ตอนที่ 7 : ภูตมิติ
ตอนที่ 7 : ภูตมิติ
หลังจากที่ตระกูลของนางกลับมาจากทำไร่ทำนา เมื่อรู้ว่าอาหารมื้อนี้เป็นฝีมือของสวีฮุ่ย พวกเขาจึงกล่าวชื่นชมนางไม่ขาดปาก แต่หลังจากกล่าวชมแล้ว พวกเขาก็โน้มน้าวให้นางล้มเลิกความคิดทำครัว เพราะคิดว่าหากลูกของตนต้องทำอาหารตั้งแต่อายุหกขวบ ในใจของพวกเขาคงเจ็บปวดรวดร้าว
“น้องเล็กทำอาหารรสชาติดีกว่าท่านแม่และท่านย่าอีก !” สวีเจี้ยนหลินที่กินข้าวฟ่างต้มเป็นชามที่สองพูดไปด้วยพลางกินไปด้วย
เติ้งอาเหลียนตีเขาไปหนึ่งที ในขณะที่โจวเสี่ยวเหมยดึงใบหูของเขา สวีเจี้ยนเหวินเห็นว่าน้องชายโดยแม่ดึงใบหูจนร้องโอ๊ย เขาจึงขอเข้าไปผสมโรงด้วย ทำให้สวีจื้อหย่งไม่มีที่ให้ลงมือ เขาจึงชักมือกลับและกล่าวตำหนิลูกชาย “มีอาหารให้กินก็ดีเท่าไหร่แล้ว ! ยังจะเลือกกินอีก คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายที่จะเลือกกินนู่นนี่ตามใจตนเองได้อย่างนั้นหรือ !”
สวีฮุ่ยรีบช่วยพี่รองของตน เพราะผู้ใหญ่ไม่ควรตีเด็กที่กำลังกินข้าวอยู่ ถ้าเกิดข้าวติดหลอดลมหรือตีมือหนักไป จะทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บได้ง่าย
“ท่านพ่อท่านแม่ทำงานมาเหนื่อยมากแล้ว พี่ใหญ่กับท่านย่าก็ลำบากมามากเช่นกัน พวกเรากินข้าวกันเถอะ !” สวีฮุ่ยไม่ลืมที่จะคีบอาหารแบ่งให้ทุกคน
สวีเจี้ยนหลินชี้ที่จมูกตนเอง เมื่อครู่คนที่โดนตีคือเขา ทำไมน้องสาวถึงไม่ปลอบเขาบ้างล่ะ !
“เจ้าจะกินไหม ถ้าไม่กินก็เอาหญ้าไปป้อนแม่วัวนู่น !” เติ้งอาเหลียนใช้ตะเกียบเคาะชามของเด็กน้อย เจ้าหลานชายคนนี้ชอบแกล้งน้องสาวตัวเอง แล้วอย่างนี้อย่ามาโทษที่นางตีหลานชายแล้วกัน ? ต้องโทษที่เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง
เฮ้อ ! บ้านอื่นเขามีแต่รักลูกชาย มองข้ามลูกสาว แต่ตระกูลของเขากลับตรงข้ามกับบ้านอื่น บางครั้งสวีเจี้ยนหลินถึงขั้นคิดกับตนเองว่าถ้าเกิดมาเป็นสตรีคงดีกว่านี้ !
