ตอนที่ 476 มองหาผลไม้ชนิดใหม่
ตอนที่ 476 มองหาผลไม้ชนิดใหม่
กาลเวลาผ่านเลยไปจนเกือบจะเที่ยงแล้ว ซึ่งผางชิงก็ได้ยกของว่างและผลไม้มาเสิร์ฟให้เซี่ยเฟยกับแขกเพื่อรับประทานระหว่างการพักผ่อน จากนั้นเขาจึงได้บอกกับเซี่ยเฟยว่าเออเนสและนิวแมนต้องการจะพูดคุยกับเขาในระหว่างรับประทานอาหารเที่ยง
“พวกเขาคงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้วล่ะ แล้วพวกเขาก็คงจะต้องการคุยกับนายเรื่องแต่งงาน” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องแต่งงานงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะท้ายที่สุดการแต่งงานก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของทุกคน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชายหนุ่มจะรู้สึกประหม่าแต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะถอยหนี เพราะการแต่งงานแสดงออกถึงความรับผิดชอบและเขาก็ไม่ได้คิดที่จะทิ้งแอวริลให้โดดเดี่ยวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
พวกมังกี้พูดคุยหยอกล้อเซี่ยเฟยอย่างสนุกสนาน และมีหลาย ๆ คนต้องการที่จะมอบของขวัญแสดงความยินดีที่เซี่ยเฟยกลับมาอย่างปลอดภัย
คิวเลกซ์ยังคงก้มหน้าลงคล้ายกับว่าเขาเป็นคนขี้อาย ซึ่งในบางครั้งเขาก็แอบเงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยเฟยเป็นครั้งคราว ก่อนที่จะก้มหน้าลงไปราวกับเขาไม่กล้าที่จะสบสายตากับเซี่ยเฟยตรง ๆ
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นาน ซุนซานก็เดินกลับเข้ามาภายในห้องด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามเมื่อได้เห็นท่าทางแปลก ๆ ของซุนซาน
“ผมติดต่อคนที่บ้านไม่ได้ ไม่มีใครรับสายของผมเลยครับ” ซุนซานกล่าวขณะเดินไปนั่งลงบนโซฟา
“พวกเขาออกไปเที่ยวกันหรือเปล่า?” มังกี้ถาม
“ที่บ้านของฉันจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางที่ใครจะทิ้งบ้านไปอย่างแน่นอน” ซุนซานกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะระบบสื่อสารที่ซุนซานใช้คือระบบสื่อสารแบบเก่า แล้วการที่เขาไม่สามารถที่จะติดต่อใครได้มันก็หมายความว่าไม่มีใครอยู่ที่สมาคมหนานหมิงในเวลานี้ และมันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีภายในใจ
‘มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นงั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะกล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ซุนซานนายคงไม่ได้กลับบ้านนานแล้วใช่ไหมล่ะ? เอาแบบนี้ไหมเดี๋ยวฉันจะเดินทางกลับบ้านไปพร้อมกับนายเอง แต่ฉันมีธุระตอนเที่ยงเล็กน้อยพวกเราค่อยออกเดินทางกันก่อนมืดก็แล้วกัน”
“ทางสมาพันธ์เข้มงวดมาก แล้วมันจำเป็นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 วันในการเดินทางจากที่นี่ไปยังสมาคมหนานหมิง ผมเกรงว่า…” ซุนซานกล่าวออกมาอย่างกังวล
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวมังกี้จะจัดการเรื่องวันลาให้นายเอง” แฮมเมอร์กล่าวพร้อมกับตบไหล่มังกี้อย่างภาคภูมิใจ
“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ? นายให้พ่อนายจัดการก็ได้นิ” มังกี้ถามอย่างสงสัย
“นายก็รู้ว่าถ้าเราไปคุยกับพ่อเรื่องนี้แล้วเราจะเจออะไร แต่นายพูดเก่งกว่าฉัน ดังนั้นเรื่องนี้ฝากนายจัดการก็แล้วกัน” แฮมเมอร์กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“โอเคไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจัดการเอง” มังกี้ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไปอีกว่า
“พี่น้องของเรากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทำไมพวกเราถึงไม่ตามกันไปหมดนี่เลยล่ะ?”
ผัวะ!
“ลืมไปแล้วรึไงว่าเมื่อคืนพวกเราพูดอะไรไว้ อย่าว่าแต่การเดินทางไปยังสมาคมหนานหมิงเลย ฉันว่าพวกเราคงจะถูกจับทันทีหลังจากที่พวกเราเดินทางออกจากดาวดวงนี้” แฮมเมอร์กล่าวพร้อมกับตบศีรษะของมังกี้
เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อคืนพวกเขาต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราควรจะมาหาพี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เราบังเอิญเจอลูกชายของรองประธานสมาพันธ์เฮอร์มิทซะก่อน และพวกเขาก็อัดเจ้าหนุ่มนั่นจนเละ” คิวเลกซ์กล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“อย่ามาพูดเหมือนนายไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกอย่างไอ้เด็กนั่นมันมายั่วพวกเราก่อน การที่มันถูกอัดก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” มังกี้คำรามพร้อมกับถลึงตาใส่คิวเลกซ์อย่างดุร้าย
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าคิวเลกซ์ซึ่งเคยเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกเขามาโดยตลอด จะลุกขึ้นมากระทืบเท้าชี้หน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน
“เรื่องนี้มันเป็นความผิดของพวกนาย! พวกเราตกลงว่าจะมาพบกับพี่ชายเซี่ยเฟยตั้งแต่เมื่อคืน แต่เพราะพวกนายไปก่อเรื่องมันเลยทำให้พวกเราพลาดนัดเมื่อวานไป เรื่องนี้มันเป็นความผิดของพวกนายทั้งหมด! มันเป็นความผิดของพวกนายนั่นแหละ!!” คิวเลกซ์ตะโกนร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ ก่อนที่เขาจะเอามือขึ้นมาปิดตาแล้ววิ่งหนีออกไปจากห้อง
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคิวเลกซ์ระเบิดอารมณ์ออกมามากขนาดนี้ และเหตุผลที่ทำให้เขาโกรธก็เป็นเพียงเพราะพวกเขามาหาเซี่ยเฟยสาย!?
“คิวเลกซ์เป็นอะไรไป?” แฮมเมอร์อุทานขึ้นมาด้วยความสับสน
มังกี้ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า และถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคิวเลกซ์เป็นผู้หญิง แต่พวกเขาก็เติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก พวกเขาจึงเรียกหากันเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเด็กผู้ชายมาโดยตลอด
แต่ในทันใดนั้นมังกี้ก็ใช้ข้อศอกสะกิดแฮมเมอร์เบา ๆ ก่อนที่เขาจะใช้นิ้วชี้ไปที่เซี่ยเฟย แน่นอนว่าสหายคนนี้ย่อมเข้าใจได้ในทันทีว่ามังกี้ต้องการจะสื่อถึงอะไร
“ปล่อยคิวเลกซ์ไปเถอะ พวกเรากลับมาคุยเรื่องของเรากันต่อดีกว่า”
—
เมื่อถึงเวลาเที่ยงผางชิงก็มาเชิญเซี่ยเฟยไปรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งพวกมังกี้ก็ไม่ได้คิดที่จะไปร่วมวงรับประทานอาหารกลางวันด้วย มันจึงมีเพียงเซี่ยเฟยที่เดินตามผางชิงไปคนเดียวเท่านั้น
โต๊ะอาหารตั้งอยู่ภายในห้องที่ทำขึ้นมาจากโดมกระจกใส โดยวิวภายนอกถูกล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ที่ถูกสาดส่องด้วยแสงแดดทำให้ผู้รับชมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
ที่โต๊ะอาหารมีแอวริล, เออเนสและนิวแมนนั่งรออยู่แล้ว ขณะที่ผางไห่คอยยืนให้บริการอยู่ทางด้านหลัง มันจึงทำให้บรรยากาศของการรับประทานอาหารในครั้งนี้คล้ายกับการกินเลี้ยงในครอบครัว เพราะมันไม่มีแขกคนอื่นเข้าร่วมรับประทานอาหารด้วย
เมื่อแอวริลเห็นเซี่ยเฟยเดินมาจากระยะไกล ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลัน แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้สายตาของเออเนสตลอดเวลา และนี่ก็ถือเป็นปฏิกิริยาปกติของผู้หญิงที่เพิ่งมีสัมพันธ์แนบเนื้อกับผู้ชาย ซึ่งต่อจากนี้เธอก็จะเริ่มปฎิบัติตัวต่อเซี่ยเฟยเหมือนกับเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้เรียกเซี่ยเฟยมาพูดคุยกันในวันนี้นี่เอง
เซี่ยเฟยเดินมานั่งลงข้าง ๆ แอวริลพร้อมกับกล่าวทักทายนิวแมนกับเออเนส ซึ่งในระหว่างนั้นแอวริลก็จับมือเซี่ยเฟยเอาไว้ทำให้บรรยากาศของทั้งคู่ดูหวานแหววสมกับเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามัน
เออเนสกับนิวแมนเผยรอยยิ้มให้แก่กันราวกับว่าพวกเขาพอใจในสถานะปัจจุบันระหว่างเซี่ยเฟยกับแอวริลแล้ว
