ตอนที่แล้วตอนที่ 29 : โชว์ฝีมือ  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 : ข้าเปลี่ยนตัวเองแล้วยังไม่ได้อีกหรือ

ตอนที่ 30 : ไฟแห่งการนินทาลุกโชน


ตอนที่ 30 : ไฟแห่งการนินทาลุกโชน

สมาชิกตระกูลโจวเห็นเกี๊ยวที่มีรูปลักษณ์หลากหลายต่างก็พากันแปลกใจ โจวป๋อเทาคีบเกี๊ยวที่มิเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แล้วถามว่าเป็นฝีมือของสวีฮุ่ยใช่หรือไม่

โจวตงชูรีบยืนขึ้นรับสารภาพเสียงดัง “ชิ้นที่ออกมาเป็นรูปเป็นร่างเป็นฝีมือของน้องหญิง ส่วนชิ้นที่มิเป็นรูปร่างนั้น……เป็นฝีมือของข้าเอง !” ทั้งที่เนื้อแป้งและไส้เกี๊ยวเหมือนกัน แต่เหตุใดตอนห่อออกมาถึงได้แตกต่างกันเพียงนี้ !

โจวตงชูน้อยใจมาก !

“ฝีมือการห่อเกี๊ยวของน้องหญิงประณีตมาก แถมไส้เกี๊ยวยังหอมอีกด้วย !” โจวซิ่งอี้ลองชิมไปชิ้นหนึ่ง ปากก็กล่าวชมน้องหญิงของตนเองมิหยุด

เฉินกุ้ยฮวาใช้ตะเกียบเคาะลูกชายไปหนึ่งที “เจ้าพูดให้มันน้อยหน่อย คนเยอะขนาดนี้ ใครเขาพูดคุยกันตอนกินข้าวกัน ฟังเจ้าพูดเสียงพึมพำงึมงำเช่นนี้ กินอิ่มก็รีบไปเสีย อย่าทำให้ผู้อื่นรังเกียจ ขวางหูขวางตาคนอื่นเขา !”

“สะใภ้รอง เจ้าทั้งพูดมากกว่าซิ่งอี้ ทั้งพูดมิน่าฟังยิ่งกว่า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ มิต้องกังวล เรื่องในใจของเจ้าจะมิมีวันเกิดขึ้นแน่นอน !” โจวถงซื่อทำเสียงมิพอใจ ที่นางพูดไปเช่นนี้มิใช่เพราะนางหวงหลานชายตัวเอง แต่เป็นเพราะซิ่งอี้ไม่คู่ควรกับสวีฮุ่ยจริง ๆ หากทั้งสองมายืนด้วยกัน……คงให้ความรู้สึกเหมือนคุณหนูผู้มีสกุลรุนชาติกับหนุ่มเลี้ยงวัวอย่างไรอย่างนั้น

และด้วยความรักความทะนุถนอมที่ตระกูลสวีมีให้หลานสาวคนนี้ พวกเขาต้องมิยอมรับการแต่งงานนี้แน่นอน ดังนั้นลูกสะใภ้ของนางจึงกังวลมากเกินกว่าเหตุ

สวีฮุ่ยคีบเกี๊ยวใส่จานของท่านตาและท่านยาย ในขณะที่นางกำลังจะนั่งลงกินเกี๊ยวนั้น โจวป๋อเทาก็ชี้นิ้วมาที่ชามตรงหน้าเขา “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน แต่เป็นบิดาตลอดชีวิต ต่อให้อาจะเป็นเพียงอาเล็กของเจ้าไปตลอดชีวิต แต่เจ้าก็ควรจะแสดงความกตัญญูต่ออาหน่อยมิใช่หรือ !”

“ในชามของท่านเป็นเกี๊ยวที่ข้าห่อเองทั้งหมด เพียงเท่านี้ยังแสดงความจริงใจมิพออีกหรือ ?”