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เติ้งอาเหลียนได้พูดคุยกับหลานสาว เพราะอยากให้หลานย้ายไปนอนที่ห้องของนาง แม้ว่าหนูน้อยจะดูเป็นเด็กมีอัธยาศัยดี แต่ความจริงหนูน้อยเป็นเด็กที่ดื้อมาก ตั้งแต่ที่นางและลูกสะใภ้ตั้งใจจัดห้องให้หลานสาวคนนี้ได้นอนคนเดียว หลานสาวก็ปฏิเสธที่จะนอนร่วมกับผู้อื่นมาโดยตลอด ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก นางก็คงไม่จัดห้องให้หลานสาวหรอก
ทว่าในคืนนี้ สวีฮุ่ยยังอยากเข้าไปทดลองปลูกเมล็ดถั่วในมิติ ถั่วลิสงที่ตระกูลชุยตักมาให้สองกระบวย นอกจากที่นางเก็บไว้ในมิติบางส่วนแล้ว ที่เหลือก็ถูกนำไปต้มกินกับข้าวฟ่างจนหมด ส่วนเศษผิวของถั่วที่เหลืออยู่ในชามก็ถูกพี่รองของนางเก็บกวาดจนเกลี้ยง โดยที่ท่านพ่อท่านแม่และท่านย่าแทบจะไม่ได้กินเลย
“ท่านย่า ศีรษะของข้าหายปวดแล้ว ตอนนี้ข้าชินกับการนอนคนเดียว ถ้าหากนอนกับผู้อื่นจะนอนไม่หลับเอา !” สวีฮุ่ยทำได้เพียงแค่หาข้ออ้างมาก่อน
โจวเสี่ยวเหมยที่กำลังอยากจะชวนลูกสาวไปนอนด้วยกันได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเสียดาย นางไม่ได้นอนกอดลูกสาวมานานแล้ว ช่างคิดถึงความรู้สึกที่ได้นอนกอดลูกสาวไว้ข้างกายสมัยที่นางเป็นเด็ก ส่วนลูกชายทั้งสองของนางนั้น……นางลืมความรู้สึกที่ได้นอนกอดลูกชายไปนานแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าที่สวีฮุ่ยจะโน้มน้าวผู้เป็นย่าได้สำเร็จ หลังจากที่นางเข้ามาในห้องของตนเอง ก็รีบปิดประตูแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง
หลังจากเข้าไปในมิติแล้ว นางได้หาพลั่วอันเล็กเจอในครัว แล้วมาขุดหลุมปลูกถั่วลิสงไว้ที่ด้านล่างของบ่อน้ำแร่ สวีฮุ่ยตักน้ำขึ้นมาครึ่งถังเล็ก จากนั้นก็รดไปบนพื้นอย่างระมัดระวัง
น้ำแร่นี้ดูใสมาก น้ำในบ่อน่าจะดีต่อร่างกายมนุษย์ หลังจากที่นางดื่มไปสองสามครั้ง นางรู้สึกว่าร่างกายของตนเองสดชื่นขึ้นมาก มันเป็นความรู้สึกที่สบายไปทั้งตัว
นางตักน้ำแร่ขึ้นมาดื่ม มันทั้งเย็นสบายและมีกลิ่นหอมจาง ๆ
“หวานจังเลย !” สวีฮุ่ยดื่มไปหลายอึกแล้วพูดกับตัวเอง
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว น้ำแร่นี้กลั่นมาจากน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่รู้ว่ามันอยู่มานานกี่ปีแล้ว มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากเชียวนะ !”
เสียงของใครกัน ? ในมิติมีคนอื่นด้วยหรือ ? สวีฮุ่ยลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองหาไปทั่วทิศ แต่ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน
“ข้าอยู่ตรงนี้ !” มีกิ่งไม้สีน้ำตาลร่วงลงมาจากต้นไม้แฝดต้นนั้น แล้วกระโดดขึ้นมาบนมือของสวีฮุ่ย มีใบไม้สองใบคอยรองรับให้เจ้ากิ่งไม้กิ่งนั้นขึ้นมายืนบนมือขาวเนียนนุ่มของนาง นอกจากนี้มันยังมีใบไม้สองใบที่เป็นเหมือนมือขนาดเล็กของมันงอกมาจากตรงกลางของกิ่งไม้
สวีฮุ่ยจ้องมองมันตาไม่กระพริบ ที่จริงตัวนางเองก็ถือว่าเป็นผู้ที่ผ่านโลกมามาก แต่นางยังไม่เคยเจอกิ่งไม้พูดได้มาก่อน แถมดูท่าทีที่หยิ่งยโสของมัน เจ้ากิ่งไม้นี้เป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่ ?
“เจ้าต่างหากที่เป็นตัวประหลาด ตระกูลของเจ้าเป็นตัวประหลาดทั้งหมดนั่นแหละ ข้าคือภูติที่คอยปกป้องมิติแห่งนี้ เจ้ารู้จักไหมว่าภูติคืออะไร ? หากเจ้ามีข้อสงสัยหรือต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับมิติแห่งนี้ เจ้าสามารถถามข้าได้ จากนี้ข้ายังสามารถช่วยเจ้าเก็บผัก เก็บเครื่องเทศ รวบรวมน้ำแร่……เป็นไง ข้าทำได้หมดทุกอย่างเลยใช่ไหมล่ะ !” กิ่งไม้สีน้ำตาลตบหน้าอกของตน สรรเสริญว่าตนเองเป็นภูติประจำที่แห่งนี้ !
“ไอ้หยา เจ้าเก่งเหลือเกิน งั้นเจ้าช่วยข้านำสิ่งมีชีวิตจากบ้านของข้าเข้ามาในมิติได้ไหม อย่างเช่นหมู วัว ปลา กุ้ง อะไรพวกนี้น่ะ ?”
เมื่อก่อนนางไม่เคยรู้สึกว่าของเหล่านี้จะพิเศษถึงเพียงนี้ แต่หลังจากที่ได้กินอาหารในตระกูลสวี สวีฮุ่ยรู้สึกคิดถึงสิ่งเหล่านี้เหลือเกิน
“เจ้า……”
จะเอ่ยเยี่ยงไรดีเล่า ? เพราะสิ่งที่นางเอ่ยมาไม่ใช่หน้าที่ของเขา แม้ว่าเจ้าตัวเล็กนี้จะดูเฉลียวฉลาดเก่งไปเสียทุกเรื่อง แต่มันก็เกินความสามารถของเขา
“ทำไมหรือ ?”
“ในมิติมีภูติสองตน เรื่องนี้เจ้าคงรู้ใช่ไหม !” กิ่งไม้สีน้ำตาลพูด
“รู้สิ !”
“ข้ารับผิดชอบแค่เรื่องดูแลสิ่งของในมิติ ที่เจ้าเพิ่งพูดมาเมื่อครู่นี้คงต้องไปหาเสี่ยวลวี่แล้วล่ะ”
“เสี่ยวลวี่อยู่ที่ใดเล่า ?”
“เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดข้าถึงปรากฏตัวออกมาได้ ? นั่นเป็นเพราะตอนที่เจ้าทำอาหารให้ตระกูลกินเป็นครั้งแรก เจ้าไม่ได้อาศัยพลังของมิติ มิติจึงให้รางวัลแก่เจ้า ส่วนเรื่องที่ว่าเสี่ยวลวี่จะปรากฏตัวออกมาเมื่อใดนั้น คงต้องดูที่โชคชะตาของเจ้าแล้วล่ะ !”
โชคดีเหลือเกิน ! ที่จริงตอนทำอาหารในวันนี้ นางเองก็อยากเอาวัตถุดิบออกมาจากในมิติเหมือนกัน แต่นางไม่รู้ว่าจะนำมันออกมาได้เยี่ยงไรถึงได้ตัดใจล้มเลิกความคิดนี้ เพียงแต่นางคาดไม่ถึงเลยว่ามิติจะให้รางวัลแก่นางเป็นภูติตัวหนึ่งเพราะเหตุผลนี้ ถือว่านางโชคดีไม่น้อย
“เจ้าชื่อเสี่ยวเฮ่อใช่หรือไม่ ?”
“ข้าชื่อเฮ่อจิ่น ไม่ใช่เสี่ยวเฮ่อ !” เฮ่อจิ่นเป็นภูติที่มีนิสัยดื้อรั้น ชื่อของมันมีความพิเศษขนาดนี้ แต่เหตุใดพอเจ้าเด็กน้อยผู้นี้เรียกกลับกลายเป็นเสี่ยวเฮ่อไปเสียได้ น่าโกรธชะมัด !
ที่จริงเสี่ยวลวี่ก็มีชื่อเป็นของตนเองเช่นเดียวกัน มันชื่อว่าลวี่อู๋ แต่เป็นเพราะความสามารถของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่า ดังนั้นมันจึงตื่นขึ้นมาช้ากว่าเฮ่อจิ่น และผู้ที่ได้ครอบครองมิติจะสามารถปลุกมันขึ้นมาได้หรือไม่นั้น คงต้องดูที่โชคชะตาระหว่างเจ้าหนูน้อยกับมันแล้ว
ไม่อยากให้เรียกก็ไม่เรียกก็ได้ ทำไมต้องโกรธด้วย ! สวีฮุ่ยอยากส่งเฮ่อจิ่นกลับไปบนต้นไม้ คุณภาพอาหารของตระกูลสวีแย่มาก สำหรับคนอย่างนางที่เข้มงวดเรื่องอาหาร นางไม่มีความอยากต่ออาหารเหล่านั้นเลย
อีกทั้งตอนนี้นางบาดเจ็บ ต้องบำรุงร่างกาย ไม่อย่างนั้นอาการบาดเจ็บบนศีรษะของนางจะหายเมื่อไหร่ !
“เจ้ามีบาดแผลนี่นา !” เฮ่อจิ่นปีนขึ้นไปบนไหล่ของสวีฮุ่ย หากมองจากระยะไกลคงนึกว่าบนเสื้อผ้าของนางมีลายปัก !
“เจ้ามีวิชาอ่านใจหรือ ?”
ไม่อย่างนั้นเวลาที่นางคิดอะไร เจ้าตัวเล็กจะรู้ทุกอย่างได้เยี่ยงไร ?
“ชิ ตอนนี้พวกเรามีพันธสัญญาภูติรับใช้ แปลกตรงไหนที่ข้าสามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ นอกจากนี้พวกเรายังสามารถสื่อสารกันผ่านจิตได้อีกด้วย ขอเพียงแค่เจ้าท่องคำพูดที่อยากพูดภายในใจ ข้าก็จะสามารถรับรู้ได้”
แล้วทำไมนางถึงไม่สามารถรับรู้ความคิดของเจ้าตัวเล็กนี้ได้ล่ะ ? แบบนี้มันยุติธรรมหรือ ? ในขณะที่สวีฮุ่ยกำลังจะพูดคุยกับเฮ่อจิ่น เจ้าตัวเล็กนี้ก็ชิงพูดขึ้นมาว่า “รูปร่างของเจ้าดูตัวเล็กและงดงามมาก หากมีรอยแผลเป็นบนศีรษะคงน่าเสียดายยิ่งนัก ดังนั้นข้าจะใจดียอมบอกเจ้าเสียหน่อยแล้วกัน น้ำแร่ที่อยู่ทางด้านนั้นไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูบาดแผลและช่วยสมานรอยแผลให้หายดีอีกด้วย เจ้าอยากลองไหม !”
มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ด้วยหรือ ? สวีฮุ่ยใช้ถ้วยตักน้ำขึ้นมาเล็กน้อย นางเทน้ำแร่ลงบนฝ่ามือแล้วนำไปถูรอบ ๆ บาดแผล ตอนนี้นางรู้สึกว่าบาดแผลไม่ตึงและไม่รู้สึกคันอีกแล้ว ความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่กลับกลายเป็นความรู้สึกเย็นสบายยังบอกไม่ถูก
“เฮ่อจิ่น ขอบใจเจ้ามากนะ !” สวีฮุ่ยตบบ่าตัวเองเบา ๆ หากไม่มีมัน ไม่มีมิติแห่งนี้ บนศีรษะของนางก็คงต้องทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เป็นแน่