หลังจากทักทายกันตามมารยาทสุราอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ซึ่งในระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีบทสนทนาใด ๆ มากเกินไป นอกเสียจากการเชิญชวนให้เซี่ยเฟยรับประทานอาหารมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารจนเสร็จ ผางชิงกับผางไห่ก็จัดแจงยกจานอาหารออกไปจากโต๊ะ แน่นอนว่าอาหารเหล่านี้ไม่สามารถเทียบกับอาหารในระหว่างที่พวกเขาอยู่ในนครหลวงได้ แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังมีความอร่อยและชื่ออาหารทุกชนิดต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารชื่อมงคล
เมื่ออาหารมื้อหลักถูกเสิร์ฟจนหมดอาหารชุดต่อไปจึงเป็นของหวาน และหลังจากที่เซี่ยเฟยได้จัดการอาหารทุกอย่างแล้ว เขาก็หยิบชิพเก็บข้อมูลออกมาจากแหวนมิติพร้อมกับหยิบชิพนั้นยื่นให้กับเออเนสด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“นี่มันอะไร?” เออเนสถามด้วยความสงสัย
“ในระบบเรดาร์แบล็คแบทมีฟังก์ชั่นการส่งสัญญาณระยะไกลพิเศษ ซึ่งผมก็ได้ทำการปรับแต่งมันให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานีถ่ายโอนข้อมูลของสตาร์เน็ตเวิร์กแล้ว เท่าที่ผมทำการคำนวณพื้นที่และปริมาณข้อมูลในพันธมิตร มันก็น่าจะต้องการสถานีฐาน 1,700 แห่งและสถานีฐานสำรองอีก 600 แห่ง เพื่อให้สตาร์เน็ตเวิร์กทำงานได้อย่างราบรื่น ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับชุดข้อมูลที่เคยมีในอดีตครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
เออเนสรับชิพมาจากเซี่ยเฟยด้วยมือที่สั่นเทาและทุกคนก็รู้ดีว่าของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากแค่ไหน
เนื่องจากสภาวะสงครามมันจึงทำให้เครือข่ายสตาร์เน็ตเวิร์กได้รับความเสียหายอย่างหนัก และจำเป็นจะต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการสร้างระบบทั้งหมดขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าหากทางบริษัทได้ใช้ข้อมูลจากชิพที่เซี่ยเฟยให้มานี้ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องสร้างสถานีฐานขึ้นมาใหม่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมันช่วยประหยัดต้นทุนในการฟื้นฟูได้สูงมากและมันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาเพียงแค่ไม่นาน ในการฟื้นฟูสตาร์เน็ตเวิร์กให้กลับมาใช้งานได้ใหม่เหมือนกับตอนก่อนเกิดสงคราม
ขณะเดียวกันข้อมูลของระบบเรดาร์แบล็คแบทก็ถือว่าเป็นหนึ่งในข้อมูลลับของบริษัทควอนตัม ซึ่งมีคนเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลชุดนี้ได้ แต่เซี่ยเฟยได้มอบพิมพ์เขียวของระบบเรดาร์ให้กับตระกูลเจี่ยนอย่างง่ายดาย มันจึงกลายเป็นของขวัญล้ำค่าที่ไม่สามารถจะประเมินมูลค่าของมันได้เลย
ในความเป็นจริงถ้าเซี่ยเฟยต้องการเขาก็สามารถนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาแทนที่สตาร์เน็ตเวิร์กได้ด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็จะสร้างผลกำไรให้กับเขาอย่างมหาศาล และอาจจะทำให้บริษัทสตาร์ยูไนเต็ดตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังมองข้ามผลประโยชน์ส่วนตัวไป และยอมมอบข้อมูลที่ล้ำค่านี้ให้กับตระกูลเจี่ยนในช่วงเวลาที่สำคัญ
แอวริลมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ ก่อนที่เธอจะเอนกายไปกระซิบที่หูของเซี่ยเฟยอย่างแผ่วเบา
“ขอบคุณนะที่ยอมช่วยเหลือครอบครัวของฉัน”
เออเนสกับนิวแมนรู้ดีว่าเหตุผลที่เซี่ยเฟยตัดสินใจแบบนี้นั่นก็เพราะแอวริลเพียงคนเดียว เพราะถ้าหากแอวริลไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเจี่ยน เซี่ยเฟยก็คงจะไม่สนใจวิกฤติของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดด้วยซ้ำ และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาและเงินทุนในการฟื้นฟูระบบขึ้นมาอีกนานแค่ไหน
“ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวฉันมีธุระใหม่ต้องไปจัดการและฉันก็จะต้องออกเดินทางในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“นายจะไปอีกแล้วเหรอ?!” แอวริลกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
เซี่ยเฟยเพิ่งจะกลับมาได้เพียงแค่ไม่นานแต่เขาก็กำลังจะจากไปอีกครั้ง และถึงแม้ว่าแอวริลจะไม่ต้องการเป็นภาระของเซี่ยเฟย แต่เธอก็ยังไม่สามารถทำใจปล่อยชายหนุ่มออกไปง่าย ๆ ได้เหมือนกัน
“ฉันแค่จะไปเยี่ยมบ้านเพื่อน เธออยากจะไปกับฉันด้วยไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกุมมือแอวริลเอาไว้
***************