โจวป๋อเทาเองก็มิได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองไปที่ชามของตน สวีฮุ่ยจึงต้องคีบเกี๊ยวใส่ชามให้เขา

“ต่อไปนี้มิต้องรอให้อาเตือน ตอนกินข้าวนั้น นอกจากจะแสดงความกตัญญูต่อท่านตาและท่านยายของเจ้าแล้ว เจ้ายังต้องแสดงความกตัญญูต่ออาเล็กด้วย เข้าใจใช่ไหม ?”

สวีฮุ่ยพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงกับพี่หญิงน้องหญิงของตน พลางคีบเกี๊ยวใส่ชามให้กันและกัน และกินอย่างเอร็ดอร่อย

คนตระกูลโจวต่างชมว่าอร่อยมิขาดปาก เฉินกุ้ยฮวาที่กินข้าวไปชามใหญ่ใช้นิ้วชี้แคะผักที่ติดฟันตัวเอง แล้วกินผักจากซอกเล็บพลางพูดว่า “ฮุ่ยฮุ่ยมีความสามารถมากกว่าเสี่ยวหลิงของข้า ต่อไปนี้ก็ช่วยงานยายของเจ้าให้มากหน่อย เสี่ยวหลิงยังต้องไปเกี่ยวหญ้ามาให้หมู บางครั้งยังต้องออกไปช่วยงานในแปลงนา นางมิได้เกิดมามีโชควาสนาเหมือนเจ้า ที่ต่อให้อยู่บ้านมิทำอะไรก็มิมีใครว่า !”

“เจ้ากินข้าวเสร็จก็รีบไปให้พ้นจากโต๊ะอาหาร ที่บ้านมีทั้งท่านพ่อ ท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว มิต้องให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่งงานในบ้านหรอก เสี่ยวหลิงมิชอบคัดอักษร หากนางมิยอมทำงานอีก เจ้าจะให้นางทำอะไร เจ้าจะให้นางเป็นสตรีคร่ำครึ มิมีผู้ใดอยากตบแต่งด้วยหรือไร !” โจวป๋อซงให้เฉินกุ้ยฮวาออกไป สวีฮุ่ยมาอยู่บ้านแค่มิกี่วัน แต่ภรรยาของเขายังจะไปชี้นิ้วสั่งนางให้ทำงานอีก

ตระกูลสวีประคบประหงมเด็กน้อยคนนี้มาเป็นอย่างดี นั่นคือเรื่องของคนอื่นเขา และคนอื่นมิมีสิทธิ์มาแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ เพราะหากตัวเขามีลูกสาวเหมือนสวีฮุ่ย เขาก็คงจะรักและเอ็นดูนางมากเช่นกัน จะยอมให้นางมาลำบากทำงานได้เยี่ยงไร !

โจวหมิงหลี่ลูบหัวหลานสาวด้วยมือที่สาก “ฮุ่ยฮุ่ยมาบ้านเราในฐานะแขก หากในบรรดาพวกเจ้า ใครก็ตามที่รู้สึกมิพอใจ ต่อไปนี้เวลาฮุ่ยฮุ่ยและแม่ของนางกลับมากินข้าวที่บ้านก็ให้หักอาหารในส่วนของพวกข้าสองตายายแล้วกัน

แม้จะบอกว่าเสี่ยวหลิงทำงานมากกว่าฮุ่ยฮุ่ยมิน้อย นางทั้งต้องเกี่ยวหญ้าให้หมู บางครั้งต้องลงไปทำงานในแปลงนา แต่เหตุใดเจ้าถึงมิเอานางไปเปรียบกับลูกสาวบ้านอื่นในหมู่บ้านบ้างล่ะ ?

ลูกชายและลูกสาวในตระกูลเหล่านั้นต้องแยกกันกินข้าว อีกทั้งอาหารที่ได้กินยังแตกต่างกัน ในบ้านเราเคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นไหม ? พวกเจ้ามิเคยเห็นลูกสาววัยหกขวบของบ้านอื่นที่ต้องขึ้นเขาไปเก็บผักป่า แต่เด็กผู้ชายที่โตขนาดนั้นกลับเพียงแค่นั่งซักผ้าอยู่ริมตลิ่ง !

