ตอนที่แล้วตอนที่ 8 : อยากเป็นผู้หญิงนั้นไม่ยาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10 : เหยียบจมูกขึ้นหน้า

ตอนที่ 9 : มาขอให้ชดใช้เงินถึงบ้าน


ตอนที่ 9 : มาขอให้ชดใช้เงินถึงบ้าน

สวีเจี้ยนหลินไม่กล้าแอบหนีไปเที่ยวไหนจริง ๆ แต่เขาเป็นคนที่อยู่ว่างไม่ได้ ประเดี๋ยวก็ไปตักดินเหนียวมาปั้นลูกกระสุนดิน ประเดี๋ยวก็ไปหลังบ้าน เที่ยวไล่จับแมลงมาทำเหยื่อตกปลา

“เอ๊ะ น้องเล็ก เจ้าเห็นเชือกของข้าที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างหรือไม่ ? ทำไมข้าถึงหามันไม่เจอล่ะ ?” สวีเจี้ยนหลินถาม

เอ่อ ! เชือกอันนั้นยังอยู่ในมิติอยู่เลย ! สวีฮุ่ยลืมเอามันออกมาจากในมิติ จึงกล่าวว่า “พี่รอง ท่านลองหาดู บางทีอาจตกอยู่ริมตลิ่ง หรือไม่ก็ใต้ต้นไม้ต้นไหนสักต้น ไม่อย่างนั้น……ข้าไปหาเป็นเพื่อนท่านดีไหม ?”

สวีเจี้ยนหลินไม่กล้าพาน้องสาวออกไปไหนหากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ในครอบครัว เพราะถ้าหากท่านแม่หรือท่านย่ารู้ขึ้นมา มีหวังเขาโดนถลกหนังแน่ !

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังยืนคุยกันอยู่ที่ลานบ้าน จู่ ๆ ก็มีคนผลักประตูรั้วเข้ามา และคนที่เดินเข้ามานั้นเป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีสวมชุดคลุมสีฟ้า

สวีฮุ่ยหันไปมองพี่รองของตน บุรุษผู้นี้คือใครกัน ? นางไม่กล้ากล่าวทักทายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า สวีเจี้ยนหลินที่หันไปเห็นบุรุษคนนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม พลางคิดในใจว่า: นี่ย่าใหญ่ยังไม่ยอมจบใช่ไหม !

“มีแค่พวกเจ้าสองคนอยู่บ้านหรือ ? อาเล็กคอแห้งแล้ว เสี่ยวหลินจื่อไปยกน้ำมาให้ข้าดื่มหน่อยสิ ทางที่ดีใส่น้ำตาลมาให้ข้าด้วยนะ !” ผู้มาเยือนนั่งลงบนตั่งตัวยาวที่อยู่ในลานบ้านอย่างถือวิสาสะ แล้วเรียกใช้หลานชายของตนเองราวกับหลานเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้านอาหาร

อาเล็ก ? พ่อของนางไม่มีพี่น้องไม่ใช่หรือ ? แล้วอาเล็กคนนี้โผล่มาจากไหน !

“อาสาม พ่อแม่ของข้าออกไปไร่แล้ว ท่านมาหาพวกเขามีธุระอันใดหรือไม่ ?” น้ำเสียงของสวีเจี้ยนหลินมีความขยะแขยงและโกรธเคืองเล็กน้อย

“เมื่อวานย่าใหญ่และอาหญิงของเจ้าได้รับบาดเจ็บที่นี่ใช่ไหม ข้าจะพูดคุยเรื่องนี้กับเด็กอย่างพวกเจ้าทั้งสองได้เยี่ยงไร ไปเรียกพ่อแม่ของเจ้ากลับมา !”

สวีฮุ่ยกวาดตามองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้า ยามนี้นางพอจะเดาสถานะของเขาออกแล้ว “อาสามมีอะไรจะพูดก็พูดกับพวกข้าสองคนได้เหมือนกัน พวกข้าจะเลือกจำประเด็นสำคัญและไปบอกกับท่านพ่อท่านแม่ในภายหลัง”

แต่เรื่องนี้มันก็อยู่ที่ว่านางจะมองเรื่องไหนเป็นประเด็นสำคัญ

“ข้าฟังย่าใหญ่และอาเล็กของเจ้าพูดมา อาการบาดเจ็บของพวกนางเป็นฝีมือเจ้าใช่ไหม ?” ในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ สวีจื้อเกาและสวีชิวเยี่ยนคนหนึ่งเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ส่วนอีกคนเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าในกำมือ ทั้งสองจึงถูกนางเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก

“ท่านคิดว่าข้าทำได้หรือ ? อย่างมากข้ากระโดดได้สูงสุดก็ถึงแค่คางของนางเท่านั้น และนางก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะยืนทื่ออยู่ที่เดิมให้ข้าทำร้ายนี่ ? ไหนจะย่าใหญ่อีก เป็นเพราะนางเดินไม่ระวังถึงได้ล้มเอง แต่กลับผลักความผิดทั้งหมดมาให้ข้าที่เป็นเด็กน้อยอายุเพียงหกขวบเท่านั้น มีใครเห็นงั้นหรือว่าข้ายื่นมือไปผลักย่าใหญ่ ?

เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่าแต่กลับไม่แยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิด ! ต่อให้อยากหาคนรับผิดแทน ก็ควรจะหาคนที่เหมาะสมและเหตุผลที่น่าเชื่อถือไม่ใช่หรือ ? ”

สวีจื้อเกาลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนรอบสวีฮุ่ย เด็กน้อยผู้นี้มีฝีปากกล้าตั้งแต่เมื่อใดกัน นางพูดเพียงแค่ไม่กี่คำก็สามารถสลัดความผิดให้พ้นตัวได้แล้ว เหตุใดเมื่อก่อนเขาถึงไม่เคยสังเกตว่านางจะเก่งถึงเพียงนี้ !

สวีเจี้ยนหลินดึงน้องสาวมาอยู่ด้านหลังของตนเองเพื่อปกป้องนาง “อาสาม แค่ย่าใหญ่และท่านอาหญิงบอกว่าน้องสาวข้าเป็นคนทำ ท่านก็เชื่อแล้วหรือ ?”

“แต่เรื่องที่พวกนางได้รับบาดเจ็บที่บ้านนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก อีกไม่นานอาหญิงของเจ้าก็ต้องออกเรือนแต่งงานแล้ว แต่นางฟันหลุดถึงสองซี่แบบนี้ ใครเขาจะอยากแต่งกับนาง ? ย่าใหญ่ของเจ้าเจ็บเอวมากตั้งแต่กลับถึงบ้านเมื่อวานแล้ว วันนี้นางเจ็บจนถึงขั้นลงจากเตียงไม่ได้ เห็นแก่ที่พวกเราทั้งสองบ้านเป็นญาติกัน พวกข้าจึงไม่ได้แจ้งทางการ ไปบอกให้พ่อกับแม่ของเจ้าเอาเงินมาชดใช้ให้ข้าสิบตำลึงเงิน แล้วเรื่องนี้ถือว่าจบกันแต่โดยดี !”

“พวกท่านไปแจ้งทางการเถอะ หากทางการตัดสินว่าข้าผิด ข้าจะยอมติดคุกแต่โดยดี !” สวีฮุ่ยไม่กลัวคำขู่ของบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากทางการตัดสินว่านางมีความผิด นางก็จะได้คิดว่าข้าราชการและขุนนางในหยาเหมินรับสินบน ไม่มีความชอบธรรม แต่ถึงอย่างไรนางก็มีมิติหยวนเว่ยอยู่ หากนางคิดอยากซ่อนตัว คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะจับตัวนางได้

โลกเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และยังมีคนที่ไม่กลัวการติดคุกอยู่ด้วย ด้วยความโกรธเกรี้ยว สวีจื้อเกาจึงถลกแขนเสื้อขึ้นเตรียมตีเด็กทั้งสอง สวีเจี้ยนหลินเห็นแบบนั้นก็เดินเข้าไปผลักเขาออก “ท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับคิดจะทำร้ายเด็ก หน้าไม่อาย !”

