ตอนที่ 6 : ผักรวมแลกถั่วลิสง
ตอนที่ 6 : ผักรวมแลกถั่วลิสง
มิง่ายเลยที่นางจะหาวัตถุดิบที่สามารถกินได้ ทว่าเรื่องต่อไปกลับทำให้สวีฮุ่ยหนักใจยิ่งกว่าเดิม เพราะนางจุดไฟมิได้ ! นางได้แต่มองดูฟืนเหล่านั้น แต่มิรู้ว่าจะจุดเยี่ยงไร ?
ขณะที่นางกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น สวีฮุ่ยตั้งใจว่าจะแช่ข้างฟ่างไว้สักพัก ที่บ้านน่าจะมีถั่ว หากนำถั่วมาใส่ในข้าว จะช่วยแก้ปัญหาข้าวที่แข็งเกินไปได้
แต่เป็นเพราะนางตัวเล็กเกินไป ใช้ชามตักข้าวฟ่างขึ้นมามิได้ นางจึงเทน้ำลงไปและตักขึ้นมาสองทัพพี ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับทำอาหารได้หนึ่งมื้อ
หลังจากใช้น้ำเพื่อซาวข้าวเสร็จแล้ว สวีฮุ่ยอยากจะเทน้ำแร่จากในมิติลงไปสักหยด แต่นางก็กลัวว่าหากปรับสมดุลได้มิดี ก็อาจทำให้คนในตระกูลเกิดความสงสัยเอาได้ ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
หลังจากซาวข้าวเสร็จแล้ว นางก็คิดหาวิธีต่อ ดูเหมือนในหนังสือจะเคยเขียนไว้ว่าคนโบราณใช้หินไฟมาจุดไฟประกอบอาหาร สวีฮุ่ยคุ้ยตรงเตาไฟไปสักพักก็เจอก้อนหินขนาดเล็กสองก้อน นางจึงเอาฟืนไปก่อใต้เตา แล้วใช้ก้อนหินสองก้อนมาถูกัน นางถูจนหินสองก้อนนั้นเริ่มมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ แต่ก็ยังมิเกิดประกายไฟเสียที
หลังจากนั่งพักบนตั่งไปได้สักพัก สวีฮุ่ยจึงลองอีกครั้ง ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นประกายไฟที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว
นางต้มน้ำร้อนครึ่งหม้อ แล้วเทข้าวฟ่างและถั่วลงไปในนึ่งในนั้น จากนั้นสวีฮุ่ยได้ทำผักป่าและหัวไชเท้าแห้ง แล้วนำมาผัดพร้อมกับหอมแดงและน้ำมันหมูอีกครึ่งถ้วย นางบดเกลือด้วยไม้นวดแป้งแล้วโรยลงไป
ข้าควรจะนำเครื่องปรุง เมล็ดงาและน้ำมันงาออกมาจากมิติจริง ๆ มิอย่างนั้นอาหารของข้าคงจะรสชาติดีกว่านี้ แต่หากคนในตระกูลถามว่าข้าไปเอาของเหล่านี้มาจากที่ใด แล้วข้าจะอธิบายให้พวกเขาฟังเยี่ยงไร ?
วันนี้ช่างเถอะ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการทำอาหารครั้งแรก แค่ทำให้ตระกูลรู้ว่านางทำอาหารเป็นก็พอแล้ว อีกอย่างขอเพียงรสชาติมิแย่กว่าอาหารของท่านย่าก็พอแล้ว
มีของดีอยู่ในมือ ยังกลัวจะมิได้กินอีกหรือ !
“ไอ้หยา ! บ้านย่าเติ้งไฟไหม้รึ ? เหตุใดถึงได้มีควันออกมาจากปล่องไฟ !” หลานชายคนเล็กของตระกูลชุยเล่นอยู่ที่ลานบ้านเห็นมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟ จึงวิ่งกลับไปบอกเติ้งอาเหลียนว่าบ้านของนางนั้นเกิดไฟไหม้
เติ้งอาเหลียนและหญิงชราตระกูลชุย รวมถึงสะใภ้บ้านตระกูลชุยได้วิ่งกลับไปที่บ้านของเติ้งอาเหลียน เมื่อพวกนางเข้ามาในครัวก็เห็นว่าสวีฮุ่ยกำลังยืนอยู่บนตั่งไม้ และคนหม้อต้มข้าวฟ่างด้วยไม้พายอยู่ !
เพราะหากข้าวติดหม้อขึ้นมาก็จะทำให้หม้อไหม้ หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นคงมิได้กินข้าว
“ไอหยา หลานรักของย่า เหตุใดถึงได้ลุกขึ้นมาทำอาหารเองเล่า รีบลงมาเร็วเข้า !” พวกเติ้งอาเหลียนวิ่งมาตรงหน้าหลานสาวตนเอง แล้วแย่งไม้พายในมือของนางมา ก่อนจะอุ้มหนูน้อยลงมาจากตั่งไม้
“ท่านย่า ข้าต้องคอยคนข้าวนะ มิเช่นนั้นข้าวฟ่างจะติดก้นหม้อเอาได้” และหากหม้อไหม้ เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของนางก็จะสูญเปล่าน่ะสิ
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าทำอาหารจานนี้หรือ ? กลิ่นมันหอมแบบแปลก ๆ” จ้างซุ่ยฟาง สะใภ้ของตระกูลชุยได้ยื่นหน้ามาดมกลิ่นอาหารบนจาน
ปกติเวลาที่ชาวบ้านในชนบทกินผักป่า พวกเขามักจะลวกผักในน้ำร้อนหรือมิก็นำไปย่างไฟและใส่เกลือลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีใครยอมตัดใจนำไปผัดรวมกับหอมแดงแบบนี้ เพราะมิอย่างนั้นจะถูกชาวบ้านด่าว่าล้างผลาญตระกูลเอาได้ !
เติ้งอาเหลียนยื่นหน้าเข้าไปดมเช่นเดียวกัน อาหารจานนั้นมีทั้งกลิ่นน้ำมันหมูและกลิ่นหอมแดง กลิ่นหอมขนาดนี้ หลานสาวของข้าใส่น้ำมันหมูลงไปเท่าใดกันเนี่ย !
หากนี่เป็นเรื่องที่หลานชายทั้งสองคนของนางทำ เติ้งอาเหลียนคงจะถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่เจ้าหลานตัวดีไปแล้ว และหากนี่เป็นฝีมือสะใภ้ของนาง นางก็คงจะตำหนิจนอีกฝ่ายต้องหลบเข้าห้องแน่นอน
แต่พอเป็นฝีมือของหลานสาวสุดรัก นางกลับมิได้โมโหแต่อย่างใด แม้จะรู้สึกปวดใจไปบ้างเพราะเสียดายน้ำมันหมู แต่นางก็มิกล้าบ่นหรือดุด่าหลานสาวสักคำ
“หลานคนนี้ ย่าแค่ไปนอกบ้านมิเท่าไหร่ เจ้าก็วิ่งมาทำอาหารที่ห้องครัวซะแล้ว เจ้าอายุเท่าไรกันเชียว ยังมิถึงวัยทำครัวเสียหน่อย รอให้เจ้าโตกว่านี้แล้วย่าจะให้เจ้าทำครัวเอง” เติ้งอาเหลียนตั้งใจว่าจะรอให้หลานสาวอายุครบ 12 ปี ค่อยสอนนางทำอาหาร เรียนทำครัวสักสองปีค่อยให้นางแต่งงานออกเรือน ตอนนี้นางยังเด็กเกินไป หน้าที่ของนางคือการกิน เล่น นอนหลับ แม้ว่าตระกูลสวีจะให้ความร่ำรวยแก่หลานมิได้ แต่หลานของนางต้องมิน้อยหน้าเด็กบ้านอื่นในด้านต่าง ๆ
แน่นอนว่าหลานที่ว่านี้ก็คือหลานสาวของนางที่มีเพียงคนเดียว ส่วนหลานชายทั้งสองนั้น หากมีความสามารถก็คงสามารถหามาด้วยตนเองได้ แต่หากมิมีความสามารถก็ต้องทำไร่ไถนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอยู่ในชนบท ตระกูลต้องประหยัดเงินไว้เป็นสินเดิมดี ๆ ให้หลานสาว จะได้มิถูกผู้อื่นดูแคลน และหลังจากนั้นนางหวังเพียงว่าหลานสาวจะหาความสุขด้วยตนเองได้
สวีฮุ่ยเห็นว่าตาของย่าชุยเอาแต่จ้องมองผักป่าและหัวไชเท้ามิหยุด นางจึงยื่นมือไปหยิบชามมาจากชั้นวาง แล้วคีบผักสองอย่างนี้แบ่งใส่ชามให้ จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้านาง “ย่าชุย หากท่านมิรังเกียจ ท่านสามารถนำกลับไปชิมที่บ้านได้ !”
“ให้ข้าหรือ ฮุ่ยฮุ่ยมิเพียงแต่เกิดมางดงามเท่านั้น แต่ยังใจกว้างอีกด้วย ขอบคุณเจ้ามากนะ บ้านของข้ามีถั่วลิสงที่บ้านของซุ่ยฟางส่งมาให้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้เจ้าสักสองกระบวย ถั่วนั้นทั้งกรอบทั้งหอม อร่อยมากเชียวล่ะ” ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่ก็ควรใส่ใจเรื่องมารยาทด้วย หากดีแต่รับเข้า มิยอมแบ่งปันออกไปบ้าง นานวันเข้าใครเขาจะมาอยากทำความรู้จัก
เติ้งอาเหลียนเห็นหลานสาวยื่นชามอาหารให้เพื่อนบ้าน ในใจของนางช่างปวดใจจริงๆ จริงอยู่ที่ผักป่าเป็นของที่มีอยู่ทุกบ้าน แต่น้ำมันหมูเปรียบเสมือนของล้ำค่าเชียวนะ ! ปกติบ้านของพวกนางจะตักมาทำอาหารแค่ช้อนเล็กหนึ่งช้อนเท่านั้น แต่วันนี้หลานสาวของนางใส่ลงไปมิน้อย อีกทั้งยังแบ่งให้คนอื่นอย่างง่ายดายอีก เติ้งอาเหลียนอยากจะห้ามก็กลัวหลานสาวมิพอใจ
แต่การใช้ผักรวมครึ่งชามแลกถั่วลิสงมาได้สองกระบวยก็นับว่ามิเสียเปรียบ เพราะถั่วลิสงนั้นเป็นของที่หาได้ยากเช่นกัน มีขายแค่ในเมืองหรือสถานที่ใหญ่ ๆ เท่านั้น อีกทั้งยังมีราคาแพงอีกด้วย จึงยากที่จะพบเห็นได้ในชนบท
สวีฮุ่ยดีใจเช่นเดียวกัน หากนางได้เมล็ดถั่วมา นางจะนำไปปลูกไว้ข้างๆ ต้นไม้ต้นนั้นในมิติ นางหวังว่าถั่วลิสงของนางจะงอกในมิตินั้นได้
ย่าชุยเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น นางมิเพียงแต่นำชามที่ล้างให้แล้วมาคืนเท่านั้น แต่ยังใส่ถั่วลิสงมาถึงชามแล้วให้พ่านตี้ หลานสาวของตนนำมามอบให้หนูน้อย
“ฮุ่ยฮุ่ย พรุ่งนี้ข้ามาเล่นกับเจ้าได้ไหม ?” ชุยพ่านตี้กล่าวถามอย่างเขินอาย
สวีฮุ่ยอยากบอกว่ามิต้อง เพราะนางยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องทำ ทว่าเมื่อเห็นสายตาเป็นประกายของเด็กผู้หญิงคนนี้ นางจึงพยักหน้าตอบรับ “ได้สิ !”
“จริงหรือ ?” แม้ว่าตระกูลสวีจะมิได้ให้คนในตระกูลคอยอยู่เฝ้าข้างกายสวีฮุ่ยทุกวัน แต่ก็มิเคยปล่อยให้นางได้ออกไปเล่นข้างนอกเพียงลำพัง พ่านตี้อยู่บ้านทีไรเป็นต้องได้ทำงานบ้านทุกที นางจะอิจฉาสวีฮุ่ยเพราะตนเองมิได้มีวาสนาดีขนาดนั้น !
“อืม เจ้าทำงานบ้านเสร็จแล้วค่อยมาหาข้านะ !” ทันทีที่สวีฮุ่ยได้ยินชื่อพ่านตี้ นางก็รู้ทันทีว่าบ้านตระกูลชุยให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว และดูจากเสื้อผ้ามอมแมมของนางก็รู้แล้วว่าสาวน้อยผู้นี้ต้องทำงานบ้าน และมิได้รับความสำคัญจากตระกูลเท่าไหร่
ชุยพ่านตี้เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี สวีฮุ่ยจึงกำถั่วลิสงหนึ่งกำมือเข้าไปไว้ในมิติ เพื่อเตรียมทดลองปลูกตอนดึก
ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ สวีฮุ่ยได้เทลงในหม้อที่ยังอุ่น ๆ นางเติมฟืนไปเล็กน้อย หลังจากตั้งหม้อ นางก็เติมเกลือลงไป
ตอนนี้ข้าวฟ่างสุกดีแล้ว เติ้งอาเหลียนจึงตักข้าวออกมา “รอให้พ่อกับแม่ของหลานกลับมาก่อน ย่าจะบอกพวกเขาให้ว่าฮุ่ยฮุ่ยเป็นคนทำอาหารมื้อนี้ พวกเขาต้องดีใจจนยิ้มมิหุบแน่นอน ฮุ่ยฮุ่ย ตอนนี้หลานยังเด็ก รออีกสักสองสามปี เจ้าค่อยทำอาหารเถอะนะ !” เติ้งอาเหลียนอยากให้หลานสาวล้มเลิกความคิดที่จะทำอาหาร
“ท่านย่า ข้าชอบทำอาหารจริง ๆ นะ !” เพียงแต่วัตถุดิบมีน้อยเกินไป ประกอบกับเครื่องปรุงไม่มีคุณภาพ สภาพแวดล้อมในห้องครัวก็มิเอื้ออำนวยเสียเท่าไหร่ ปัญหาเหล่านี้คงต้องค่อยๆ แก้ไขไปทีละขั้น
เติ้งอาเหลียนดีใจที่เห็นหลานสาวแข็งแกร่งกว่าแม่ของนาง โจวเสี่ยวเหมยเป็นสตรีที่ทำงานนอกบ้านเก่งมาก จะให้นางทำไร่ทำนา ลำบากแค่ไหนนางมิเคยบ่น แต่พอให้มาเย็บปักถักร้อย กลับทำมิได้เรื่องสักอย่าง ยิ่งมิต้องพูดถึงการทำอาหารเลย
นางแต่งงานเข้ามานานหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่เรื่องงานบ้านงานเรือนกลับมิพัฒนา หลานสาวชอบทำอาหารขนาดนี้ หากเย็บปักถักร้อยเก่ง อนาคตจะต้องแต่งเข้าบ้านสามีดี ๆ ได้แน่นอน