มีผู้ใดไล่ตามทัน
ราชาแห่งแสงตะโกนเสียงดัง ทั้งร่างของเขาระเบิดเป็นประกายแห่งสวรรค์ และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ล้นหลามก็กวาดออกไปทุกทิศทาง
นี่คือการต่อสู้ที่สะเทือนโลกอย่างแท้จริง ทั้งสองฝ่ายไม่หยุดยั้งและต่อสู้ในศึกแห่งดินแดนเทพ การปะทะกันทุกครั้งดูเหมือนจะทำให้โลกทั้งใบพังทลาย
เต๋านับไม่ถ้วนปะทะกันบนท้องฟ้า ดวงดาวโบราณนับหมื่นดวงเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับว่าพลังจากดวงดาวเหล่านั้นถูกดึงออกมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัด
นี่คือการดวลที่น่ากลัวระหว่างร่างศักดิ์สิทธิ์ที่บรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ไม่มีคำพูดใดๆ ที่สามารถบรรยายเหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึงครั้งนี้ได้
แม้แต่ตัวเย่ฟ่านเองก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยหากจะยื่นมือเข้าไปสอดแทรกการต่อสู้ครั้งนี้
“ราชาแห่งแสงคืนคัมภีร์ของข้ามาและข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่หากเจ้ายังคงดื้อด้านเราทั้งสองคนจะมีคนใดคนหนึ่งต้องตาย”
นักพรตชิงกู่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเป็นชายชราที่มีอายุเกือบสี่พันปี แน่นอนว่าเขาเลิกสนใจความเป็นความตายของตัวเองมานานแล้ว
“สมบัติอยู่ในมือของเราผู้เฒ่าแล้ว เจ้ายังฝันว่าจะได้มันกลับไปอีกหรือ?”
ร่างของราชาแห่งแสงปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเทพที่เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน เส้นผมสีดำสนิทของเขาโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
นักพรตชิงกู่ได้ยื่นข้อเสนอไปแล้ว ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบรับเขาก็ทำได้เพียงต่อสู้จนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตายเท่านั้น
ในขณะนี้พลังอันน่าเกรงขามปะทุขึ้นกลางสนามรบ ค่ายกลของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่บนวิหารเต๋าโบราณได้ระดมยิงคลื่นพลังทำลายล้างเข้าหาราชาแห่งแสงอย่างต่อเนื่อง
ราชาแห่งแสงตวาดด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันเจิดจ้า
แน่นอนว่าต่อให้เขาเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ที่บรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เขาก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีจากค่ายกลจักรพรรดิได้ และสิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดได้จนถึงปัจจุบันก็คือการพึ่งพาอาวุธครึ่งก้าวเต๋าสุดขั้ว
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าคืออะไรกันแน่!”
ดวงตาของนักพรตชิงกู่แข็งทื่อ ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แสดงอาวุธครึ่งก้าวเต๋าสุดขั้วออกมา แต่พลังการป้องกันของมันน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด
วิหารเต๋าโบราณถูกสร้างขึ้นมาหลายแสนปีแล้ว ค่ายกลสังหารของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นี้เพียงพอที่จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตอมตะด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่ราชาแห่งแสงยังคงมีชีวิตอยู่
ในอีกด้านหนึ่งราชาอสูรสวรรค์ละทิ้งครึ่งหน้าของคัมภีร์เทพไปแล้ว ศีรษะของเขาเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อสูรสวรรค์ผู้เฒ่ากำลังหลบหนีด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
ดังนั้นบนหน้าผาขนนกอมตะราชามนุษย์จึงต่อสู้กับราชาอีกาทองด้วยความเย่อหยิ่งและสง่างาม ทั้งคู่เป็นศัตรูเก่าตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน และวันนี้ความแค้นของพวกเขาจะได้จบลงสักที
เรือทองแดงเย็นยะเยือกทั้งสิบแปดลำถูกปราบปรามจากปีกสีดำซึ่งเป็นอาวุธครึ่งก้าวเต๋าสุดขั้วแห่งเผ่าพันธุ์อีกาทอง แม้ว่าค่ายกลสังหารของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่มันยังไม่เพียงพอที่จะทำลายอาวุธขึ้นก้าวเต๋าสุดขั้วได้
ราชามนุษย์เป็นชายชราสวมเสื้อคลุมสีเงินและมงกุฎหยกสีขาว เขามีผมขาวหนา รูปร่างสูงใหญ่และดุร้ายเหมือนมังกร
เบื้องหน้าเขาพระอาทิตย์กำลังแผดเผา ราชาอีกาทองมีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ เขาเป็นเหมือนเทพสงครามวัยกลางคน เส้นผมสีทองของเขาโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
ก่อนหน้านี้ราชามนุษย์และราชาอีกาทองได้ตกลงกันไว้ว่าพวกเขาจะจัดการราชาอสูรสวรรค์ก่อนจากนั้นทั้งสองคนค่อยชำระความแค้นกันอีกที
“บูม”
ราชาอีกาทองขยับตัว และปีกสีดำฟาดฟันลงมาเบื้องล่างราวกับพายุคลั่ง แสงสีทองนับล้านเส้นพุ่งเข้าหาราชามนุษย์ราวกับลูกศรศักดิ์สิทธิ์
ในระยะไกลสีหน้าของเย่ฟ่านเปลี่ยนสีเล็กน้อย จนกระทั่งลมหายใจนี้เขาจึงตระหนักได้แล้วว่าราชาอีกาทองทรงพลังมากเพียงใด
การโจมตีนี้เพียงพอที่จะฆ่าอีกาทองระดับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดได้นับพันตัว!
ในตอนนี้ต่อให้เย่ฟ่านกระตุ้นอาณาจักรแปดต้องห้ามออกมาก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสิบกระบวนท่าอย่างแน่นอน
นอกจากนี้เหล่าราชาโบราณที่อยู่ตรงหน้าล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแปดต้องห้ามเช่นกัน ข้อได้เปรียบของเย่ฟ่านดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
การต่อสู้กำลังดุเดือดอย่างถึงที่สุด!
เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นในทะเลสีครามหรือบนผาขนนกอมตะ สถานการณ์ของราชาแต่ละคนล้วนตกอยู่ในความล่อแหลมและอาจเสียชีวิตอย่างกระทันหันได้ตลอดเวลา
“เมื่อไหร่การต่อสู้จะจบลง หากสถานการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้สุดท้ายผู้คนจำนวนมากจะหลั่งไหลมาที่นี่” หลี่เทียนกล่าว
“หยินเทียนเต๋อปรากฏตัวอีกครั้ง เขารอไม่ไหวแล้ว!” เอี๋ยนอี้ซีกล่าว
ในสนามรบ ร่างที่ผอมแห้งนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาไม่ได้เลือกที่จะต่อสู้กับราชาผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเลือดเนื้อของตัวเอง
ในขณะนี้หยินเทียนเต๋อหยิบหม้อดินเผาออกมาและยืนอยู่บน หน้าผาขนนกอมตะ ทำให้เย่ฟ่านเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหม้ออสูรกลืนสวรรค์ แต่หลังจากมองใกล้ๆ เขาพบว่าไม่ใช่
ลมหายใจต่อมาดวงตาเย่ฟ่านก็เบิกกว้าง เพราะเขาเห็นอักขระคำว่า “เฟิง” อยู่บนหม้อดินซึ่งมันเป็นอักขระที่เขียนด้วยตัวหนังสือจีนโบราณจากยุคก่อนราชวงศ์ฉิน
หยินเทียนเต๋อเปิดหม้อดินเผา ทันใดนั้นแสงสีดำก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า วัวโบราณที่มีขนาดใหญ่โตกว่าหนึ่งพันวาปกคลุมทั้งสวรรค์พิภพ มันคำรามด้วยความโกรธเกี้ยวอย่างถึงที่สุด
ร่างกายของวัวตัวนี้มีแสงสีเขียวโอบล้อมอย่างแน่นหนา ขนของมันเรียบราวกับผ้ากำมะหยี่สีเงิน และเขาทั้งสองของมันแหลมคมเหมือนกระบี่
นี่คือวัวสีเขียวตัวใหญ่ มันปลดปล่อยเสียงคำรามทำให้หน้าผาขนนกอมตะปรากฏรอยแตกร้าว
แต่หลังจากส่งเสียงคำรามเสร็จแล้ววัวตัวนี้ก็เปลี่ยนตัวเองจากอสูรจตุบาทกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งวัวที่ยืนสองขา และมีตรีศูลขนาดใหญ่เป็นอาวุธ
เย่ฟ่านตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่คือราชากระทิงจากวรรณกรรมไซอิ๋วไม่ใช่หรือ?
“ข้าคือราชากระทิง!”
ด้วยเสียงคำรามที่ดังก้องสวรรค์พิภพ ทะเลที่อยู่เบื้องหน้าเกิดความปั่นป่วนคล้ายกับวันโลกาวินาศมาถึงแล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึงราชาผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ แม้แต่หยินเทียนเต๋อเองก็ยังตกใจ เขาถือหม้อดินเผาไว้ในมือข้างหนึ่งและสายตาของเขาได้จับจ้องอยู่ที่ราชากระทิงซึ่งมีความสูงหลายพันวาด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“ตั้งแต่ที่ออกจากช่องเขาฮั่งกู่และเดินทางไปทิศตะวันตก ไม่รู้ว่าผ่านมากี่พันปีแล้ว?...” ราชากระทิงพึมพำ
ในระยะไกลเย่ฟ่านเกือบจะกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ ที่แท้เจ้าก็คือสัตว์พาหนะของไท่ซ่างเหล่าจวิน?!
…….
เดี๋ยวช่วงเย็นลงให้อีกตอนนะครับ