ในบ้านของเราเคยให้เสี่ยวหลิงทำเรื่องพวกนี้หรือไม่ ? ขนาดตงชูยังเพิ่งเริ่มซักผ้าเองในปีนี้เลย บ้านของเรายังปฏิบัติต่อลูกหลานมิดีพออีกหรือ ? พวกเจ้าลองบอกข้ามาสิว่ามีตระกูลไหนในหมู่บ้านหยุนเซี๋ยบ้างที่เป็นเหมือนบ้านเรา ! ”

ตระกูลโจวปฏิบัติต่อลูกหลานเป็นอย่างดี ในฐานะปู่และย่าของหลาน ๆ เขาและภรรยามิเคยดุด่าหรือลงไม้ลงมือตีหลาน ๆ ของพวกเขามาก่อน การแบ่งงานในตระกูลล้วนเป็นไปตามความเห็นของทุกคน ซึ่งตาเฒ่าอย่างเขามิเข้าใจเช่นกันว่าเฉินกุ้ยฮวายังไม่พอใจอะไรอีก

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านทั้งสองอย่าเพิ่งโกรธไปเลย ปากของกุ้ยฮวามิมีหูรูด นางนึกอะไรได้ก็มักจะพูดไปเช่นนั้น อย่าได้ใส่ใจกับคำพูดของนางเลย !” โจวป๋อซงปรายตามองภรรยา แล้วหันไปขอโทษพ่อกับแม่ของตนเอง

ในเวลานี้ ซุนเซียงได้คีบเกี๊ยวให้สวีฮุ่ยกินอีกหลายชิ้น “เจ้ากินน้อยเกินไปแล้ว ต้องกินเยอะๆ หน่อยถึงจะดี ตัวจะได้โตตามพี่หญิง แม้ตระกูลของเราจะมิได้มีอาหารที่ดีมากมายนัก แต่ก็ทำอาหารให้ทุกคนได้กินอิ่มทุกมื้อ พรุ่งนี้ป้าสะใภ้ใหญ่จะไปเชือดไก่มาทำอาหารให้เจ้ากิน !”

“ขอบคุณท่านตา ท่านยายและป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าคะ !” สวีฮุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน

“คนที่เจ้าควรจะขอบคุณมากที่สุดที่ข้ามิใช่หรือ ?” โจวป๋อเทามิวายเรียกร้องสิทธิ์แทนตัวเอง

“ข้าซาบซึ้งท่านอาเล็กมาโดยตลอด เราสองคนคงมิต้องขอบคุณกันไปขอบคุณกันมาใช่ไหมเจ้าคะ !” สวีฮุ่ยยิ้มอย่างทะเล้น

“เจ้านี่มันไม่รู้จักเอาใจข้าเลย !” โจวป๋อเทาเคี้ยวเกี๊ยวคำใหญ่แทนการระบายความคับข้องใจ

“ท่านป้า ท่านลุง พวกท่านกำลังกินข้าวกันอยู่หรือ ! บ้านข้าทำแป้งทอด ท่านแม่เลยให้ข้าเอามาให้พวกท่าน” สตรีในชุดกระโปรงสีชมพูเดินถือตะกร้าเข้ามา นางเอาแต่จับจ้องไปที่โจวป๋อเทาตั้งแต่ก้าวขาเดินเข้ามา

“หรูอี้หรือ พวกข้ารับน้ำใจจากตระกูลเจ้าแล้ว ทว่าปีนี้แป้งขาวมีราคาสูง พวกเรารับแป้งทอดของเจ้ามิได้จริง ๆ” โจวถงซื่อลุกขึ้นยืน นางยื่นตะกร้าคืนหญิงสาวที่กำลังจะวางตะกร้าลงบนพื้น นางอายุปูนนี้แล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้เจตนาของผู้ใหญ่บ้านเป็นอย่างดี

ทว่านางและลูกชายคนเล็กของนางมิได้มีใจอยากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน พวกนางจึงมิอาจรับแป้งทอดของพวกเขาได้จริง ๆ

โจวป๋อเทากลืนเกี๊ยวลงคอไป หิ้วปีกหลานสาวที่กำลังฉายแววตาอยากดูเรื่องสนุก “ไปกันเถอะ ข้าจะไปตรวจการบ้านตอนสายของเจ้า !”

ท่านอาเล็ก ท่านนิสัยมิดีเลยที่จะเอาหลานสาวมาเป็นข้ออ้าง ! สวีฮุ่ยจึงแกล้งแหย่โดยบอกโจวป๋อเทาว่านางเขียนเสร็จและวางไว้บนโต๊ะแล้ว ให้เขาสามารถเข้าไปตรวจได้ทุกเมื่อ ส่วนนางอยากอยู่ที่นี่เพื่อดูว่าแม่นางหรูอี้คิดอยากจะทำอะไรต่อ !

“เด็กดื้อ ตามข้ามา !” โจวป๋อเทาพยายามดึงสวีฮุ่ยให้ออกไปจากที่กินข้าว

“อาเล็ก ท่านมิรู้สึกผิดที่รังแกเด็กน้อยหรือ ?”

“อามิได้รังแกลูกหลานของบ้านอื่นเสียหน่อย !”

“หมายความว่าท่านมุ่งเป้ามาที่ข้าคนเดียวใช่ไหม ?”

“อืม มิผิด !”

“ท่านก็ช่างกล้ายอมรับจริง ๆ นะ !”

มีอะไรให้ละอายกัน หลังจากเข้าห้องมาแล้ว โจวป๋อเทาก็ลงกลอนประตูแล้วจิ้มหน้าผากหลานสาวเพื่อตำหนินาง “ทำไมเจ้ามิรู้จักให้ความร่วมมือข้าบ้างเลย !”

“แม่นางหรูอี้ผู้นั้นมาเพื่อท่านอาใช่ไหม ! นางยอมลงทุนเพื่อให้ได้เจอท่านเลยนะ ยอมแม้กระทั่งนำแป้งหมี่ขาวมาทำแป้งทอด ที่จริงหากอาเล็กยอมเปลืองตัวเสียหน่อย ป่านนี้ที่บ้านคงได้กินแป้งทอดของดีนั่นแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน !”

“เจ้าถึงขั้นคิดจะเอาอาของตัวเองไปแลกกับแป้งทอดเชียวหรือ สวีฮุ่ย เจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก” โจวป๋อเทาโมโหคำพูดของหลานสาว จนแทบจะดิ้นพล่านขึ้นมา

“ท่านอาอย่าโกรธขนาดนั้นได้ไหม ? ข้าก็ตามท่านอาเข้ามาในห้องแล้วมิใช่หรือ นั่นหมายความว่าในใจของข้า……เอ่อ น่าเสียดายเหลือเกินที่แม่นางหรูอี้ผู้นั้นเอามาแค่แป้งทอด หากนางเอาขาหมูมาด้วย บางทีเราอาจพอพิจารณากันได้ใช่ไหม !” สวีฮุ่ยเงยหน้ามองอาเล็กของนางที่บัดนี้มีรังสีของความโกรธแผ่ออกมาเต็มพิกัด เขาทำหน้าราวกับเห็นนางเป็นขาหมูที่พร้อมจะกินนางได้ทุกเมื่อ ในใจของนางแอบหัวเราะ ใครใช้ให้ท่านอามิยอมพาข้าไปเดินตลาดนัดกันล่ะ แถมมิยอมอนุญาตให้ข้าออกไปไหนมาไหนอีกด้วย !

โจวป๋อเทาพลิกดูตัวอักษรที่สวีฮุ่ยคัดไว้ ด้วยอายุของนาง การที่นางเขียนได้เป็นระเบียบเช่นนี้ถือว่าผ่านสำหรับผู้อื่นแล้ว แต่สำหรับโจวป๋อเทานั้น มันยังมิได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด