ตอนที่แล้วตอนที่ 28 : รู้หนังสือนำไปสู่ความวุ่นวาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 : ไฟแห่งการนินทาลุกโชน

ตอนที่ 29 : โชว์ฝีมือ  


ตอนที่ 29 : โชว์ฝีมือ

สวีฮุ่ยที่หลบอยู่ในห้องของโจวป๋อเทาหูตั้งผึ่งฟังท่านยายอบรมสั่งสอนป้าสะใภ้รอง ตอนแรกโจวป๋อเทายังนึกกังวลว่านางจะเก็บมาใส่ใจ จึงเตรียมที่จะพูดจาปลอบใจนางเสียหน่อย

แต่เมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกายของหนูน้อย อีกทั้งหูของนางก็แทบจะแนบไปกับผนังอยู่รอมร่อ โจวป๋อเทาจึงได้แต่ใช้เล่มตำราเคาะหน้าผากนางเบา ๆ “เจ้ามิใช่พวกสตรีที่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่นเสียหน่อย เหตุใดถึงได้ติดนิสัยแอบฟังคนอื่นคุยกันแบบนี้ล่ะ !”

“ในที่สุดข้าก็รู้เสียทีว่าท่านแม่ของข้ามีนิสัยขี้โมโหเหมือนใคร ที่แท้ก็ได้ท่านยายมานี่เอง !”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ โจวป๋อเทาถึงกับอดกลอกตาใส่นางมิได้ “หากว่ากันตามสามัญสำนึก ที่จริงตอนนี้เจ้าควรจะตำหนิว่าเป็นความผิดของตนเอง เจ้ามิรู้สึกผิดหรือที่ให้อาเล็กมาสอนเจ้าท่องตำรา ทำให้อาเล็กของเจ้ามิมีเวลาเตรียมตัวสอบ ทำให้ท่านยายและป้าสะใภ้รองทะเลาะกัน อีกทั้งยังทำให้น้องหญิงของเจ้าต้องมาถูกตำหนิ ?”

“เหตุใดข้าต้องรู้สึกผิด ? ตลอดสามวันมานี้ ข้าเฝ้าฝึกคัดอักษรด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด มิเคยสร้างความลำบากให้แก่ท่านอาเลย!ป้าสะใภ้รองหาเรื่องใส่ตนเองแล้วมาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เดิมทีนางเป็นคนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือการที่น้องหญิงมิชอบคัดอักษรเป็นความผิดของข้า ! ท่านอาเล็ก ท่านช่วยกล่าวหาข้าด้วยเหตุผลได้ไหม !” สวีฮุ่ยเห็นว่าเสียงดังด้านนอกเงียบลงแล้ว นางจึงรีบออกไปจากห้องของอาเล็กแล้วเข้าไปตักน้ำในครัวขึ้นมาครึ่งขัน แอบหยดน้ำแร่จากในมิติลงไป แล้วนำไปยื่นให้แก่ท่านยาย

“ฮุ่ยฮุ่ย ป้าสะใภ้รองของเจ้าเป็นคนพูดจามิเป็น นางพูดอะไรไป เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจนักเลย !” หลานต่างแซ่ของนางเป็นเด็กดีเชื่อฟังขนาดนี้ หากมิใช่เพราะเฉินกุ้ยฮวาเป็นคนไร้คุณธรรม โจวถงซื่อก็อยากจะให้หนูน้อยสวีฮุ่ยเกี่ยวดองกับหลานชายบ้านรองอยู่เหมือนกัน

อย่างน้อยการแต่งเข้าตระกูลของผู้เป็นยายก็ยังดีกว่าแต่งเข้าตระกูลอื่น อย่างน้อยนางและตาแก่ยังสามารถปกป้องหลานสาวมิให้ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจได้

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงมิอาจให้หลานสาวมาแต่งเข้าตระกูลตนเองได้แล้ว ขนาดตัวนางเองยังมิชอบนิสัยของลูกสะใภ้คนนั้นเลย แล้วหลานสาวของนางจะตอบตกลงได้เยี่ยงไร!

เวลาล่วงเลยไปอีกสองวัน โจวป๋อเทามอบกระดาษหนึ่งปึกและพู่กันหนึ่งด้ามให้แก่สวีฮุ่ย จากนั้นเขาก็เริ่มสอนนางท่องคำกลอนง่าย ๆ

สองอาหลาน คนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนอักษรกำลังนั่งขีดเขียนคัดตัวอักษรอย่างตั้งใจ ส่วนอีกคนกำลังนั่งท่องตำราอย่างเงียบ ๆ บางครั้งโจวป๋อเทาก็มักจะวางตำราในมือลงแล้วมาเขียนอะไรบางอย่าง สวีฮุ่ยชะเง้อคอไปดูก็เห็นว่าตัวอักษรของอาเล็กช่างดูเหมือนมังกรร่ายรำ มันทั้งดูวิจิตรและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน การเขียนพู่กันเป็นจุดอ่อนของนาง คาดว่าคงต้องใช้เวลาฝึกฝน 3-5 ปี นางถึงจะเขียนตัวอักษรที่วิจิตรออกมาได้

“ตั้งใจคัดอักษรให้ดี !” โจวป๋อเทาเข้มงวดกับหลานสาวต่างแซ่ผู้นี้มากขึ้นทุกวัน มันมิง่ายเลยกว่าจะเจอต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมเช่นนาง เขากำกับดูแลนางอย่างเข้มงวด

ในความคิดของโจวป๋อเทา การศึกษามิแบ่งแยกชายหญิง สิ่งที่พวกเขามองคือคนผู้นั้นมีพรสวรรค์หรือไม่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเขาถึงมิยอมสอนพวกหลานชายของตน เพราะเพียงแค่เขาดูผลคะแนนและการบ้านที่เขาให้ทำในแต่ละวันก็มองออกแล้วว่าหลานชายของเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถปานกลาง ชี้แนะมากไปก็ไร้ประโยชน์ ทางที่ดีอย่าทำให้เขาเสียเวลาท่องตำราดีกว่า

“ท่านอาเล็ก พวกเราสองคนอยู่บ้านมิได้ออกไปไหนมาหลายวันแล้ว เราออกไปเดินเล่นกันเถอะ !” สวีฮุ่ยได้ยินมาว่าพรุ่งนี้จะมีตลาดนัดชาวบ้าน นางจึงอยากให้อาเล็กพาตนเองออกไปเที่ยวเล่น

“ยังจะไปริมน้ำอยู่ไหม ? ครานี้ข้าจะได้เตรียมถังไม้เยอะหน่อย !” ครั้งที่แล้วเขารู้สึกทึ่งต่อความสามารถพิเศษของนางยังมิหาย โจวป๋อเทาจึงมิอยากไปอีกแล้ว

“ข้าอยากไปเดินเล่นที่ตลาด !”

“หยุดความคิดของเจ้าไว้เลย ฮุ่ยฮุ่ย หากพวกเราออกไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างในตลาดนั่น มันอาจทำให้เกิดคลื่นฝูงชนเข้ามาเบียดเสียดแออัดได้ !” โจวป๋อเทามีประสบการณ์ต่อเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี

“ทำไมล่ะ ?” นางเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น จะดึงดูดฝูงชนให้เข้ามาห้อมล้อมได้มากเท่าไหร่กันเชียว สวีฮุ่ยมิเชื่อหรอก

โจวป๋อเทาจึงให้สวีฮุ่ยไปถามยายก่อน ถ้าหากหญิงชราตอบตกลง พวกเขาสองคนก็จะออกไปเดินเล่นที่ตลาดนัดได้

สวีฮุ่ยไปถามจริง ๆ ซึ่งโจวถงซื่อมีท่าทีปฏิเสธที่แข็งกร้าวกว่าผู้เป็นลูกชายของตนเสียอีก “มิได้ ยายกลัวว่าคนชั่วจะมาลักพาตัวพวกเจ้าไป มันมิง่ายเลยกว่าที่ยายจะมีลูกชายที่มีพรสวรรค์มีความสามารถ และหลานสาวที่ใครเห็นใครก็รักเช่นนี้ หากพวกเจ้าตกเป็นเป้าของใครสักคนขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร หากพวกเจ้ารู้สึกเบื่อก็ไปเดินเล่นในหมู่บ้านได้ แต่ห้ามไปเดินเที่ยวที่ตลาดนัด !”

โจวป๋อเทาจึงเลือกช่วงยามเฉินที่คนในหมู่บ้านกำลังยุ่งกับงานทำไร่ทำนา พาสวีฮุ่ยไปเดินเล่นข้างนอก

“พวกเราขึ้นเขาไปเก็บผักป่ากันเถอะ !”

กลางวันนี้จะได้กินเกี๊ยวไส้ผักป่าเสียที สวีฮุ่ยมิได้เข้าครัวมาหลายวันแล้ว อีกทั้งนางก็มิสามารถเข้าไปทำอาหารในมิติของนางได้ มันช่างทรมานเหลือเกิน!

“เรื่องนั้น……เจ้าคงจะมิเรียกเสือมาหาอาเล็กใช่ไหม ! ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้ามิเป็นวรยุทธ !” โจวป๋อเทารู้สึกกลัวจริง ๆ

ท่านอาเล็กบ้า เห็นนางเป็นครูฝึกสัตว์หรือไร ! ใครจะไปเรียกเสือมาได้ นางก็แค่อยากกินเกี๊ยวไส้ผักป่าเท่านั้น เหตุใดมันถึงได้ยากเย็นเพียงนี้ !

เฮ่อจิ่นที่อยู่ในมิติฟังบทสนทนาของสองคนนี้ไปด้วยพลางหัวเราะไปด้วย หากสวีฮุ่ยต้องการล่ะก็ มันสามารถเรียกเสือมาให้นางได้จริง ๆ มันเป็นภูติไม้ นอกจากนี้มันยังสามารถสัมผัสได้ถึงสมบัติในธรรมชาติอย่างโสมและเห็ดหลินจือ ขอเพียงแค่มีอยู่บนภูเขา มิว่าจะเป็นสมบัติจากธรรมชาติหรือแร่ที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน มันย่อมสามารถหาเจอได้ทุกเมื่อ

เมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตของสวีฮุ่ยฉายแววผิดหวังออกมา โจวป๋อเทาจึงรับปากว่าจะพานางไปเดินเล่นบริเวณชายป่า เพราะหากโชคดีพวกเขาก็อาจจะจับกระต่ายมาได้สักตัว ?

“อาเล็ก บนภูเขายังมีจิ้งจอกและงู ท่านอยากได้หรือไม่ !” สวีฮุ่ยเก็บกระบุงไม้ไผ่ผุ ๆ ได้ที่เชิงเขา จึงชี้ให้อาเล็กเป็นคนถือมัน ส่วนนางก็ก้มลงหาผักป่า

“ข้าเป็นถึงบุรุษหนุ่มรูปงาม แต่เจ้ากลับให้ข้าถือกระบุงเก่า ๆ น่ะหรือ……ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าคิดอะไรของเจ้า !” มีคนมาทำลายภาพลักษณ์ตนเอง เช่นนี้ บอกตามตรงว่าโจวป๋อเทาอยากจะโยนกระบุงเก่าทิ้งไปเสียจริง

“หากท่านอาทิ้งกระบุง ท่านคงต้องถอดเสื้อออกมาใส่ผักป่าแล้วล่ะ !” สวีฮุ่ยตอบกลับทั้งที่นางยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บผักป่าอยู่ ตอนนี้แต่ละตระกูลล้วนยุ่งกับการปลูกพืชในแปลงนา มิมีใครขึ้นมาเก็บผักป่าบนภูเขา ดังนั้นผักป่าจึงขึ้นกระจายตัวไปทั่ว

“แล้วทำไมเจ้ามิถอดเองเล่า !”

“ข้าเป็นสตรีนะ !”

โจวป๋อเทาถูกหลานสาวเถียงกลับจนไปมิเป็น เขาจึงทำได้เพียงถือกระบุงเก่าเดินตามหลังนางไปอย่างยอมรับชะตากรรม เมื่อเห็นว่าผักป่าเต็มกระบุงแล้ว โจวป๋อเทาจึงลากนางกลับหมู่บ้านโดยมิสนใจท่าทีของสวีฮุ่ย

ตามคำเรียกร้องอย่างสุดแรงกล้าของสวีฮุ่ย ในที่สุดโจวถงซื่อก็ยอมให้นางห่อเกี๊ยวในตอนเที่ยง นางตักน้ำมันจากในโถมาหนึ่งทัพพี ส่วนโจวตงชูมาช่วยนางนวดแป้ง

สวีฮุ่ยอยากจะช่วยทำไส้เกี๊ยว แต่โจวถงซื่อมิค่อยเชื่อมั่นในตัวนางสักเท่าไหร่ ผสมผักป่ากับเศษกากหมูสับ โรยด้วยเกลือเล็กน้อยและซีอิ๊วหมัก จากนั้นส่งชามให้หลานสาวคนให้เข้ากันช้า ๆ

ในตอนที่ท่านยายและพี่หญิงละความสนใจไปทางอื่น สวีฮุ่ยได้ถือโอกาสใส่เครื่องปรุงที่นางเตรียมไว้ลงไปในไส้เกี๊ยว และเติมน้ำแร่จากในมิติลงไปเล็กน้อย ตามด้วยน้ำมันงาอีกนิดหน่อย

ในตอนที่ห่อเกี๊ยวนั้น โจวถงซื่อและโจวตงชูต้องตกใจเมื่อเห็นว่าสวีฮุ่ยห่อเกี๊ยวได้ชำนาญและรวดเร็วกว่าพวกนางมาก

“ท่านย่า ข้าคิดว่าไส้เกี๊ยวของวันนี้มันหอมแปลก ๆ นะ ! มิเชื่อท่านก็ลองดมดูสิ ! ข้านึกออกแล้ว คราที่แล้วตอนไปบ้านฮุ่ยฮุ่ย นางและย่าสวีก็ห่อเกี๊ยวเช่นกัน รสชาติเป็นเช่นนี้เลย !” โจวตงชูขยับเท้ามาใกล้ๆ เข้ามาดมไส้เกี๊ยว

โจวถงซื่อรู้อยู่แก่ใจว่านางเพียงแค่ใส่เกลือและซีอิ๊วหมักลงในไส้เกี๊ยว ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว มันมิควรจะหอมขนาดนี้ หลานสาวบอกว่าเคยไปกินเกี๊ยวที่บ้านของตระกูลสวี ซึ่งกลิ่นเดียวกันเลย หรือว่า……เป็นฝีมือของหลานสาวตัวน้อยต่างแซ่ของนาง ?

ในตอนที่โจวตงชูมิอยู่ตรงนี้ สวีฮุ่ยได้ยัดหลอดไม้ไผ่ใส่มือของโจวถงซื่อ “ท่านยาย หากท่านต้องการห่อเกี๊ยวหรือทำอาหารให้อร่อย ท่านต้องใส่เครื่องปรุงในหลอดไม้ไผ่นี้ลงไปด้วย ท่านยายวางใจได้ บ้านของข้าใช้เครื่องปรุงนี้มาหลายวันแล้ว มันปลอดภัยดี มิมีผลเสียต่อร่างกาย”

ผงเครื่องปรุงในหลอดไม้ไผ่นี้เพียงพอให้ใช้นานถึงสองเดือน รอให้ทุกคนยอมรับเครื่องปรุงนี้ก่อน แล้วนางค่อยทำส่งมาให้อีก

โจวถงซื่อมิได้ถามเช่นกันว่าหลานสาวไปเอาเครื่องปรุงนี้มาจากที่ใด นางเอาหลอดไม้ไผ่ไปวางไว้ด้านในสุด และในตอนที่ห่อเกี๊ยวนั้น สวีฮุ่ยได้โชว์ฝีมืออีกครั้ง มือเล็กๆ ของนางนวดและจับจีบเกี๊ยวเป็นรูปแบบต่าง ๆ เช่นรูปดอกไม้และสัตว์ โจวตงชูเองก็อยากเรียนฝีมือการห่อเกี๊ยวจากสวีฮุ่ย ผลปรากฏว่านางห่อได้มิเป็นรูปเป็นร่างเอาเสียเลย นางถึงขั้นบอกว่าหากมีคนทายถูกว่านางห่อเกี๊ยวเป็นรูปอะไร นางจะตบรางวัลให้เป็นเหรียญทองแดงสองอีแปะเลย !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด