ตอนที่ 4 : ต้องโทษเขา
ตอนที่ 4 : ต้องโทษเขา
เติ้งอาเหลียนคร้านจะสนใจสามคนพ่อแม่ลูกนี้แล้ว นางจึงหลบไปทำอาหารในครัว นางหุงข้าวในหม้อใบใหญ่ และทำเค้กข้าวร้อน ๆ ไว้หลายชิ้น จากนั้นนางหยิบถ้วยกระเบื้องออกมา แล้วหยิบไข่ไก่ออกมาจากในตะกร้าอีกสองฟอง ทว่าหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง นางจึงหยิบออกมาเพิ่มอีกสองฟอง เพื่อเตรียมจะทำไข่ตุ๋นหม้อใหญ่
อีกสักประเดี๋ยวนางจะแบ่งให้หลานสาวตัวน้อยครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งให้ลูกชายและหลานชายทั้งสองของนาง
“อาเหลียน……” สวีไห่ยืนอยู่หน้าประตูมองดูสตรีวัยกลางคนกำลังง่วนอยู่กับการทำครัว เขาเอ่ยเรียกนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ทว่าเขารู้ว่าในใจของเติ้งอาเหลียนไม่เคยมีเขามาก่อน ที่นางยอมตกลงปลงใจแต่งกับเขาเป็นเพราะถูกกดดันจากหัวหน้าตระกูล อีกทั้งจ้าวยวี่จือยังคอยมาหาเรื่องนางไม่เว้นวัน ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและนางยิ่งห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่เขายินดีที่จะอยู่กับเติ้งอาเหลียน และตั้งใจจะใช้ชีวิตบั้นปลายที่เหลือในชนบทที่สงบสุขแห่งนี้กับนาง เพราะหากเขากลับไปอยู่บ้านในเทศมณฑล ถ้าไม่ได้ดูจ้าวยวี่จือทะเลาะกับลูกสะใภ้ ก็ต้องมาฟังลูกสาวของเขาปะทะฝีปากกับพี่สะใภ้ เขาทนอยู่กับบรรยากาศที่วุ่นวายแบบนั้นมามากพอแล้ว
“ข้าจะพาพวกนางสองคนแม่ลูกกลับไปเทศมณฑลก่อน !”
“สวีไห่ เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ท่าน……อย่ากลับมาที่นี่อีกได้หรือไม่ ? เพลานั้นหากไม่ใช่เป็นเพราะข้าฝันว่าสวีเจียงมาร้องไห้บอกว่าเขายังไม่ทันได้มีทายาทก็ต้องมาด่วนจากไป ข้าก็คงไม่…… ข้าไม่อยากไล่ตามบุญคุณความแค้นกับใครอีกแล้ว พวกท่านไปเถิด ข้าเองก็อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่ต้องมาโดนคนบุกมาด่าถึงบ้านอย่างไร้เหตุผลทุกวัน อีกทั้งยังด่าลามปามไปถึงคนในครอบครัวของข้า ท่านเคยนึกถึงจิตใจของข้าหรือไม่ ?”
“ข้าขอโทษ !” สวีไห่ไม่มีคำแก้ตัว นอกจากเอ่ยคำขอโทษต่อนาง
“เดิมทีเจ้าก็……” จ้าวยวี่จือเดินฉับ ๆ ไปทางห้องครัว หนูน้อยสวีฮุ่ยเหลือบไปเห็นชามถั่วที่วางอยู่ข้างเตา หนูน้อยจึงถือมันขึ้นมาแล้วใช้แขนเสื้อคลุมมันไว้ ก่อนจะเดินไปหาจ้าวยวี่จือ
เมื่อทั้งสองกำลังจะชนกัน สวีฮุ่ยจึงอาศัยจังหวะเทถั่วในชามไปใต้เท้าของจ้าวยวี่จือ จ้าวยวี่จือกำลังพ่นคำด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย ไม่ได้สนใจว่าใต้เท้าของตัวเองจะมีอะไร ดังนั้นนางจึงเหยียบเมล็ดถั่วเข้าเต็ม ๆ และลื่นหงายหลังเท้าชี้ฟ้า ขณะเดียวกัน หนูน้อยสวีฮุ่ยได้แกล้งล้มไปพร้อมกับนางด้วย “โอ๊ย หัวของข้า !”
“ใครมันไม่ดูตาม้าตาเรือเทถั่วไว้เต็มพื้น อยากจะฆ่าข้าหรือไร !” จ้าวยวี่จือลุกขึ้นนั่งกัดฟันด้วยความเจ็บ แม้นางจะไม่เห็นว่าถั่วมันกระจายเต็มพื้นได้เยี่ยงไร และมันมาอยู่ใต้เท้านางตอนไหน แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวนางที่สุดก็คือสวีฮุ่ย ขอเพียงแค่นางหาของที่ใส่ถั่วใกล้ตัวหนูน้อยเจอ อย่าหวังเลยว่าจะหนีความผิดพ้น
ทว่าถ้วยใส่ถั่วใบนั้นถูกสวีฮุ่ยส่งไปไว้ในมิติไปแล้ว ในตอนที่โจวเสี่ยวเหมยและสวีเจี้ยนหลินช่วยประคองนางขึ้นมา สวีฮุ่ยก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นย่าใหญ่ก้มหาของ นางเอามือกุมหัว ปากก็ตะโกนว่าเจ็บไม่หยุด
“บอกมา เจ้าเอาถั่วมาเทใส่พื้นได้อย่างไร” จ้าวยวี่จือคิดในใจว่านางเด็กน้อยผู้นี้คงถูกความชั่วร้ายหรือไม่ก็โดนผีสิงเป็นแน่ เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านางใช้สิ่งใดมาทำให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนต้องฟันหลุดไปถึงสองซี่ มาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปเอาถั่วมาเทใส่ใต้เท้าของนางเพลาใด ข้าคงโดนผีหลอกเข้าแล้วสิ !
สวีฮุ่ยขยิบตาใส่อย่างเจ้าเล่ห์ “ถั่วบนพื้นที่ย่าใหญ่พูดถึง หากจะเทคงต้องใช้มากถึงครึ่งชามเชียวนะ ท่านดูสิ มือของข้าเล็กขนาดนี้ ใช้สองมือรวมกันก็คงใส่ถั่วได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของถั่วบนพื้นเท่านั้น ข้าจะเป็นคนทำได้เยี่ยงไร ?” กล่าวจบ นางยังไม่วายแสร้งทำท่าทาง “ข้าไม่ได้ทำ” ทำเอาจ้าวยวี่จือโกรธจนแทบจะถลึงตาใส่นางอยู่แล้ว
“ท่านแม่ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าในมือของนางมีชามอยู่ใบหนึ่ง !” สวีชิวเยี่ยนชี้หัวหลานสาวตนเอง ในใจแทบอยากจะเจาะหัวเด็กคนนี้ให้เป็นรูใจจะขาด
ในเวลานี้ สวีเจี้ยนหลินยกมือขึ้นมาบังมือของอาสาว “มีแมลงวันตัวหนึ่งบินออกมาจากห้องน้ำ แต่โดนข้ากันไว้ได้แล้ว น้องเล็ก เจ้าถอยออกไปเร็วเข้า !”
“พวกเจ้า……พวกเจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว ไอ้โหยว ! ข้าเจ็บ สวีไห่ นี่ท่านจะยืนดูภรรยาและลูกสาวตัวเองถูกคนอื่นรังแกหรือ !” จ้าวยวี่จือโกรธมาก ! เพราะตอนแรกพวกนางพกความมั่นใจมาอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะมาแก้แค้นครอบครัวนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับต้องมาถูกเด็กวัยหกขวบครึ่งเล่นงานจนลูกสาวฟันหลุดไปสองซี่ ส่วนนางก็เจ็บระบมไปทั้งตัว อีกทั้งยังหาหลักฐานเอาผิดนางเด็กบ้าไม่พบถึงสองครั้ง มันช่างปวดใจยิ่งนัก !
สวีไห่อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนทำ ถึงแม้ว่าความสงสัยจะชี้ไปที่สวีฮุ่ย แต่เขาก็ไม่มีหลักฐาน แล้วแบบนี้เขาจะทำอะไรได้? “พวกเจ้าจะกลับได้หรือยัง !”
“จะกลับไปในสภาพแบบนี้น่ะหรือ !” สวีชิวเยี่ยนไม่ยอม
“พวกเจ้าจะไม่กลับใช่ไหม ! งั้นนับแต่นี้ไป ข้าจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเก่าในหมู่บ้าน ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาระรานที่บ้านของจื้อหย่งอีกแล้ว ส่วนบ้านในเทศมณฑลนั่นก็มีแต่ความวุ่นวายทั้งวัน ข้าไม่อยากกลับไป !” สวีไห่เดินออกไปด้านนอก เขายอมอยู่บ้านเก่าทรุดโทรม ดีกว่าต้องกลับไปอยู่บ้านในเมือง
สองแม่ลูกจ้าวยวี่จือหันกลับไปมอง ครอบครัวของบ้านรองก็หลบเข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว ตอนนี้ลานบ้านไม่มีใคร แถมประตูของแต่ละห้องก็ปิดไว้อย่างแน่นหนา ขนาดนางด่าทอไปหลายประโยค ก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
“เติ้งอาเหลียน……ข้าจะไม่ยอมรามือเช่นนี้แน่นอน พวกเจ้าจะต้องชดใช้ !” สองแม่ลูกจ้าวยวี่จือและสวีชิวเยี่ยนพยุงกันเดินตามสวีไห่ไป สวีฮุ่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็กระตุกมุมปากขึ้น หากพวกนางกล้ามาหาเรื่องอีก นางก็กล้าที่จะลงมืออีกครั้งเช่นกัน คนจิตใจโหดเหี้ยมแบบสองแม่ลูกคู่นี้ไม่ควรได้รับความเกรงใจจากผู้ใด
ช่วงเพลามื้อกลางวัน สวีฮุ่ยเห็นว่าสวีเจี้ยนเหวิน และพี่ชายอีกคนของตนเองไปเรียนในสำนักศึกษาเอกชนแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ซึ่งสำนักศึกษาเหล่านี้สอนเพียงแค่คัมภีร์สามอักษรและตำราร้อยสกุล หรือจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือการสอนให้พวกเขารู้จักชื่อของตนเอง และเขียนชื่อแซ่ของตนเองได้ แต่เนื่องจากค่าเรียนที่ถูกมาก ครอบครัวยากจนที่ไม่มีเงินสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นอาหารได้
ทว่าหากต้องการสอบบัณฑิตถงเซิงหรือสอบในระดับที่สูงขึ้นกว่านั้น พวกเขาต้องเข้าเรียนสำนักศึกษาในเขตเทศมณฑลหรือไม่ก็ในเมือง
หมู่บ้านฉือหลิ่งไม่มีบัณฑิตซิ่วไฉ แต่หมู่บ้านหยุนเซี๋ยที่อยู่ถัดไปมีบัณฑิตถงเซิงและบัณฑิตซิ่วไฉอย่างละคน ซึ่งบัณฑิตซิ่วไฉผู้นั้นก็คือโจวป๋อเทา ซึ่งเป็นน้าชายของสวีฮุ่ยนั่นเอง
เพื่อประหยัดเงินไว้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน ตอนเที่ยง สวีเจี้ยนเหวินจะกลับมากินข้าวที่บ้านเสมอ เมื่อเขารู้ว่าน้องสาวของตนถูกผู้อื่นรังแก สวีเจี้ยนเหวินก็ดึงหูน้องชายตัวดีแล้วถามเขา “เจ้าไม่มีตาดูหรือไร ? ทั้งที่บ้านไม่มีใคร แต่เจ้ากลับปล่อยให้น้องเล็กอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็เขียนชื่อตนเองได้แล้ว งั้นนับแต่นี้ไป เจ้าไปเรียนหนังสือ ส่วนข้าจะอยู่บ้านดูแลน้องเล็กเอง !”
“ท่านพี่ ท่านเป็นพี่ชายข้านะ ท่านอย่าทำร้ายน้องชายของท่านเช่นนี้สิ ท่านเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้เสียหน่อย แค่ข้าเห็นตัวอักษรหยุกหยิกพวกนั้น ข้าก็รู้สึกราวกับเห็นแมลงคลานเต็มไปหมด ข้าทนเรียนไม่ได้จริง ๆ” สวีเจี้ยนหลินอ้อนวอนหน้าเศร้า เพราะสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุดคือการถูกบังคับให้เรียนหนังสือนี่แหละ
“ตอนนี้ไร่นาไม่มีงานอะไรมากมายแล้ว ข้าให้เจ้าอยู่บ้านดูแลน้อง เจ้ากลับออกไปตกปลาตกกุ้ง วันนี้ฮุ่ยฮุ่ยโชคดีสามารถรอดพ้นจากอันตรายมาได้ หากนางเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ เจ้ายังจะมีหน้าอยู่ที่บ้านนี้อีกหรือไม่ !” ยิ่งโจวเสี่ยวเหมยพูด นางก็ยิ่งโมโห สุดท้ายนางจึงแย่งชามข้าวของลูกชายคนรองมา และลงโทษเขาไม่ให้กินข้าว
“สมควร !” สวีจื้อหย่งพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า สายตาของเขาคอยพะว้าพะวงจ้องมองน้องสาวของเขาตลอดเวลา บางครั้งเวลาที่สวีฮุ่ยต้องการอะไร ไม่ต้องรอให้หนูน้อยยื่นมือไปหยิบสิ่งนั้น ก็มีมือหยาบกร้านนำสิ่งที่นางต้องการมาวางตรงหน้านางแล้ว
สวีเจี้ยนเหวินยังเสนอให้ลงโทษน้องชายโดยการให้เขาไปผ่าฟืนสิบท่อนอีกด้วย ไม่อย่างนั้นน้องชายคงไม่หลาบจำ
“เหอะ ๆ……ขอเพียงไม่ให้ข้าไปเรียนหนังสือ จะลงโทษข้าเยี่ยงไรก็ช่าง ข้าขอตัวไปทำงานก่อนล่ะ เย็นนี้รับรองเลยว่าข้าจะตัดหญ้ามาให้หมูและนำฟืนมาให้ท่านย่า น้องเล็ก วันนี้พี่รองทำผิดเอง ท่านแม่พูดถูก โชคดีที่สวรรค์เมตตาทำให้เจ้าปลอดภัย ไม่อย่างนั้นพี่รองคงได้เสียใจไปทั้งชีวิตแน่นอน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ขอบตาของสวีเจี้ยนหลินก็กลายเป็นสีแดงเรื่อ เขาให้คำสัตย์กับตนเองว่า ต่อไปนี้เขาจะปกป้องน้องสาวและไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหรือรังแกนางได้อีก