“เจ้าเห็นว่าข้าตีนางหรือ? ข้าแค่อยากอธิบายให้นางฟังว่าการติดคุกมันคืออะไร พวกเจ้าเคยเห็นอาหารที่นักโทษกินหรือไม่ มันไม่เพียงแต่เย็นชืดเท่านั้น แต่ยังสกปรกอีกด้วย แถมในคุกยังเต็มไปด้วยหนูและแมลงสกปรกอีกมากมาย ไหนจะนักโทษน่ากลัวอีก……” ถึงแม้ว่าสวีจื้อเกาจะไม่เคยเข้าคุกมาก่อน แต่เขาก็เคยได้ยินพวกเจ้าหน้าที่หยาอี้เล่าให้ลูกค้าในหอน้ำชาฟังอยู่บ่อย ๆ ประกอบกับเขาคิดเชื่อมโยงไปเอง จึงได้จินตนาการภาพความน่ากลัวของคุกออกมาข่มขวัญสวีฮุ่ย

สวีฮุ่ยฟังสวีจื้อเกาพูดน้ำลายแตกฟองอยู่นาน ก่อนจะหันกลับไปถามสวีเจี้ยนหลินอย่างเป็นจริงเป็นจัง “พี่รอง เราเคยมีญาติติดคุกมาก่อนหรือ เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดเคยบอกข้าเลย !”

เคยมีญาติติดคุกมาก่อน ? สวีจื้อเกาครุ่นคิดคำของหลานสาวอยู่นาน แต่พอเขาเข้าใจที่นางสื่อ เขาก็เต้นพล่านด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่เคยติดคุก !”

“ท่านอาไม่เคยติดคุกมาก่อน ? แล้วเหตุใดท่านถึงได้บรรยายเรื่องราวของการติดคุกได้ละเอียดเช่นนี้ ?” สวีฮุ่ยจ้องสวีจื้อเกา เขาผู้นี้ทั้งเจ้าอารมณ์และมีไอคิวต่ำขนาดนี้ ยังจะมาขู่เอาเงินค่าชดใช้จากผู้อื่น ดูท่าว่าหากเขามีเงินในกระเป๋า สวีฮุ่ยคงหลอกเอาเงินของเขาออกมาได้ทั้งหมด

“ข้าได้ยินมา ข้าได้ยินมาเข้าใจหรือไม่ !”

“คำเล่าลือเชื่อถือไม่ได้ !” สวีฮุ่ยหันไปพูดกับสวีจื้อเกา

ตัวเองเป็นผู้ใหญ่อายุขนาดนี้ แต่กลับต้องมาถูกเด็กน้อยคนหนึ่งว่าสั่งสอน ด้วยความโกรธเกรี้ยว สวีจื้อเกาสั่งให้หลานชายไปตามพ่อแม่กลับมา วันนี้หากเขาไม่ได้เงิน เขาก็จะไม่กลับ

“ข้าจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน !” สวีฮุ่ยตั้งท่าจะวิ่งออกไป นางไม่รู้หรอกว่าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ที่ใด นางแค่พูดขู่สวีจื้อเกาไปอย่างนั้น

“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ !” สวีจื้อเกาคว้าคอเสื้อของหลานสาวไว้ สวีเจี้ยนหลินเห็นว่าน้องสาวอยู่ในมือของอาสาม จึงกอดขาของเขาไว้แน่น ในขณะที่เท้าเล็ก ๆ กระโดดขึ้นพยายามช่วยน้องสาว เมื่อเห็นว่าสวีจื้อเกาไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยน้องของตน เขาก็กัดแขนของอีกฝ่ายอย่างแรง

“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ามันเป็นหมารึ !”

เดี๋ยวนี้รู้จักกัดคนอื่นแล้ว สวีจื้อเกายืดแขนตรง พยายามจะสลัดหมาบ้าตัวนี้ทิ้ง

“จื้อเกา หยุดเดี๋ยวนี้นะ !”

เพลานี้เอง ได้มีบุรุษอีกคนเดินจ้ำเท้าเข้ามาในลานบ้าน เขาโน้มตัวมาคว้าสวีฮุ่ยไปอุ้ม ในขณะที่แขนอีกข้างยื่นไปดึงตัวสวีเจี้ยนหลินลงมา

“พี่ใหญ่ ? ท่านมาที่นี่ได้เยี่ยงไร !” สวีจื้อเกากลัวพี่ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาที่สุดแล้ว

“เจ้านี่นะ กล้าลงมือแม้กระทั่งกับหลานสาวหลานชายตนเอง เจ้ามันไม่รู้จักควบคุมตัวเองเอาเสียเลย !”

สวีเจี้ยนหลินผละตัวออกมาจากแขนของสวีจื้อเกาแล้ว ก็ยังไม่ลืมกระทืบเท้าเขาระบายอารมณ์ “เจ้าคนเลว ปล่อยน้องสาวของข้านะ !”

วินาทีที่สวีจื้อเกาคลายมือ สวีฮุ่ยได้ทรุดตัวลงในอ้อมแขนของผู้มาเยือนทันที จ้าวยวี่จือผู้นั้นชอบมีมารยาตอนอยู่กับครอบครัวของนางไม่ใช่หรือ ? ตอนนี้นางจะเอาคืนด้วยวิธีเดียวกัน

“ฮุ่ยฮุ่ย !” สวีจื้อเจี๋ยอุ้มหนูน้อยเอาไว้พลางเรียกเธออยู่หลายครั้ง

“พวกท่านมันคนชั่ว ไม่กี่วันก่อนอาหญิงผลักน้องสาวของข้าจนหัวนางกระแทกบ่อน้ำ เลือดไหลออกมามากโข เพลานี้หัวของนางยังไม่หายดีเลย !

เมื่อวานย่าใหญ่และอาหญิงยังอาศัยช่วงที่ไม่มีคนอยู่บุกเข้ามา หากฮุ่ยฮุ่ยไม่ได้ซ่อนตัวอยู่หลังบ้าน ไม่รู้ว่านางจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว !

พวกท่านยังกล้ามาทวงค่าชดใช้ถึงบ้านพวกข้าอีก ตอนนี้ข้าจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้านและพ่อแม่ของข้า ถ้าวันนี้น้องสาวของข้าไม่ฟื้น พวกท่านก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่เลย ! “สวีเจี้ยนหลินเข้าไปจับมือน้องสาวพลางเรียกนาง”ฮุ่ยฮุ่ย” อยู่หลายหน เมื่อเห็นว่านางยังไม่ฟื้น เขาก็เตรียมจะวิ่งออกไป

สวีฮุ่ยแอบบีบมือเขาเบา ๆ เพื่อบอกเป็นนัยว่า อย่าพึ่งไป ดูท่าทีของสองคนนี้ก่อน

เอ๊ะ ? เมื่อครู่น้องเล็กบีบมือข้า หรือว่านางแสร้งทำ ?

สวีเจี้ยนหลินกำลังลังเลว่าจะไปบอกคนอื่นดีหรือไม่ สวีจื้อเจี๋ยไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายเป็นที่รู้กันไปทั่ว ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานเป็นเสมียนอยู่ในหยาเหมิน แต่ก็นับได้ว่าเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน เขาไม่อยากให้เรื่องไม่ดีในครอบครัวต้องแพร่งพรายออกไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด