ตอนที่ 3 : แตกต่างราวฟ้ากับเหว
ตอนที่ 3 : แตกต่างราวฟ้ากับเหว
ในขณะที่พวกนางกำลังจะถกเถียงกันอยู่นั้น ประตูลานบ้านได้เปิดออกอีกครั้ง มีเด็กชายอายุประมาณแปดหรือเก้าขวบวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาในลานพร้อมกับถังไม้ใบหนึ่ง
“ท่านย่า น้องเล็ก ข้าจับปลาตะเพียนมาได้ ! มีตั้งหลายตัวเชียวนะ กลางวันเรามาต้มน้ำแกงปลาให้น้องเล็กดื่มกันเถิด !”
“เจ้าหลานชายคนนี้ ข้าให้เจ้าอยู่บ้านดูแลน้องสาว แต่เจ้ากลับวิ่งออกไปตกปลา” เติ้งอาเหลียนยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง นางถอดรองเท้าออกแล้วเขวี้ยงไปที่หลานชายของตน “ข้าบอกให้เจ้าไปจับปลาหรือไร ? ดูสิโจรบุกเข้ามาในบ้านแบบนี้ น้องสาวของเจ้าเกือบจะถูกทำร้ายแล้ว เจ้ารู้ตัวบ้างไหม ? เจ้าคิดว่าปลาสำคัญหรือน้องสาวของเจ้าสำคัญกว่า ! หลานคนนี้ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้หนังหลุดเลย !” ปกติเติ้งอาเหลียนไม่ใช่คนที่ชอบด่าคำหยาบ แต่นางคิดไม่ถึงว่าจ้าวยวี่จือจะถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน แอบย่องเข้ามาทำร้ายหลานสาวของนาง
โชคดีที่สวรรค์มีตา ให้หลานสาวของนางหนีรอดจากภัยร้ายนี้ได้ อีกทั้งสวีชิวเยี่ยนก็ยังฟันหลุดไปสองซี่อย่างไม่ทราบสาเหตุ หากหลานของนางเป็นอะไรขึ้นมา นางจะสู้กับสองแม่ลูกนี้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย
ในเวลานี้ เด็กน้อยถึงได้หันไปเห็นสองแม่ลูกจ้าวยวี่จือ “ไอ้หยา ! มีโจรแอบย่องเข้าบ้านแล้ว น้องเล็กของพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม” เขาวางถังไม้ไว้ที่ประตูครัว ในตอนที่หันกลับมา ในมือของเขาได้ถือก้อนหินไว้ก้อนหนึ่ง ท่านย่าใหญ่และอาเล็กเป็นคนไม่ดี ตอนนี้ไม่มีผู้ชายอยู่บ้านเลยสักคน เขาต้องรับผิดชอบปกป้องย่าและน้องสาวของเขา
สวีฮุ่ยวิ่งไปจับแขนเด็กชาย แล้วลองเรียกเขา “ท่านพี่ อย่าวู่วามไปเลย คนวู่วามเป็นปีศาจ พวกเราต้องใช้เหตุผลจัดการ !”
สองแม่ลูกจ้าวยวี่จือและสวีชิวเยี่ยนกำลังหาข้ออ้างมาจัดการครอบครัวนาง หากวู่วามทำร้ายร่างกายสองแม่ลูกขึ้นมา มีหวังพวกนางต้องไม่ยอมอยู่เฉยและจะต้องคิดบัญชีใหม่เป็นแน่
“พี่รองฟังฮุ่ยฮุ่ย ท่านย่า ข้าจะไปเก็บรองเท้าให้ท่าน เพลานี้อากาศหนาว อย่าทำให้เท้าของท่านย่าเย็นนักเลย” เด็กชายตัวน้อยคนนี้เป็นพี่รองของสวีฮุ่ย ชื่อของเขาคือสวีเจี้ยนหลิน อย่ามองแค่ว่าเขาเรียนหนังสือไม่เก่ง ที่จริงเขาเป็นคนมีไหวพริบ ปกติเป็นคนช่างเจรจาวาจาลื่นไหล ชอบตกปลาตกกุ้ง และเป็นเด็กที่คล่องแคล่วมาก
เติ้งอาเหลียนนั่งลงบนม้านั่งแล้วเหยียดเท้าให้หลานชายสวมรองเท้าให้ ในขณะที่จ้าวยวี่จือผู้ที่ถูกคนอื่นเรียกว่า ‘โจร’ เริ่มทนไม่ไหวแล้ว “เติ้งอาเหลียน เจ้าสอนหลานของเจ้าเยี่ยงไร มีใครบ้างที่เรียกผู้อาวุโสเช่นนี้ ? บ้านของพวกเจ้าทรุดโทรมขนาดนี้ มีอะไรให้ขโมยกัน หากของเจ้าหายแล้วมีวิธีพิสูจน์ว่าพวกข้าขโมยไป ข้าจะชดใช้ให้ หากเจ้าหาข้ออ้างไม่ได้ เป็นเช่นนั้นพวกเรามาคุยเรื่องของชิวเยี่ยนกัน เจ้าจะชดใช้ให้ลูกสาวของข้าเยี่ยงไร !”
เติ้งอาเหลียนแค่นเสียงเย็น หลังจากที่หลานชายช่วยสวมรองเท้าแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าพลางพูดว่า “หากไม่ได้รับเชิญให้ถือว่าเป็นโจร ครอบครัวของข้ายากจน แต่ต่อให้ครอบครัวของข้าไม่เหลือเงินแม้แต่อีแปะเดียว พวกข้าก็ไม่เคยยืมเงินเจ้ามาก่อนไม่ใช่หรือ ? ฉะนั้นจงหุบปากไปซะ ! อีกอย่าง ลูกสาวของเจ้าฟันหลุดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกข้า เจ้าบอกว่าฮุ่ยฮุ่ยเป็นคนทำ แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือไม่ ? แค่เจ้าโวยวายให้เราชดใช้ เราก็ต้องชดใช้หรือไร ! เราอย่ามาเสียเวลาถกเถียงกันอยู่ที่นี่เลย ไปฟ้องทางการเลยดีกว่า !”
เติ้งอาเหลียนมั่นใจว่าหลานสาวของนางไม่ได้ทำร้ายสวีชิวเยี่ยน นางจึงไม่กลัวแม้เรื่องจะต้องไปถึงหูของทางการก็ตาม
สวีเจี้ยนหลินเดินวนรอบสวีชิวเยี่ยนพลางเพ่งพินิจพิจารณา “ข้าคิดว่าท่านอาในตอนนี้ดูเข้าตากว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ”
อย่างน้อยตอนนี้เด็กชายก็ไม่ต้องมาทนฟังเสียงแสบแก้วหูตอนสวีชิวเยี่ยนพูดจาเออออกับแม่ของนาง
“เจ้า……” สวีชิวเยี่ยนเอามือหนึ่งปิดปากตนไว้ ส่วนอีกมือยื่นมาจะคว้าตัวหลานชายมาตีให้สมกับความชิงชังในใจ ทว่าหนูน้อยสวีฮุ่ยดึงพี่รองของนางออกมาได้ทัน
“พวกท่านยังจะฟ้องทางการอยู่ไหม หากฟ้องทางการก็ให้รีบไป แต่ถ้าไม่ฟ้องก็ต้องรบกวนพวกท่านออกไปจากบ้านของข้าด้วย !” สวีฮุ่ยชี้ไปที่ประตูใหญ่ของบ้านอย่างไม่เกรงกลัว เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่กลัวทางการอยู่แล้ว ใครจะไปเชื่อว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จะทำร้ายผู้ใหญ่ได้ !
จ้าวยวี่จือและสวีชิวเยี่ยนทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่ หากแจ้งทางการ แล้วพวกนางจะอธิบายเรื่องที่แอบเข้าไปในห้องนอนของสวีฮุ่ยตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้านได้อย่างไร อีกอย่างนางไม่อาจให้เรื่องที่สวีชิวเยี่ยนฟันหลุดสองซี่แพร่งพรายไปถึงหูของคนอื่นได้
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทางการต้องไม่เชื่อคำพูดของพวกนางแน่นอน !
“ข้าอยากพบสวีไห่ ลูกสาวของเขาถูกรังแกจนมีสภาพเช่นนี้ ในฐานะคนเป็นพ่อ เขาจะไม่สนใจนางเชียวหรือ !” จ้าวยวี่จือเอามือเท้าเอวอย่างอวดดี นางมีลูกให้สวีไห่ถึงสามคน ในขณะที่เติ้งอาเหลียนมีลูกชายให้เขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร สวีไห่ก็ต้องมีเยื่อใยให้แก่นางผู้เป็นภรรยาคนแรกแน่นอน
“พวกเจ้าออกไปแล้วเลี้ยวขวา เข้าป่าไปรอเขาเถิด ทางที่ดีพาเขากลับไปด้วย แล้วอย่ากลับมาที่หมู่บ้านฉือหลิ่งอีก จ้าวยวี่จือ ข้าไม่อยากพูดถึงบุญคุณความแค้นในอดีตอีกแล้ว นับแต่นี้ไปข้าจะใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับครอบครัวของลูกชายที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกเราอย่าได้ข้องเกี่ยวกันอีกเลย หากเจ้ายังมาหาเรื่องข้าถึงที่นี่อีก ฉะนั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน” เติ้งอาเหลียนเตือนจ้าวยวี่จือ
“อาเหลียน……” สวีไห่ที่ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้ามาในประตูใหญ่ได้ยินบทสนทนาของสตรีทั้งสอง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียกเติ้งอาเหลียน
ด้านหลังของเขามีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินตามมาด้วย ชายหนุ่มดูเป็นคนที่ซื่อสัตย์ภักดี ส่วนหญิงสาวนางนี้ดูมีพลังล้นเหลือ ทั้งสองแบกกระบุงไว้ที่หลัง ในมือข้างหนึ่งถือตะกร้าไม้ไผ่สาน ส่วนมืออีกข้างแบกจอบมาด้วย
“ฮุ่ยฮุ่ย ลูกดีขึ้นหรือยัง ? ยังปวดหัวอยู่หรือไม่ ?” หญิงสาววางของในมือลงและปลดกระบุงลงจากหลัง จากนั้นนางก็เร่งฝีเท้าเดินมาหาสวีฮุ่ย ส่วนชายหนุ่มคนนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหานางเช่นกัน ชายหนุ่มและหญิงสาวเข้ามาโอบล้อมนางแล้วกวาดตามองทั่วร่างของนางอย่างละเอียด
“เสี่ยวเหมย ฮุ่ยฮุ่ยเหมือนจะตกใจจนขวัญเสีย เจ้าพานางไปที่ห้องของแม่ก่อน แล้วต้มน้ำตาลทรายแดงให้นางดื่มเสีย !” เติ้งอาเหลียนไม่แม้แต่จะหันไปมองสวีไห่และจ้าวยวี่จือ เพราะสำหรับนางแล้ว ครอบครัวของนางมีแค่ครอบครัวของบุตรชายเท่านั้น ที่ผ่านมานางไม่ได้มีใจเกิดความรู้สึกต่อสวีไห่เหมือนกับคู่สามีภรรยาทั่วไป……เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว มีภรรยาเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวยวี่จือและลูก ๆ อีกหลายคน
โจวเสี่ยวเหมยเอาไม้ออกจากมุมกำแพงบ้านแล้วชี้ไปที่สวีเจี้ยนหลินพลางตำหนิ “เจ้าเด็กคนนี้ ข้าให้เจ้าอยู่บ้านดูแลน้องไม่ใช่หรือ ? เจ้ามัวหายไปไหนมา ?”
สวีเจี้ยนหลินไถลหลบไปตามผนังเพื่อไม่ให้ไม้ของแม่ฟาดมาโดนตัวเอง “ท่านแม่ อย่าวู่วาม คนวู่วามคือ……น้องเล็ก คนวู่วามคืออะไรนะ รีบมาช่วยพี่รองของเจ้าเร็วเข้า !” สวีเจี้ยนหลินหันไปโบกมือให้น้องสาว
อย่างมากท่านย่าก็แค่เขวี้ยงรองเท้าใส่และใช้มือฟาดทีสองที แต่ท่านแม่ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะการตีของนางคือตีจริง ! บางครั้งตีจนท่อนไม้หนา ๆ หักออกจากกัน ตีจนรอยแผลอยู่นานหลายวันกว่าจะจางหายไป ตอนนี้มีเพียงแค่น้องสาวเท่านั้นที่ช่วยเขาได้
สวีฮุ่ยไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองจะใช้ได้ผลหรือไม่ นางจึงลองเชิงโดยวิ่งไปกอดแขนโจวเสี่ยวเหมย “เป็นเพราะข้าบอกพี่รองว่าอยากกินปลา ให้พี่รองออกไปตกปลามาให้กิน ท่านแม่อย่าทำโทษพี่รองได้ไหม ?”
“ฮุ่ยฮุ่ย ลูกอยากกินปลาหรือ ! แต่หัวของลูกบาดเจ็บ ปลาเป็นของแสลง กินไม่ได้ พวกเราอดทนรอหน่อยนะ ไว้รอให้เจ้าหายดี แม่จะให้พ่อของเจ้าไปจับมาหลาย ๆ ตัว แล้วแม่จะเอามาต้มน้ำแกง ทำผัดปลาให้เจ้ากิน !” โจวเสี่ยวเหมยโยนไม้ในมือทิ้ง นางให้ลูกชายนำปลาไปหมักตาก เนื่องจากสวีฮุ่ยกินปลาไม่ได้ ครอบครัวของพวกนางจึงต้องทำให้ปลาเหล่านี้เก็บไว้ได้นาน !
สวีเจี้ยนหลินเดินไปตบบ่าน้องสาว ให้ตายสิ ! เรื่องวันนี้เป็นความผิดของเขาจริง ๆ หากเขารู้แต่แรกว่าสองแม่ลูกปีศาจจะบุกเข้ามา ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางไปจากบ้านแน่นอน
“ท่านแม่ พวกท่านตุ๋นน้ำแกงปลาพวกนั้นกินเถอะ ! ข้าจะกินอย่างอื่น !” สวีฮุ่ยไม่อยากทำให้คนอื่นต้องอดกินของดีเพราะนาง
เติ้งอาเหลียนพับแขนเสื้อแล้วจุดไฟ พอนางได้ยินคำพูดของหลานสาวก็รีบค้านทันที “ไม่ได้ วันนี้เราจะไม่กินปลา ไว้บาดแผลบนหัวของฮุ่ยฮุ่ยหายดีเมื่อไรค่อยกิน เสี่ยวหลินจื่อ ประเดี๋ยวไปแบกฟืนมาให้ย่าด้วย !”
“ไม่ดูแลน้องสาวให้ดี ตอนบ่ายเจ้าต้องไปตัดหญ้ามาให้หมูหนึ่งกระบุง หากหญ้าไม่เต็มกระบุงห้ามกลับบ้าน !” โจวเสี่ยวเหมยจัดการลงโทษให้ลูกชายไปทำงาน
สวีเจี้ยนหลินหันไปตอบรับท่านย่าที แล้วหันไปตอบรับท่านแม่ที ขอเพียงแค่เขาไม่ถูกตี ให้ช่วยงานบ้านเยอะหน่อยจะเป็นไรไป
เอ๋ ! ทำไมถึงรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เล่า ! ว่ากันว่ายุคโบราณให้ความสำคัญกับลูกชายและไม่ชอบลูกสาวไม่ใช่หรือ ? แต่ทำไมครอบครัวสวีปฏิบัติต่อนางและพี่รองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้ เป็นเพราะบทผิดหรือว่านางถูกแจ็คพอตทะลุมิติมาอยู่ในครอบครัวที่ชอบลูกสาวกันนะ !
หากเป็นเหมือนอย่างหลัง ต่อให้สวีฮุ่ยฝันไปก็ยังตื่นมาหัวเราะได้ !