ตอนที่ 28 : รู้หนังสือนำไปสู่ความวุ่นวาย
ตอนที่ 28 : รู้หนังสือนำไปสู่ความวุ่นวาย
ทุกคนในตระกูลโจวต่างถามหาว่าปลาเหล่านี้มาจากที่ใด โจวป๋อเทาจึงบีบแขนของหลานสาวเบาๆ เป็นการส่งสัญญาณให้นาง “วันนี้พวกข้าโชคดี บังเอิญเจอฝูงปลาตะเพียนกำลังว่ายน้ำวางไข่ที่ริมตลิ่งพอดี”
“เหตุใดข้าถึงโชคไม่ดีเช่นนั้นบ้างหนอ ?” โจวซิ่งอี้เกาหัวตัวเองด้วยความน้อยใจ !
“พวกข้าก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ” โจวป๋อเทาเห็นว่าหลานสาวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จึงส่ายหน้าให้นาง จะให้คนอื่นรู้มิได้ว่าสวีฮุ่ยสามารถเรียกฝูงปลาได้ แค่ใบหน้างดงามหมดจดของนางก็เป็นจุดสนใจของผู้คนอยู่แล้ว หากพวกเขารู้เรื่องเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์เหล่านี้อีก เกรงว่านางอาจจะถูกผู้อื่นคิดมิดีต่อนางได้
โจวถงซื่อให้สะใภ้ทั้งสองทำปลาแล้วนำไปตากแดดไว้ สวีฮุ่ยจะได้นำกลับไปตอนหนูน้อยกลับบ้าน
เฉินกุ้ยฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นรีบก้มหน้าเบะปากด้วยความหงุดหงิด แม่สามีของนางช่างลำเอียงเหลือเกิน มีของดีอะไรก็มักจะคิดถึงน้องสาวสามีของนางเป็นประจำ ทั้งที่วันนี้ลูกสาวของนางก็ติดสอยห้อยตามไปยังริมน้ำด้วย แต่เหตุใดแม่สามีถึงมิแบ่งปลาไปให้บ้านแม่ของนางบ้าง
“ท่านแม่ ปลาเยอะขนาดนี้ พวกเราคงกินมิหมดหรอก สู้ให้ข้าและสะใภ้ใหญ่นำไปให้บ้านของพ่อแม่พวกข้าบ้างจะดีกว่าหรือไม่ !” เฉินกุ้ยฮวาแย้มยิ้มอย่างเสแสร้ง
บ้านพ่อแม่ของสะใภ้ใหญ่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหยุนเซี๋ยมาก ปกตินางจะกลับบ้านเฉพาะช่วงวันเกิดของพ่อแม่และเทศกาลสำคัญเท่านั้น
แต่กับเฉินกุ้ยฮวานั้นต่างออกไป บ้านแม่ของนางอยู่ในหมู่บ้านหยุนเซี๋ยเช่นกัน ใช้เวลาไปกลับแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
“เฉินกุ้ยฮวา เจ้าจงใจพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าบ้านของสะใภ้ใหญ่อยู่ไกลจากหมู่บ้าน มิสามารถนำปลาไปให้ที่บ้านได้ แต่เจ้าก็ยังอ้างถึงคนอื่นเขา ! ตระกูลโจวมีสะใภ้ทั้งหมด 3 คน จะต้องนำปลาไปส่งให้เท่าเทียมกันทุกคน หากเจ้ายอมจ่ายเงิน 200 อีแปะให้แก่ผู้ที่มิสะดวกกลับจากบ้านแม่เพราะระยะทางไกล เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าเอาปลาไปให้บ้านแม่ของเจ้าเช่นกัน !”
โจวถงซื่อมิได้โหดร้ายเหมือนแม่สามีคนอื่น ปกติหมู่บ้านหยุนเซี๋ยจะแบ่งที่นาให้คนละ 3 หมู่ สมาชิกตระกูลโจวมีมากที่สุด จึงมีที่ทางมากมาย โจวถงซื่อแบ่งผลผลิตให้แก่ตระกูลลูกชายคนละ 1 หมู่ ให้เก็บเข้าบ้านใครบ้านมันโดยมิต้องมอบให้พวกนางสองสามีภรรยา ปกติรายได้ที่ลูกชายไปทำงานข้างนอกและรายได้ที่สะใภ้เย็บปักถักร้อยขายจะตกเป็นของลูกชายและสะใภ้อยู่แล้ว นางมิได้เก็บเข้ากระเป๋าแม้แต่อีแปะเดียว
ทว่าโจวถงซื่อได้พูดไว้แล้วว่า หากหลานชายของนางแต่งงานหรือไม่ก็ตบแต่งเข้าเป็นสะใภ้บ้านใด นางและสามีจะช่วยออกค่าสินสมรสครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งให้ตระกูลของลูกชายออกเอง
ในยุคโบราณพบเห็นผู้อาวุโสเช่นนี้ได้น้อยมาก ขนาดสวีฮุ่ยยังรู้สึกชื่นชมผู้เป็นยายของตนมิน้อย
เฉินกุ้ยฮวาเสียดายเงิน 200 อีแปะ แต่ก็อยากนำปลาไปให้พ่อกับแม่ของตนได้กินบ้าง โจวถงซื่อที่คาดการณ์ทุกสิ่งไว้ล่วงหน้า ได้บอกทุกคนว่านางได้นับปลาทั้งหมดนี้ไว้แล้ว ใครก็ตามที่กล้าขโมยปลาไปมอบเป็นของขวัญให้บ้านอื่น นางจะให้คนๆ นั้นทำนาที่เหลือทั้งหมด และให้คนอื่นพักผ่อนกัน !
“ฮุ่ยฮุ่ยและเสี่ยวหลิงมีแต่กลิ่นคาวปลาเต็มตัวไปหมดแล้ว พวกหลานกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถิด ป๋อเทา เจ้ามากับแม่ !” โจวถงซื่อเองก็อยากรู้เช่นเดียวกันว่าปลาพวกนี้มาได้อย่างไร
“ท่านแม่ จะว่าไปเรื่องนี้มันก็แปลกเหลือเกิน ปลาพวกนั้นมันว่ายเข้ามาหาฮุ่ยฮุ่ยเอง มันว่ายวนอยู่รอบตัวนางเท่านั้น ไล่เยี่ยงไรก็มิยอมไป ประเดี๋ยวท่านต้องกำชับเสี่ยวหลิงให้ดี อย่าให้นางพูดเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ทางที่ดีอย่าได้บอกพี่สะใภ้รองเชียว ต่อไปนี้ข้าจะคอยดูแลฮุ่ยฮุ่ยมิให้นางออกไปไหนอีกแล้ว นางเป็นคนหัวดี มีพรสวรรค์ด้านการเรียน ให้นางเรียนรู้ตัวอักษรและตำราไว้ย่อมมิมีข้อเสีย !” โจวป๋อเทากำชับผู้เป็นแม่
“เจ้าจะบอกว่า……ฮุ่ยฮุ่ยเป็นเด็กเซียนน้อยที่มาจากสวรรค์จริงๆ ใช่หรือไม่ ?” โจวถงซื่อนึกถึงตำนานเล่าลือขึ้นมาทันที
ถึงเยี่ยงไร โจวป๋อเทาก็เป็นบัณฑิตผู้ร่ำเรียนหนังสือ ถึงแม้ว่าเขาจะมิสามารถอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวหลานสาวได้ แต่เขาก็มิเคยเชื่อคำเล่าลือเกี่ยวกับเด็กเซียนเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ ตอนเด็กข้าก็หน้าตาคล้ายกับฮุ่ยฮุ่ยมิใช่หรือ ? ข้าก็ยังเติบโตมาได้อย่างสงบสุข ! ท่านอย่าได้เชื่อคำเล่าลือมิมีมูลเหล่านั้นเลย ท่านแม่ไปทำอาหารเถิด ข้าเองก็จะไปเปลี่ยนชุดเช่นเดียวกัน ข้าถูกนางแกล้ง เสื้อผ้าของข้ามีแต่กลิ่นคาวปลาเต็มไปหมด”
หลังจากปลอบใจแม่ของตนแล้ว โจวป๋อเทานั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ก่อนออกจากบ้าน หลานสาวของเขาดูมีสีหน้ามั่นใจมาก แถมยังให้เขาถือถังไม้ไป นางรู้ได้เยี่ยงไรว่าวันนี้จะจับปลาได้เยอะถึงเพียงนั้น ? ดูท่าว่าคงต้องหาโอกาสถามนางแล้ว เพียงแต่กลัวว่านางจะมิพูดความจริง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว โจวถงซื่อให้เด็กน้อยทั้งสามนอนกลางวันบนเตียงของนาง ส่วนนางได้พาลูกสะใภ้ทั้งสองทำปลาและโรยเกลือเพื่อเตรียมตากต่อไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา โจวตงชูได้ตามผู้ใหญ่ไปลงแปลงนา โจวป๋อเทาพาหลานสาวที่เพิ่งตื่นสะลึมสะลือไปที่ห้องของเขา ส่วนโจวถงซื่อรับหน้าที่กำชับหลานสาวคนเล็กของตน
“ท่านอาเล็ก ข้าเพิ่งลืมตาตื่นเองนะเจ้าคะ ให้ข้าตื่นเต็มตาก่อนแล้วค่อยเขียนอักษรได้หรือไม่ ?” สวีฮุ่ยอ้าปากหาว !
“เจ้ามันใจใหญ่ใช้ได้เลย เกิดเรื่องแบบนี้แล้วยังนอนหลับลงได้ บอกอามาว่าเจ้าใช้วิธีใดดึงดูดปลาพวกนั้นให้มาหาเจ้า !”
สวีฮุ่ยมิคาดคิดว่าอาเล็กจะถามถึงเรื่องนี้ และยังมีทีท่าว่าหากมิสืบให้รู้อย่างแน่ชัดคงจะมิยอมรามือ
“ประมาณว่า……ปลาคงเห็นว่าข้าน่ารักน่ะ !” สวีฮุ่ยหันไปกระพริบตาใสแป๋วใส่โจวป๋อเทา
โจวป๋อเทาเห็นเช่นนั้นจึงบีบแก้มของหลานสาวด้วยความหมั่นไส้ระคนเอ็นดู “คงเป็นเพราะเหล่าปลาน้อยใหญ่พวกนั้นมิเคยเห็นสตรีน้อยหน้าหนาเช่นเจ้ามาก่อน วันนี้พวกมันจึงพากันออกมาชุมนุมเพื่อดูเจ้าเสียหน่อย !”
“อาเล็ก ก่อนที่เราจะมาที่ริมแม่น้ำ ท่านอาเล็กได้สัญญากับข้าไว้แล้วว่า หากวันนี้เราจับปลาได้ ต่อไปนี้ท่านจะรักและทะนุถนอมข้าเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ! มีใครบ้างที่สงสัยในตัวลูกสาวของตนเอง ข้าจะบอกท่านอาเล็กให้ ก่อนที่จะมายังหมู่บ้านหยุนเซี๋ย ข้า ท่านพ่อ ท่านแม่และท่านย่าต่างก็เคยไปหาปลาด้วยกัน
ครานั้นพวกข้าจับปลาได้ตั้งตัวละสามสิบกว่าชั่ง ขนาดท่านย่าของข้ายังบอกว่านางมิเคยเห็นปลาที่หนักขนาดนี้มาก่อน
แม้ข้าจะมิรู้เช่นเดียวกันว่าข้าดึงดูดปลาพวกนี้มาได้เยี่ยงไร คนในตระกูลของข้าก็มิเคยถามมาก่อน ต่อให้ตอนนี้ท่านจะบีบบังคับให้ข้าตอบ ข้าก็มิรู้จะตอบท่านเยี่ยงไรเหมือนกัน ! ” สวีฮุ่ยเถียงแบบหน้าตาย
“ข้าเพียงแค่ลองถามดูว่าเป็นเพราะเหตุใด ดูท่าทางของเจ้าสิ ! อาเล็กกลัวว่าหากมีใครรู้เรื่องนี้ อาจจะมาพาตัวเจ้าไปได้ ต่อไปนี้อย่าได้เปิดเผยฝีมือทำอาหารตามอำเภอใจอีก และมิอนุญาตให้ทำเรื่องที่ดึงดูดความสนใจผู้อื่นมากเกินไปอย่างเช่นวันนี้
คนเรารู้หน้ามิรู้ใจ บางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อเงินโดยมิสนว่ามันจะถูกหรือผิด เพื่อให้ได้เงินแล้ว พวกเขามิสนใจความเป็นความตายของผู้อื่นด้วยซ้ำ;ยิ่งไปกว่านั้นคนเราล้วนทนเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตนเองมิได้ เวลาเห็นผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่ามักจะเกิดความอิจฉาริษยาและอยากทำลายอีกฝ่าย”
“อาเล็ก ข้าเข้าใจแล้ว !” สวีฮุ่ยหุบยิ้มทะเล้น มีเพียงผู้ที่ห่วงใยนางอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะพูดเช่นนี้ได้
หลายวันต่อมา สวีฮุ่ยถูกโจวป๋อเทาดึงให้อยู่ที่บ้านเพื่อฝึกคัดอักษรและท่องตำราร้อยสกุล โจวตงหลิงมิมีความรู้พื้นฐานเรื่องเหล่านี้และนางเองก็มิอยากเรียนเช่นเดียวกัน เพียงแค่สองวัน นางก็ถูกสวีฮุ่ยนำหน้าไปหลายขุมแล้ว
เฉินกุ้ยฮวารู้สึกมิถูกชะตากับสวีฮุ่ยเอาเสียเลย เหตุใดถึงเรียนมิรอน้องสาวของตัวเองบ้าง เรียนให้มันช้ากว่านี้หน่อยมิได้หรือไร ? เป็นเพียงสตรีนางหนึ่งที่มิสามารถสอบจอหงวนได้แท้ ๆ แต่กลับเอาแต่นั่งขีดเขียนอยู่ในบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจัง คงอยากจะอวดว่าตนเองทำได้สินะ !
กระทั่งเรียนถึงวันที่สาม โจวตงหลิงปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะมิเรียนแล้ว เพราะนางมิเพียงแต่มิสามารถเขียนตัวอักษรได้เท่านั้น แต่ยังจำตำราร้อยสกุลที่พี่หญิงท่องมิได้อีกด้วย มิว่าเฉินกุ้ยฮวาจะพูดเยี่ยงไร นางก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธว่าจะมิเรียนแล้ว
“ทำไมเจ้ามิรู้จักเลียนแบบฮุ่ยฮุ่ยล่ะ เกิดมาหน้าตามิดีก็ช่าง แต่เหตุใดถึงได้สมองมิดีอีกด้วยล่ะ เจ้าเป็นหลานตระกูลโจวแท้ ๆ แต่กลับมิฉลาดเท่าหลานนอกตระกูล……”
โจวถงซื่อที่ได้ยินเช่นนั้นได้เดินมาถึงภายในห้องเพื่อตำหนิเฉินกุ้ยฮวา:“ก่อนหน้านี้ป๋อเทาได้พูดไว้แล้วว่าเขาสามารถสอนได้ แต่ใครจะได้มากน้อยเท่าใดนั้นต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน เสี่ยวหลิงมิชอบเขียนหนังสือ แล้วเจ้าจะบังคับนางเรียนไปทำไม แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับคนแซ่โจวแซ่สวี !
เจ้าแค่ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีก็เพียงพอแล้ว มิได้หาเรื่องใครสักวันมันทนมิได้ใช่ไหม ! ป๋อเทายังต้องไปสอบฮุ่ยซื่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนะ ! จะเอาเวลาที่ไหนจับมือจับไม้เด็กคนหนึ่งสอนเขียนอักษรได้เยี่ยงไร เจ้ามิเห็นหรือว่าส่วนใหญ่แล้ว ฮุ่ยฮุ่ยมักจะนั่งฝึกเขียนอักษรอยู่เพียงลำพังภายในห้อง ? หรือว่าเจ้าตาบอดไปแล้ว !
หากเจ้ายังหาเรื่องอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับไปบ้านตระกูลเฉิน ที่บ้านนี้มีข้า มีพ่อสามีของเจ้าอยู่ เจ้ามิต้องมาชี้นิ้วตะโกนด่าทอผู้อื่นปาว ๆ เยี่ยงนี้หรอก หากอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ให้หุบปากเสีย จะได้มิต้องถูกใครไล่ในภายหลัง ! ”