ตอนที่ 8 : อยากเป็นผู้หญิงนั้นไม่ยาก
ตอนที่ 8 : อยากเป็นผู้หญิงนั้นไม่ยาก
เพลานี้นางไม่เจ็บศีรษะแล้ว สวีฮุ่ยจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องครัว นางหุงข้าว ทำสลัดผลไม้ ผัดผักและซุปแตง
สวีฮุ่ยกินข้าวพลางคิดไปด้วยว่าหากกินแต่ผักแบบนี้ไปตลอด นางจะกลายเป็นกระต่ายเข้าสักวัน ? !
เฮ่อจิ่นปีนลงมาจากบ่าของสวีฮุ่ย แล้วเอาตัวเองไปแช่อยู่ในถ้วยน้ำซุป รสชาติน้ำซุปถ้วยนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเจ้าหนูน้อยผู้นี้จะตัวเล็กนิดเดียว แต่กลับมีฝีมือทำอาหารที่ไม่ธรรมดา เวลาทำอาหาร นางไม่ได้พึ่งพาเครื่องปรุงรสมากเกินไป อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบนั้น ๆ ซึ่งตรงกับความต้องการของเฮ่อจิ่นพอดี
หลังจากที่กินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญใจแล้ว สวีฮุ่ยก็ต้องตกตะลึงหลังเดินออกจากห้องครัว เพราะตอนนี้ ถั่วลิสงที่นางเพิ่งปลูกไปเมื่อครู่นี้กลับงอกจนต้นสูงราวหนึ่งจั้งแล้ว ราวกับว่ามันพร้อมจะออกผลในเร็ว ๆ นี้
แม่เจ้า……มันจะโตเร็วเกินไปแล้ว !
“มิตินี้ไม่เลวเลย !” เฮ่อจิ่นที่นอนแช่ตัวอยู่ในน้ำซุปดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาก
“ไม่ใช่แค่ไม่เลวเท่านั้น แต่มันสุดยอดมากเลย ถ้าดูจากความเร็วนี้แล้ว พรุ่งนี้น่าจะเก็บเกี่ยวถั่วลิสงได้แล้วกระมัง ! แล้วข้าสามารถนำถั่วลิสงเหล่านี้ออกไปจากมิติได้ไหม ?”
หากนำไปขายก็ถือเป็นรายได้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยนางจะได้มีเงินมาซื้อวัตถุดิบปรุงอาหารดี ๆ ให้ตระกูลได้กิน !
“ได้สิ ขอเพียงแค่เจ้าสามารถอธิบายกับคนในตระกูลได้อย่างชัดเจนย่อมได้ทั้งนั้น ที่นี่เป็นยุคโบราณ หากเรื่องของมิติถูกแพร่งพรายออกไป มีหวังเจ้าได้ถูกจับเผาทั้งเป็นแน่นอน” เฮ่อจิ่นขู่ให้สวีฮุ่ยกลัว
นี่คิดว่าข้าเป็นเด็ก 6 ขวบจริง ๆ หรือ ? แต่ที่เฮ่อจิ่นพูดมาก็ถูก นางไม่สามารถเปิดเผยเรื่องมิติได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ตอนที่นางยังไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองได้ นางจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เพลาเช้า สวีฮุ่ยตื่นนอนแล้วก็ลูบแผลบนศีรษะก่อนเป็นอันดับแรก เพลานี้บาดแผลของนางไม่เพียงแต่สมานกันดีแล้วเท่านั้น แต่ยังมีแผลที่เริ่มตกสะเก็ดแล้วด้วย
จะให้บาดแผลหายเร็วเกินไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้ตระกูลรู้ว่าบาดแผลของนางดีขึ้นแล้ว สวีฮุ่ยจึงหาผ้าสะอาดมาพันศีรษะไว้ 2 รอบ หลังจากที่นางแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็อยากไปช่วยงานที่ห้องครัว แต่พอเดินออกมาจากห้องนอนถึงรู้ว่าตนเองเป็นคนที่ตื่นสายที่สุด
ลานบ้านถูกกวาดไว้สะอาดแล้ว และปล่องไฟในครัวก็มีควันลอยล่องออกมาแล้วเช่นกัน สองพี่น้องสวีเจี้ยนเหวิน สวีเจี้ยนหลินแบกกิ่งไม้ไว้บนบ่า ฟืนเหล่านี้เพียงพอที่จะใช้ทำอาหารเช้าแล้ว พ่อกับแม่จะเป็นคนไปเก็บฟืนหลังกลับจากทำไร่ทำนาในตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายสองพี่น้องจะขึ้นเขาไปเก็บฟืนมาอีกบางส่วน เผื่อต้องใช้เวลาที่มีฝนตกหรืออากาศเย็นลงอย่างกะทันหัน
กองฟืนของตระกูลสวีมีฟืนที่มีความยาวเท่ากันหลายแถวซ้อนกันอยู่ในเพิงฟืน จากสิ่งนี้ สามารถมองออกได้ว่าตระกูลสวีเป็นคนที่ขยันขันแข็ง ทำให้สวีฮุ่ยมีความมั่นใจในอนาคตของตนเองยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง สวัสดียามเช้า !” สวีฮุ่ยยืนทักทายทุกคนที่หน้าประตู
“ฮุ่ยฮุ่ย เหตุใดถึงตื่นแล้วเล่า ฟ้าเพิ่งจะสว่างเอง เจ้าไปนอนต่อเถอะ ! ย่าผัดไข่ไก่ 2 ฟองกับแป้งไว้ให้เจ้า รอให้พวกเขาไปแล้ว ย่าจะยกออกมาให้เจ้ากิน !”
