บทที่ 27 การฟังเสียงของประวัติศาสตร์
ซืออวี๋มั่นใจว่าเขาได้ยินเสียง
และความรู้สึกนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเมื่อเขาใช้กระแสจิต
ในขณะที่เขาค้นหา เขาก็มองไปที่ต้น ‘เสียง’ มันคือรูปปั้นหินอย่างแน่นอน…
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะมองมันยังไง รูปปั้นหินนี้ดูราวกับจะไม่ใช่สัตว์อสูร
นี่เป็นเพียงรูปปั้นหินธรรมดาที่สร้างขึ้นตามรูปร่างของยักษ์หิน
เป็นไปได้ไหมที่มันจะกลายเป็นจิตวิญญาณ?
เป็นไปไม่ได้ หากมันวิวัฒนาการเป็นสัตว์อสูร มันต้องถูกสังเกตเห็นโดยนักฝึกสัตว์อสูรคนอื่นมานานแล้ว
มีนักฝึกสัตว์อสูรจำนวนมากที่นี่ ในสถานที่เช่นสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร นักฝึกสัตว์อสูรระดับสูงสามารถพบเห็นได้ทุกที่ นอกจากนี้ยังมีนักฝึกสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งที่มีพรสวรรค์กระแสจิต
สัตว์อสูรป่าไม่สามารถซ่อนตัวที่นี่ได้ รูปปั้นหินนี้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยสองสามปี
หลังจากเสียงหายไป ซืออวี๋ก็ยังคงสังเกตต่อไป
เขาสังเกตอยู่สักพักหนึ่งและยังคงไม่พบอะไร นี่เป็นเพียงรูปปั้นหินธรรมดา และวัสดุก็เป็นหินธรรมดาเช่นกัน
กล่าวตามตรง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารกับวัตถุไร้ชีวิตผ่านกระแสจิต นี่เป็นความรู้ทั่วไปที่ถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน นอกเสียจากว่ายังมีวิธีการใช้กระแสจิตที่เขาไม่รู้จัก
อาจารย์จางยิ้มและกล่าวกับพวกเขาว่า “พบแค่นี้ก่อน ข้ามีสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นข้าขอตัวก่อน พวกเจ้าไม่ต้งคิดมาก พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องคลื่นสัตว์อสูร แม้ว่ามังกรน้ำแข็งในตำนานจะฟื้นคืนชีพกลับมา นักฝึกสัตว์อสูรของเราก็สามารถจัดการมันได้”
ในยุคโบราณ มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถแตะต้องได้ แต่ในยุคปัจจุบัน นักฝึกมังกรกลายเป็นหนึ่งในนักฝึกสัตว์อสูรมาอย่างยาวนาน แม้ว่าพวกเขาจะพบได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพวกเขาเลย
“ขอบคุณมากท่านอาจารย์จาง” เฉินไคกล่าวออกมา
ซืออวี๋ก็ขอบคุณเขาเช่นกัน หลังจากที่พวกเขากล่าวลากัน อาจารย์จางก็จากไป ทิ้งซืออวี๋และคนอื่นมองหน้ากัน
“งั้นเรากลับไปล่าหนูดินไหม?” เฉินไคเอ่ยถาม
“ไม่ เราจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต” ซืออวี๋กล่าวต่อว่า “ข้านึกขึ้นมาได้ว่าข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน…”
“เจ้ารีบไหม? เจ้าสามารถกินข้าวก่อนไปได้…”
“เร่งด่วนมาก!”
ในตอนแรก เฉินไคและคนอื่นต้องการกินข้าวกับซืออวี๋ก่อนที่จะแยกย้ายกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซืออวี๋จากไปอย่างเร่งรีบ พวกเขาทั้งสี่คนจึงแยกกันในทันที
ในตอนท้าย เฉินไคและคนอื่นก็ไม่ได้รับข้อมูลการติดต่อของซืออวี๋เลย…
มันช่วยไม่ได้ ซืออวี๋ไม่มีโทรศัพท์ สิ่งนี้ราคาแพงกว่าโทรศัพท์บนโลกสิบเท่า ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถซื้อมันได้ในเวลานี้
หากเฉินไคต้องหาตามหาซืออวี๋ เขาทำได้เพียงแค่ฝากข้อความไว้ที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูร…
ความแตกต่างระหว่างโลกทั้งสองใบก็คือการซื้อแพนด้า เสือ และช้างบนโลกนั้นเป็นเรื่องยากมาก แต่การซื้อสินค้าทางเทคโนโลยีทั่วไปนั้นง่ายมาก
อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้ ราคาเต็มของอสูรกินเหล็กไม่ได้แพงเท่ากับราคาทรัพย์สินในเมืองเลย แต่สินค้าเทคโนโลยีนั้นแพงกว่าทรัพย์สินในเมืองอย่างมาก
หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกัน ซืออวี๋ก็ตรงไปยังห้องสมุดของเขตผิงเฉิงเพื่อตรวจสอบข้อมูลบางอย่าง
น่าเสียดายที่เขาไม่พบสิ่งที่เขาอยากรู้แม้ว่าเขาจะอยู่ในห้องสมุดจนถึงช่วงเย็น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่พบสิ่งที่เขาหา แต่มันก็ทำให้ซืออวี๋เข้าใจโลกใบนี้มากยิ่งขึ้น
ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้อาจแบ่งออกเป็นสามยุค
ยุคเทพนิยาย ยุคโทเท็ม และยุคนักฝึกสัตว์อสูร
ยุคเทพนิยายถูกกล่าวขานว่าเป็นยุคที่สิ่งมีชีวิตเทพนิยายกลุ่มแรกถือกำเนิดและปกครองโลก
ยุคโทเท็มเป็นยุคที่มนุษย์ถือกำเนิดและเอาชีวิตรอดภายใต้อาณาเขตของสัตว์อสูรที่ทรงพลังด้วยวิธีต่างๆ
ยุคนักฝึกสัตว์อสูรเป็นยุคที่มนุษย์เริ่มเชี่ยวชาญในการควบคุมสัตว์อสูร
ยุคนักฝึกสัตว์อสูรยังสามารถแบ่งได้ออกเป็นยุคโบราณและยุคใหม่
จุดเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อนในตอนที่เจ็ดประเทศมนุษย์ได้ร่วมกันก่อตั้งพันธมิตร
มันเป็นการแบ่งสามยุคที่เรียบง่าย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุผลพิเศษบางอย่าง ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้จึงมีช่องว่างมากมาย
ตัวอย่างเช่น ทำไมสัตว์อสูรเทพนิยายกลุ่มแรกถึงหายไปพร้อมกันนั้นเป็นปริศนาทางประวัติศาสตร์มาโดยตลอด
และสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองทุ่งน้ำแข็งเมื่อ 2,000 ปีก่อนก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้คนในปัจจุบันยังสำรวจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
หลังออกจากห้องสมุด ซืออวี๋ก็กล่าวย้ำกับตัวเองว่า “ข้าไม่ควรสงสัยมากเกินไป ข้าไม่ควรสงสัยมากเกินไป ข้าไม่ควรสงสัยมากเกินไป!!”
เขาบังคับไม่ให้ตัวเองคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
นี่เป็นนิสัยเดิมของเขา
ในชีวิตก่อนของเขา ซืออวี๋เป็นนักโบราณคดี ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่าง เขาจึงได้สัมผัสกับ ‘รบบ’ เทพนิยายที่ไม่รู้จัก เขาได้เปลี่ยนอาชีพเป็นนักวิชาการเทพนิยายด้วยความสงสัยของเขา
จากนั้นการไปยังซากปรักหักพัง โบราณสถานต่างๆ และสำรวจระบบเทพนิยายที่ไม่รู้จักนี้พร้อมกับอาจารย์ของเขาจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขา
จากนั้นเขาก็เสียชีวิต
ในระหว่างการสำรวจ พวกเขาได้พบกับอุบัติเหตุ พวกเขาถูกภูเขาถล่มและถูกฝังทั้งเป็น และเขาก็ข้ามมายังโลกนี้
“ความสงสัยฆ่าคน”
ซืออวี๋นึกได้ว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าประวัติศาสตร์ของระบบเทพนิยายที่ไม่รู้จักในตอนนั้นและอยากจะตบหน้าตัวเอง
เล่นเกมและดูอนิเมะไม่ดีกว่าเหรอ? ทำไมพวกเขาถึงไปยังสถานที่อันตรายทุกประเภทเพื่อตรวจสอบและค้นคว้าอย่างไร้เหตุผล?
กล่าวโดยย่อ เขาได้ข้ามมายังโลกที่อันตรายนี้แล้ว ซืออวี๋จึงต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายภายในพื้นที่อันปลอดภัย
เขาต้องการสนุกกับชีวิต
แม้ว่าประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ดูเหมือนจะลึกลับยิ่งกว่าและมีระบบเทพนิยายที่สมจริงมากยิ่งกว่า แต่ก็ไม่เป็นไปไม่สำหรับเขา ซืออวี๋ที่จะเดินไปตามเส้นทางเดียวกับในชีวิตก่อนของเขา
เป็นไปไม่ได้…
…
ในบริเวณสวนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของเขตผิงเฉิง ใต้รูปปั้นยักษ์หิน
ในจุดนี้ ท้องฟ้านั้นดำมืด และไม่มีใครอยู่ในสวนแล้ว
ซืออวี๋มองไปที่รูปปั้นหินภายใต้แสงจันทร์และเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นผู้ที่พูดในตอนนั้นใช่ไหม? เจ้ากำลังหักล้างประวัติศาสตร์ที่อาจารย์จางเล่ามา…”
ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็ดูเหมือนว่าจะหักล้างสิ่งที่อาจารย์จางกล่าว แต่มีเพียงแค่ซืออวี๋ที่ได้ยินการโต้แย้งครั้งนี้
“พี่ใหญ่หิน กล่าวอะไรบางอย่างสิ”
ซืออวี๋ใช้กระแสจิตของเขาเพื่อสื่อสารกับรูปปั้นหิน
อย่างไรก็ตาม รูปปั้นหินไม่มีการตอบสนองเลยต่างจากในตอนนั้น
“หากเจ้าไม่กล่าวอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”
รูปปั้นหินยังคงนิ่งเฉย
ซืออวี๋นั้นเงียบลง
เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะคิดไปเองเหรอ?
เขาจำได้ว่าเขารู้สึกยังไงเมื่อมองไปที่รูปปั้นหินในตอนนั้น
ในเวลานั้น เขาเพิ่งฟังประวัติศาสตร์ที่อจารย์จางอธิบายจบและสงสัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นั้น
เช่นเดียวกับที่อาจารย์จางเคยกล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์นั้นเป็นเพียงแค่การคาดการณ์และยังไม่ถูกยืนยัน เมื่อซืออวี๋มองไปที่รูปปั้นหิน จิตใต้สำนึกของเขาจึงคิดว่าต้องการรู้ว่าประวัติศาสตร์แท้จริงคืออะไร
มันเป็นเวลานั้นที่เขาได้ยินเสียงของรูปปั้นหิน
“บอกข้าสิ”
ในขณะที่ซืออวี๋จ้องไปที่รูปปั้นหิน เขาก็นึกถึงการเดินทางเข้าสู่ซากปรักหักพังต่างๆ การค้นคว้าสิ่งประดิษฐ์โบราณ และการสำรวจความจริงของประวัติศาสตร์ของเขาโดยไม่รู้ตัว
“บอกข้าสิ ข้าสามารถฟื้นคืนประวัติศาสตร์ได้”
ในขณะนี้ ความคิดของซืออวี๋นั้นชัดเจนมาก เขาต้องการเผยแพร่ความจริงทางประวัติศาสตร์นี้
ในเวลานี้ เขาไม่ต้องการที่จะฟังเสียงของรูปปั้นหิน แต่ต้องการฟังเสียงของประวัติศาสตร์
เขาเชื่อว่าสถานะในปัจจุบันของเขานั้นคล้ายกับในตอนบ่ายมาก
ในตอนนี้ เขากระตุ้นกระแสจิตของเขาและหาความรู้สึกจากในตอนบ่าย
ดูเหมือนว่า… สมองของเขากำลังสั่นไหว??
บูม!!!
เสียงก็ดังขึ้นมา และเสียงนั้นก็ทำให้หนังศีรษะของซืออวี๋รู้สึกด้านชา
แต่เสียงนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาทางจิตใจ แต่ได้ระเบิดหูของเขาแทน
เขาเงยหน้าขึ้นและอ้าปากค้าง… เพราะท้องฟ้าก็ดูราวกับจะสั่นไหวในทันใด
แครก!
จากนั้นซืออวี๋ก็ถูกดึงดูดโดยรูปปั้นหินอีกครั้ง
ครั้งนี้ รูปปั้นหินส่งเสียงออกมาจริง แต่มันเป็นเสียงแตกร้าว
ภายใต้การจ้องมองของเขา รูปปั้นหินก็แตกร้าวจากบนลงล่าง…
“บัดซ* เกิดเรื่องแล้ว!” ซืออวี๋หันหลังและจากไป เขาสาบานว่าหากเขาแตะต้องอาชีพเก่าของเขาอีกครั้ง เขาจะเป็นหมา
อาชีพนั้นอันตรายเกินไป อันตรายยิ่งกว่าการเป็นนักฝึกสัตว์อสูรเสียอีก
“อีเลฟเว่น ช่วยข้าด้วย”
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน