ตอนที่ 25 : บ้านยายมีสมาชิกเยอะจริงๆ
ตอนที่ 25 : บ้านยายมีสมาชิกเยอะจริงๆ
หมู่บ้านหยุนเซี๋ยอยู่ห่างจากหมู่บ้านฉือหลิ่งประมาณสิบกว่าลี้ หลังเดินออกมาจากหมู่บ้าน สวีฮุ่ยเริ่มเดินมิไหวแล้ว
“เพลานี้มีสองเส้นทาง เจ้าสามารถเลือกได้ หากเป็นเส้นทางภูเขา บางทีอาจพบเจองูหรือหมาป่า แต่มันจะใกล้กว่า ทว่าหากใช้เส้นทางทั่วไป เราน่าจะไปถึงบ้านยายของเจ้าก่อนฟ้ามืด ทว่าด้วยความเร็วเพลานี้น่าจะมิสามารถทำได้” โจวป๋อเทาหันไปมองสวีฮุ่ย เขาอยากรู้ว่าหลานสาวจะเลือกทางไหน
“อาเล็ก ท่านเป็นวรยุทธไหม ?” สวีฮุ่ยถาม
โจวป๋อเทาส่ายหน้า ตระกูลของพวกเขาแค่มีฐานะดีกว่าชาวไร่ชาวนาเพียงเล็กน้อย สามารถส่งเขาเรียนหนังสือได้ก็ถือว่ามิเลวแล้ว จะมีเงินเหลือเชิญอาจารย์มาฝึกยุทธ์ได้เยี่ยงไร
“งั้นคงมิสามารถใช้เส้นทางภูเขาได้แล้ว !” ที่นี่อยู่ในยุคโบราณ บนภูเขาต้องมีสัตว์ป่ามิน้อยแน่นอน หากให้บัณฑิตที่มิเป็นวรยุทธพาหลานสาวตัวน้อยเดินไปตามเส้นทางภูเขา นั่นมิเป็นการส่งตัวเองไปเป็นอาหารอันโอชะของสัตว์ป่าเอาหรือ ? พวกเขาสองคนรูปงามเพียงนี้ หากถูกสัตว์ป่ากินไปคงน่าเสียดายแย่ !
“หากใช้เส้นทางหลัก เจ้าจะทนเดินจนถึงหมู่บ้านหยุนเซี๋ยได้หรือไม่ ?” โจวป๋อเทามิค่อยเชื่อเสียเท่าไหร่
สวีฮุ่ยหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้ามีอาเล็กอยู่ทั้งคนมิใช่หรือ ? ตอนข้าเดินมิไหว หรือท่านจะทิ้งหลานสาวตัวน้อยอย่างมิใยดีงั้นหรือ !”
เด็กน้อยผู้นี้กล้าขู่อาของตัวเอง มีความสามารถมิเบาเลยนะ ! โจวป๋อเทาแสร้งทำเป็นโกรธเกรี้ยวสะบัดหน้าหนี แล้วเดินหน้าต่อโดยมิสนใจหนูน้อย ทว่าพอเขาหันกลับไปมองก็พบว่าสวีฮุ่ยนั่งลงบนพื้นกอดห่อผ้าสัมภาระของตนเอาไว้ในอก แล้วมองไปรอบด้าน
“เจ้ามิเดินมาแล้วจะมัวมองอะไรหรือ ?”
“ข้าอยากดูว่าพ่อแม่ของข้าลงแปลงนาเสร็จแล้วจะผ่านทางนี้หรือไม่ หากพวกเขาผ่านมาทางนี้ ข้าจะได้กลับบ้านพร้อมกับพวกเขา !” สวีฮุ่ยเลียนแบบโจวป๋อเทาโดยสะบัดหน้าหนีขณะพูดไปด้วย
สุดท้าย โจวป๋อเทาต้องเดินกลับไปอย่างยอมรับชะตากรรม เขานั่งลงแล้วตบที่บ่าของตนเอง สวีฮุ่ยปีนขึ้นหลังของอาเล็กอย่างมีความสุข มีบุรุษรูปงามให้ขี่หลังเช่นนี้ นางจึงรู้สึกสบายตัวจากภายในสู่ภายนอก
“เจ้าดูอาของเจ้าสิ ! ทั้งซื้อน้ำตาลไปฝากเจ้า และเดินทางไกลมารับเจ้าถึงหมู่บ้านฉือหลิ่งเพื่อให้เจ้าไปอยู่บ้านยายสักสองสามวัน แต่เจ้ากลับทำสีหน้ามิเต็มใจเสียได้ !”
“ใครบอกกันเล่า ? ข้าคิดถึงท่านตาและท่านยายมาก ท่านอาอย่าได้กล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว ข้าแค่เห็นว่าท่านพ่อท่านแม่ทำงานมาเหนื่อย ๆ จึงอยากช่วยพวกเขาจัดเตรียมอาหาร ข้าถึงได้อยากอยู่ที่บ้าน มิใช่มิอยากไปบ้านท่านยาย !”
“งั้นหรือ ? แต่ที่ข้าเห็นมิเป็นเช่นนั้นนี่ สีหน้าของเจ้าตอนที่รู้ว่าต้องมาบ้านท่านยายดูมิเต็มใจ มิอยากมาเสียขนาดนั้น !”
“เฮ้อ ตอนแรกข้าก็อยากลงไปเดินเอง !” สวีฮุ่ยถอนหายใจ
“ตอนนี้ล่ะ ?”
“ข้าเสียใจ เดินมิไหวแล้ว รบกวนอาเล็กให้ข้าขี่หลังไปจนถึงหมู่บ้านหยุนเซี๋ยด้วย !”
เจ้าหลานคนนี้ไปเลียนแบบนิสัยเสียมาจากไหน เมื่อก่อนนางมิได้เป็นแบบนี้นี่ !
ในตอนที่สองอาหลานมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านหยุนเซี๋ย สวีฮุ่ยก็โวยวายจะลงจากหลังไปเดินเอง
“เด็กน้อย อาแบกเจ้ามาตลอดทาง พอใกล้ถึงบ้านเจ้าอยากจะเดินเอง นี่เจ้าจงใจรึ !”
“ข้าก็แค่จะช่วยแบ่งเบาภาระท่านอาไม่ดีหรือ ? มิยอมรับน้ำใจผู้อื่นแต่กลับมาว่าเขา ไปกันเถอะ เดินหน้ากันต่อดีกว่า !” สวีฮุ่ยยื่นแขนเล็ก ๆ ไปยังเบื้องหน้า
“มิใช่กระมัง นี่เจ้าลืมแม้กระทั่งทางไปบ้านท่านตาท่านยายของเจ้าหรือนี่ บ้านของเราอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน !” โจวป๋อเทาตีมือหลานสาวเบาๆ หรือว่าหลานสาวของเขาจะเลอะเลือนไปตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บครานั้น ?
สวีฮุ่ยแอบแลบลิ้นใส่หลังโจวป๋อเทา นางจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าบ้านของตระกูลโจวอยู่ที่ใด ! หวังว่าถึงบ้านตระกูลโจวแล้ว นางจะมิเผยพิรุธอันใดอีก
“เป็นเพราะข้าตื่นเต้นเกินไปต่างหาก ข้าถึงได้ชี้ไปทั่ว ! ท่านอาก็อย่าได้จริงจังนักเลย รีบไปเถิด ข้าคิดถึงท่านตาท่านยายจะแย่แล้ว !”
บ้านของตระกูลโจวใหญ่กว่าบ้านของตระกูลสวีมาก ดูแล้วน่าจะอยู่กันเป็นตระกูลใหญ่ เท่าที่สวีฮุ่ยรู้นั้น คนที่นางขี่หลังอยู่คืออาเล็กของนาง นอกจากนี้นางยังมีท่านลุงอีกสองคน นางเคยเห็นป้าสะใภ้ใหญ่แล้ว และนอกจากลูกพี่ลูกน้องหญิงอย่างโจวตงชูแล้ว ในบ้านใหญ่ของตระกูลโจวยังมีท่านลุงและลูกพี่ลูกน้องชายอีกสองคน;ส่วนลุงรองก็มีลูกอีกสามคนเช่นเดียวกัน……
“ฮุ่ยฮุ่ยมาแล้วหรือ ? รีบมาให้ยายดูบาดแผลของเจ้าหน่อย !” โจวถงซื่อยืนชะเง้อคอรออยู่หน้าประตูใหญ่มานานแล้ว
คนตรงหน้าจะต้องเป็นท่านยายอย่างแน่นอน สวีฮุ่ยจึงตะโกนเรียกเสียงหวานว่า “ท่านยาย” จากนั้นก็ตีหลังของอาเล็กเบา ๆ เพราะตอนนี้นางสามารถลงไปเดินเองได้แล้ว
โจวถงซื่อรีบเข้ามาเปิดผมหลานสาวดูอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าบาดแผลสมานกันดีแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยแดงเท่านั้น นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลานสาวของนางช่างโชคดีเหลือเกิน หลายวันก่อนยังเป็นแผลเลือดไหลอาบขนาดนั้นอยู่เลย ผ่านไปมิกี่วันแผลก็สมานกันดีแล้ว หรือว่าเด็กน้อยฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ?
หลังจากทั้งสามเดินเข้ามาในบ้านแล้ว โจวป๋อเทาแสร้งพูดแหย่หลานสาวไปว่า “ใครหนอที่บอกว่าตัวเองหน้าเหมือนข้า ตอนนี้คงแตกต่างแล้วสินะ !”
“ข้าเป็นเด็กนะ ผ่านไปสักสองปีรอยแผลเป็นคนจางหายไปแล้ว ขนาดคนอื่นยังบอกเลยว่าข้าและท่านอาหน้าตาเหมือนกัน ! หรือท่านอารู้สึกอัปยศที่ข้าหน้าตาเหมือนท่าน ?”
เมื่อตอนสายครั้นอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่เจ้าบอกว่าอะไรหนอ…….บอกว่าข้าหน้าตาเหมือนเจ้าใช่ไหม ? พอมาถึงบ้านตระกูลโจวก็เปลี่ยนคำพูดเสียแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง
“วันนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้อาจะสอนเจ้าเขียนตัวอักษร คัดมิเสร็จจะต้องโดนตีมือ !” โจวป๋อเทาแกล้งขู่หลานสาว
“มิมีปัญหา หากข้าเรียนรู้ได้เร็วขึ้นมาล่ะ? อาเล็กคิดไว้หรือยังว่าจะให้รางวัลอะไรแก่ข้า!” สวีฮุ่ยตัดสินใจแล้วว่าจะใช้โอกาสตอนที่อยู่บ้านยายทำให้ทุกคนมองว่านางเรียนรู้ตัวอักษรได้เร็ว ทว่าต่อให้นางอยากให้มันดูเร็วแค่ไหน ก็ต้องมิทำให้ผู้อื่นสงสัย
และในตอนที่สมาชิกตระกูลโจวกลับมาจากทำไร่ทำนาแล้ว สวีฮุ่ยพลันเกิดความรู้สึกตาลายไปชั่วขณะ พอนับจำนวนผู้ใหญ่และเด็กรวมกันแล้ว นี่มันสิบกว่าคนเชียวนะ……เกิดเรียกผิดขึ้นมา คนอื่นได้สงสัยแน่นอน
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้ามาแล้วหรือ ข้าบอกแล้วว่าหากให้อาเล็กไป นางจะต้องยอมมาแน่นอน” โจวตงชูวิ่งมาหาสวีฮุ่ย แล้วจับมือนางถามไถ่อย่างสนิทสนม
“ท่านตา ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่;ลุงรอง ป้าสะใภ้รอง;ท่านพี่ พี่หญิง น้องหญิง พวกท่านกลับมาแล้ว !” สวีฮุ่ยมอบรอยยิ้มหวานให้ทุกคน แม้ว่าการทักทายเช่นนี้จะเป็นการเหมารวมไปหน่อย แต่ก็เกิดข้อผิดพลาดได้ยาก !
“เด็กคนนี้ ยังจะเกรงใจคนกันเองอีกหรือ !” ซุนเซียงดึงผ้าซับเหงื่อออกจากราวตากผ้าและลูบปัดฝุ่นบนร่างกายของนาง
“ตระกูลเดียวกันทั้งนั้น ฮุ่ยฮุ่ยมิต้องเกรงใจ อยากกินอะไรให้บอกป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าได้เลย ขอเป็นสิ่งที่มีในบ้าน เจ้าอยากกินอะไรย่อมได้ทั้งนั้น !” โจวป๋อหยางกล่าว
ท่านนี้น่าจะเป็นลุงใหญ่ของนาง ตอนนี้นางเริ่มจำสมาชิกในตระกูลได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
“ท่านตา !” สวีฮุ่ยทักทายบุรุษที่ดูมีอายุมากที่สุด โจวหมิงหลี่ยื่นมือที่เหี่ยวทว่าแข็งแรงมาลูบศีรษะหลานสาวตัวน้อย “แผลที่ศีรษะของหลานหายดีหรือยัง !”
“หายดีแล้ว ตอนนี้สะเก็ดแผลใกล้หลุดหมดแล้วเจ้าค่ะ !”
ในเวลานี้เอง มีคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา “รอยแผลเป็นของฮุ่ยฮุ่ยจะต้องหายไปในเร็ววันแน่นอน ฮุ่ยฮุ่ยมิต้องกังวลนะ !”
สวีฮุ่ยลำดับญาติในใจ และในที่สุดนางก็ได้ข้อสรุปว่าสองคนนี้คือลูกชายคนโตของลุงใหญ่และภรรยาของเขา
เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ตนเองจำผิดคน สวีฮุ่ยจึงเพียงแค่ส่งรอยยิ้มหวานให้ แต่มิได้พูดอะไร
“พี่หญิง ท่านยิ้มสวยยิ่งนัก ดูดีกว่าท่านอาเล็กเสียอีก !” เด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าสวีฮุ่ยเล็กน้อยจับจ้องมาที่ใบหน้าของนาง
“พี่หญิงของเจ้าเป็นถึงเซียนน้อยแห่งหมู่บ้านฉือหลิ่งเชียวนะ พวกเจ้าเทียบนางมิติดหรอก !” สตรีคนหนึ่งที่น่าจะมีอายุอานามรุ่นเดียวกับซุนเซียงเดินเข้ามาดึงเด็กหญิงตัวน้อยออกไป แค่หลานนอกตระกูลคนหนึ่งมาที่บ้านตระกูลโจว มีสิทธิ์อะไรในการช่วงชิงความสนใจของทุกคนไป ทำให้ทุกคนปฏิบัติต่อนางราวกับนางเป็นนางฟ้านางสวรรค์
สวีฮุ่ยชะงักไปเล็กน้อย สตรีผู้นี้มิเป็นมิตรเอาเสียเลย หรือว่าบ้านท่านยายจะมีญาติขี้อิจฉาด้วย ? รู้เช่นนี้มิมาเสียตั้งแต่ทีแรกดีกว่า
“เฉินกุ้ยฮวา เจ้าพูดจาให้มันดี ๆ หน่อย หลานสาวของข้ามิได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นประจำทุกปีเสียหน่อย หรือว่าลูก ๆ ของเจ้ามิได้ไปเยี่ยมบ้านญาติ ? พวกข้ามิเคยกินหรือดื่มอาหารของเจ้า ดังนั้นเก็บคำพูดของเจ้าเสีย หากมิอยากอยู่ที่นี่ ตัวเองก็ย้ายออกไปเองสิ !” โจวถงซื่อเข้ามาปกป้องหลานสาวไว้ในอ้อมแขนของตนเอง