สวีเจี้ยนหลินวางฟืนในมือลง “ท่านแม่ เหตุใดตอนแรกท่านถึงไม่คลอดข้าออกมาเป็นสตรีบ้างเล่า ! ข้าล่ะอิจฉาน้องเล็กจริง ๆ”
นางทั้งได้นอนตื่นสายจนกว่าจะตื่นเอง ที่บ้านมีของอร่อยอะไรก็จะให้นางกินก่อน เมื่อไหร่กันหนอที่ข้าจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้บ้าง !
“เจ้าอยากเป็นเด็กผู้หญิงหรือ ? เช่นนั้นข้าจะไปเอามีดมาหั่นไก่น้อยของเจ้าทิ้ง จากนั้นก็จะถักเปียให้เจ้าทั้งสองข้าง จริงสิ ในกล่องผ้าของย่ายังมีชุดกระโปรงอยู่หลายชุด ถึงแม้มันจะเก็บมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ขาด เดี๋ยวข้าจะเอาออกมาให้เจ้าเปลี่ยนก่อนเลยดีไหม !” เติ้งอาเหลียนทำทีจะเข้าไปหามีดหั่นผักในครัว
“ท่านย่า ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่พูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีกแล้ว !” สวีเจี้ยนหลินรีบเอามือกุมเป้ากางเกงของตนเอาไว้ เขาไม่อยากถูกหั่นไก่น้อย ไม่อยากถักเปียและก็ไม่อยากสวมกระโปรงอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ว่าการเป็นเด็กผู้ชายจะทำให้เขาลำบากไปบ้าง แต่เขาก็สามารถวิ่งเล่นได้อย่างสนุกสนาน ขึ้นเขาลงน้ำโดยไม่มีใครสนใจ ดีกว่าเด็กผู้หญิงตั้งเยอะ
สวีเจี้ยนเหวินมองดูไปได้สักพัก ก็หัวเราะเยาะน้องชายของตน “ต่อให้เจ้าเปลี่ยนเป็นเด็กผู้หญิงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าหน้าตาไม่ดี ปากก็ยังไม่ดีอีกด้วย หากเปลี่ยนเป็นเด็กผู้หญิงก็คงจะเป็นเด็กผู้หญิงที่น่าโดนรองเท้าฟาดที่สุดในบ้าน” เติ้งอาเหลียนชอบเอารองเท้าฟาดหลานชายที่สุด เมื่อได้ยินหลานชายคนโตพูดมาแบบนี้ นางจึงไม่ได้โกรธอะไร
“รองเท้าของข้าเตรียมไว้ตีเสี่ยวหลินจื่อเท่านั้นแหละ” เด็กอีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งเป็นหลานที่เชื่อฟัง อีกคนเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ นางจึงทำใจตีไม่ได้
“หากเขาเป็นสตรี พวกเราก็จะขายเขาแลกเงินมาซื้อสินสมรสให้แก่ฮุ่ยฮุ่ย !” โจวเสี่ยวเหมยไม่ลืมที่จะผสมโรงร่วมแกล้งลูกของตน
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าตัวเองโดนเก็บมาเลี้ยงเลยล่ะ !” สวีเจี้ยนหลินทำเป็นถอนหายใจ เขาไม่เคยได้รับการปรนนิบัติเหมือนที่คนเป็นลูกชายหลานชายของบ้านอื่นควรจะได้ แต่กลับได้รับการปฏิบัติราวกับลูกสาวของบ้านอื่นแทน
สวีฮุ่ยเข้าไปในห้องครัว นางตักน้ำใส่ขันและเทน้ำแร่จากในมิติผสมลงไป จากนั้นนำมายื่นให้ผู้เป็นย่า “ท่านย่า ดื่มสิ !”
หลังจากดื่มน้ำไปอึกใหญ่ เติ้งอาเหลียนก็กล่าวอย่างชื่นใจ “น้ำที่หลานสาวข้ายกมาให้ช่างหวานจับใจเหลือเกิน !”
ขันน้ำถูกส่งให้คนในตระกูลได้วนดื่ม สวีเจี้ยนหลินเป็นคนสุดท้าย เขาจึงยกขันขึ้นดื่มน้ำที่เหลือจนหมด
“หวานเหลือเกิน ขนาดข้ายังอดใจไม่ไหวต้องดื่มน้ำที่เหลือจนหมด ลืมเหลือให้น้องเล็กเลย” สวีเจี้ยนหลินกล่าวอย่างเขินอาย
“ข้าไม่ดื่มหรอก พี่รองดื่มเถิด !” สวีฮุ่ยช่วยเติ้งอาเหลียนจัดชามอาหาร นางกำลังตั้งหน้าตั้งตารอให้พี่รองอยู่บ้านดูแลนาง จะได้อ้อนขอให้พี่รองพาออกไปเที่ยวเล่น !
เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยไม่เชื่อมั่นในตัวสวีเจี้ยนหลินแล้ว จึงให้เขาตามไปเก็บก้อนหินที่กลางนา
รอจนกระทั่งสวีจื้อหย่งและโจวเสี่ยวเหมยเก็บของเสร็จแล้ว ในขณะที่กำลังจะออกไปทำงาน เติ้งอาเหลียนก็ตบขาตัวเองหลายฉาด “ข้าเกือบลืมไปเลย วันนี้คงต้องให้เสี่ยวหลินจื่ออยู่บ้านดูแลฮุ่ยฮุ่ยแล้วล่ะ เมื่อวานข้าบอกหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะนำไข่ไก่ไปแลกกับพวกเขา อีกไม่กี่วันก็ต้องฟักลูกไก่แล้ว บ้านของเราไม่มีพ่อไก่ ไข่ที่แม่ไก่พวกนี้ออกไข่มาไม่เหมาะที่จะนำมาฟักลูก”
เมื่ออากาศในชนบทเริ่มอบอุ่นขึ้น หลายคนจะเลือกแม่ไก่ที่เหมาะสมมาฟักไข่ เพราะถึงอย่างไรก็ถูกกว่าไปซื้อลูกไก่ที่ตลาด
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องไปบ้านตระกูลหลี่หรอก ข้าคิดว่าเราเก็บก้อนหินมาอีกสักสองวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว พอถึงตอนนั้นข้าจะกลับบ้านแม่ไปเอาไข่ไก่มาให้ ที่บ้านแม่ของข้ามีไก่ตัวผู้เยอะ !” ตระกูลโจวนับได้ว่าเป็นตระกูลร่ำรวยในหมู่บ้านหยุนเซี๋ย มิเช่นนั้นคงไม่อาจเลี้ยงดูลูกหลานจนได้บัณฑิตซิ่วไฉเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน
เติ้งอาเหลียนไม่ยอม เพราะหลายปีมานี้ ตระกูลของนางอาศัยบารมีตระกูลโจวมาไม่น้อย จะขอความช่วยเหลือคนอื่นฝ่ายเดียวไม่ได้ เติ้งอาเหลียนเป็นสตรีที่มีจิตใจแข็งแกร่ง นางไม่อยากเอาเปรียบผู้อื่น
“ข้าจะไปดูที่บ้านตระกูลหลี่ก่อน หากเหมาะสมกัน เราค่อยแลก หากไม่ได้ค่อยว่ากันใหม่ พวกเจ้าสองคนรีบไปเถิด อย่ารอให้ตะวันตรงศีรษะแล้วถึงกลับมา ตอนนี้เราไม่ได้ขัดสนขนาดนั้น ไม่ต้องละโหมงานหนัก !” เติ้งอาเหลียนให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของตนรีบไปรีบกลับ
ก่อนออกจากบ้าน โจวเสี่ยวเหมยดึงหูลูกชายแล้วกล่าวว่า “หากวันนี้เจ้ากล้าวิ่งออกไปเล่นนอกบ้านเพียงลำพัง ต่อไปก็ไม่ต้องกลับบ้านอีก ข้าจะให้เจ้านอนในแม่น้ำนั่นแหละ !”
“ข้าสัญญาว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนแน่นอน ท่านพ่อ หลังจากที่ท่านทำไร่เสร็จแล้ว เราไปตกปลากันเถอะ !” สวีเจี้ยนหลินถูหูของตนเองแรง ๆ ท่านแม่ชอบมาดึงใบหูเขาทุกครั้ง หากดึงแบบนี้ไปอีกสักสองปี มีหวังใบหูของเขาได้ใหญ่ข้างเล็กข้างเป็นแน่ !
สวีจื้อหย่งนับวันดู กว่าจะไปตลาดอีกครั้งคงอีกห้าวัน ภายหลังรอให้ดินแห้งดี ไปตกปลาที่แม่น้ำน่าจะดีไม่น้อย
“ถ้าเจ้าเชื่อฟัง พ่อจะพาไป !” สวีจื้อหย่งหันไปเห็นว่าลูกสาวส่งสายตาอิจฉามาหาเขาสองคนพ่อลูก เขาจึงถามนาง “เจ้าอยากไปดูพ่อตกปลาหรือไม่ ?”
สวีฮุ่ยพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวเปลือก นางไม่เพียงแค่อยากไปตกปลาเท่านั้น แต่ยังอยากไปจ่ายตลาดอีกด้วย ! เพียงแต่นางไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ นางถึงจะสมหวัง