ตอนที่ 23 : ยังอยากพาหลานสาวกลับไป
ตอนที่ 23 : ยังอยากพาหลานสาวกลับไป
สวีฮุ่ยเห็นว่าอาเล็กใช้สายตาเพ่งพินิจมองมาที่ตนเอง ด้วยความกลัวว่าจะเผยพิรุธ นางจึงตัดสินใจแน่วแน่และหลับตาปี๋พลางกอดขาอันเล็กของตนเอง……ก่อนจะเริ่มปั้นเรื่องเล่าความเท็จ “นับตั้งแต่ที่ข้าถูกอาหญิงผลักหัวกระแทกบ่อน้ำ ข้าก็มักจะฝันแปลกๆ เป็นประจำ ในฝันนั้นข้าเห็นว่าตนเองได้รับสูตรภาพทำอาหารมา ดังนั้นข้าจึงเรียนรู้วิธีทำอาหารมาจากในนั้น
ข้ารู้ว่าเรื่องนี้มันแปลกมาก และเป็นเพราะมันแปลกนี่เอง ส่วนใหญ่เวลาพูดออกไปจึงมิมีใครเชื่อ ข้าจึงมิกล้าเล่า มิใช่เพราะอยากปิดบังคนในตระกูลตัวเอง
เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าขี้ขลาดและหวาดกลัวง่าย จึงถูกย่าใหญ่และอาหญิงรังแกเป็นประจำ ทำให้ทุกคนต้องเป็นกังวล ครานี้ในยามที่ข้าเกือบตายนั้น ข้าคิดได้ว่าตนเองมิควรอ่อนแอเช่นนี้อีกแล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตกับตระกูลอย่างมีความสุข มิอยากคอยหลบหลังคนในตระกูลไปตลอด แล้วรอให้คนอื่นมาคอยปกป้องอย่างเดียว ! ”
สวีฮุ่ยพูดมาเช่นนี้ โจวป๋อเทาที่เป็นอาของนางได้ยินเข้าก็พลันเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นจับใจ พอเข้าใจได้ที่คนเราจะเปลี่ยนนิสัยในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเพื่อเอาชีวิตรอด
ตอนนี้หลานสาวของเขาทั้งดูเฉลียวฉลาดและทำให้คนสงสารยิ่งกว่าเดิม โจวป๋อเทาจึงนั่งยอง ๆ แล้วลูบหัวหลานสาวด้วยความเอ็นดู “มิใช่ว่าอาเล็กมิเชื่อเจ้า เพียงแต่พอได้ยินเสี่ยวหลินจื่อบอกว่าเจ้าทำอาหารเป็น อาก็แค่แปลกใจเล็กน้อย และรู้สึกปวดใจเช่นเดียวกัน ต่อไปมีอะไรเจ้าก็ต้องพูดออกมา อย่าเก็บไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว”
“อาเล็กมิได้มาหาเจ้านานแล้ว ฮุ่ยฮุ่ยทำของอร่อยต้อนรับอาเล็กหน่อยสิ !” โจวป๋อเทากล่าว
ตอนนี้ที่พอเอาออกมาทำอาหารได้ก็มีเพียงแค่ปลาเค็มเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น แล้วก็คงทำได้แค่ยำผักป่า แล้วยังสามารถทำอะไรได้อีกนะหรือ……สวีฮุ่ยกำลังคิด
โจวป๋อเทาเอาเนื้อออกมาชิ้นนึง ซึ่งเป็นเนื้อสามชั้นหนักราวห้าชั่ง นอกจากนี้ยังมีซี่โครงหมูอีกหนึ่งแถวและขนมอีกสองห่อ
“อาเล็กช่างดีเหลือเกิน !” สวีเจี้ยนหลินรับของมาจากในมือของโจวป๋อเทา แล้วยื่นขนมให้น้องสาว “น้องเล็ก เจ้ากินสิ !”
“เดี๋ยวข้าจะไปทำเนื้อ อาเล็ก เที่ยงวันนี้ข้าจะทำเนื้อตุ๋นน้ำแดงและซี่โครงหมูซอสเปรี้ยวหวานให้ท่านกิน ท่านจะได้ชิมฝีมือของข้า !” ในที่สุดก็ได้กินเนื้อสักที โชคดีที่วันนี้พี่รองอยู่บ้านเป็นเพื่อนนาง หากเป็นท่านย่า มีหวังมิยอมให้นางทำเมนูเนื้อเยอะขนาดนี้แน่นอน
“ได้สิ วันนี้อาจะชิมฝีมือของหลานสาว เจ้าไปทำอาหารเถอะ อาจะท่องตำราที่ลานบ้าน !” โจวป๋อเทาขยับเก้าอี้มานั่งใต้ร่มไม้ แล้วหยิบตำราออกมาท่อง
ว้าว เวลาบุรุษหนุ่มรูปงามท่องตำราแล้วดูมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้นี่เอง คนที่บ้านล้วนบอกว่านางโตมาเหมือนอาเล็ก เช่นนั้นหมายความว่านางเองก็รูปงามเหมือนกันใช่ไหม ! สงสัยคืนนี้คงต้องเข้ามิติไปหากระจกมาส่องดูเสียหน่อย ถ้าทะลุมิติมาเป็นสาวงามล่มเมืองก็ถือว่ามิเลวเช่นเดียวกัน !
“การทะลุมิติมาเป็นสาวงามในยุคโบราณใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เพราะหนึ่งเลย; ตระกูลสวีไม่มีอำนาจ สอง; ไม่มีอิทธิพล หากเจ้าเกิดมารูปงามเกินไปก็อาจถูกคนอื่นมาชิงตัวไปได้ !
หากเป็นบุรุษหนุ่มโสดมีเงินก็ยังพอได้ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีภรรยาอยู่แล้ว เจ้าแต่งเข้าไปก็มีแต่จะเป็นได้แค่อนุเท่านั้น ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ หากเจ้าถูกโจรป่าลักพาตัวไป เจ้าจะเป็นได้แค่ภรรยาโจรและอย่าได้คิดที่จะออกจากรังโจรอีกเลย ! ” เฮ่อจิ่นกล่าวดักสวีฮุ่ยมาจากในมิติ
“ไม่พูดถึงข้าในแง่ดีๆ บ้างเล่า เหตุใดถึงไม่บอกว่าข้าอาจจะถูกชิงตัวไปเป็นฮองเฮา หรือไม่ก็ภรรยาของโหวผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย !” สวีฮุ่ยแอบบ่นในใจ นางสื่อสารกับเฮ่อจิ่นผ่านจิต หากนางคิดอะไร อีกฝ่ายก็จะรับรู้ได้โดยไม่ต้องพูดออกมา
“คนประเภทนั้นมีภรรยากี่คน เจ้าจะยอมหรือ ?”
สวีฮุ่ยส่ายหน้าปฏิเสธ นางยอมไม่แต่งกับผู้ใดเลย ดีกว่าต้องแต่งกับบุรุษที่มีภรรยาสามสี่คน
“ดังนั้น จงอย่าไปคิดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เหล่านั้นเลย รีบหาเงินดีกว่า หากเจ้ามีเงิน เจ้าก็จะมีอิสระเป็นของตนเอง มิเช่นนั้นทุกอย่างจะเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น !” เฮ่อจิ่นเตือนสติสวีฮุ่ยอีกครั้ง
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะพ่อบ้าน !” ตอนนี้นางอยากหาเงินให้ได้มากๆ แต่น่าเสียดายที่ความคิดมันสวยหรู ทว่าความเป็นจริงช่างรันทด ฐานะของตระกูลสวีก็เป็นเช่นนี้ อีกทั้งตอนนี้นางยังเด็กเกินไป อยากจะเปิดร้านอาหารขึ้นในทันทีทันใดนั้นเป็นไปมิได้เลย
ดังนั้นทำอาหารกลางวันดีกว่า สวีฮุ่ยวิ่งมาตรงหน้าอาเล็ก ขอร้องให้เขาช่วยนางหั่นซี่โครงหมูเป็นชิ้น เพราะนางแรงน้อย หั่นมิไหว
ได้ดูบุรุษหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนกำลังหั่นเนื้อ สวีฮุ่ยรู้สึกชื่นใจเหลือเกิน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีสำนวนที่ว่า ‘งดงามจนอยากกลืนกิน’ สำนวนโบราณไม่ได้หลอกลวงจริงด้วย !
หลังจากหั่นซี่โครงหมูเสร็จแล้ว โจวป๋อเทาได้หันไปถามหลานสาวว่าต้องหั่นเนื้อชิ้นนั้นด้วยหรือไม่ ? ต้องการให้เขาช่วยหั่นให้ไหม
“เรื่องนี้ข้าทำได้ อาเล็กไปท่องตำราเถิด ! หากท่านรู้สึกว่านอกบ้านมันร้อนไป ท่านก็เข้าไปอ่านในห้องข้าได้ ท่านรอกินข้าวทีเดียวเถิด !”
“มิต้องการให้อาช่วยจริงหรือ ? เสี่ยวหลินจื่อ เจ้าไปช่วยฮุ่ยฮุ่ยทำครัวเถิด !” โจวป๋อเทาล้างมือให้สะอาดแล้วเดินออกไป
สวีฮุ่ยใส่ซี่โครงหมูลงไปหมักกับเครื่องปรุง จากนั้นให้พี่รองช่วยนางก่อไฟและช่วยล้างหม้อให้สะอาด สวีฮุ่ยหาเห็ดตากแห้งมาแช่น้ำไว้ แล้วเอาอ่างออกมาใบหนึ่ง ใส่ข้าวสารลงไปสองสามกำมือ ข้าวฟ่างใส่ลงไปอีกครึ่งกะละมัง แล้วใส่น้ำลงไปอย่างเหมาะสม
จากนั้นนางใส่น้ำมันหมูครึ่งทัพพีลงไปในหม้อที่ตั้งไฟไว้ ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย แล้วใส่ซี่โครงหมูที่หมักกับเครื่องเทศจนได้ที่แล้วลงไปผัดในหม้อด้วยไฟแรง ถึงเติมน้ำซุปและน้ำแร่จากในมิติลงไป หลังจากเคี่ยวพอประมาณแล้ว นางได้หาซึ้งมาแล้วนำกะละมังที่เตรียมข้าวไว้ลงไปนึ่งในซึ้ง
หลังจากเตรียมซุปซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานแล้ว เตาของหม้อข้างกันได้ถูกจุดไฟแล้ว สวีฮุ่ยหั่นแบ่งเนื้อหมูสามชั้นออกมาหนึ่งในสามส่วน แล้วส่วนที่เหลือนำห่อผ้าสะอาดและเก็บไว้ในตะกร้าที่ห้องใต้ดิน
หลังจากหั่นเนื้อเป็นชิ้นเสร็จแล้ว สวีฮุ่ยให้พี่รองเติมฟืนโหมไฟให้แรงขึ้น เพราะสามชั้นตุ๋นน้ำแดงจะต้องตุ๋นด้วยความร้อนสูง เพื่อให้มันหมูไม่เลี่ยน
โจวป๋อเทาที่นั่งท่องตำราอยู่หน้าประตูใช้จมูกดมฟุดฟิด กลิ่นที่โชยออกมาจากห้องครัวช่างหอมเหลือเกิน คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยอายุเพียงหกขวบจะมีความสามารถเพียงนี้
ดูเหมือนวันนี้จะลาภปากเสียแล้ว ทว่าหลานสาวของเขาดูเหมือนกำลังคิดจะใช้ข้ออ้างว่าต้องช่วยทำอาหารที่บ้านมาปฏิเสธที่จะกลับบ้านยายกับเขา ดังนั้นเขาจะชื่นชมนางเกินไปมิได้
ตอนนี้นางถึงวัยที่ต้องเรียนรู้ตัวอักษรแล้ว ซึ่งช่วงนี้เขามีเวลาว่างพอดี สามารถช่วยสอนให้นางได้ สตรีน้อยที่งดงามหมดจดเช่นนี้ หากมิรู้หนังสือเลยมีแต่จะเสียเปรียบ
โจวป๋อเทาอยากลาก……เอ่อ อยากพาหลานสาวกลับบ้านใจจะขาด ต่อให้กลิ่นหอมของอาหารในครัวจะยิ่งหอมมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็จะมิมีวันเปลี่ยนความคิดตนเองเด็ดขาด
ตระกูลสวีกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน ยังมิทันถึงประตูบ้าน สวีเจี้ยนเหวินก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อลอยโชยมาแต่ไกล “มันคือกลิ่นเนื้อ ท่านย่า ท่านแม่ พวกท่านได้กลิ่นหรือไม่ มันหอมมากเลย ! น้องเล็กของข้าจะต้องเข้าครัวอีกแล้วเป็นแน่ !”
แต่ที่บ้านมิมีเนื้อนี่นา ? เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยรีบเร่งฝีเท้าเดินกลับบ้าน และพอเปิดประตูบ้านเข้าไปก็พบว่ากลิ่นหอมของเนื้อมันเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
“ป๋อเทา ? เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด !” โจวเสี่ยวเหมยเห็นหน้าน้องชายก็ตะโกนเรียกเขาด้วยความตื่นเต้น มิน่าล่ะว่าเหตุใดบ้านของพวกนางถึงมีกลิ่นเนื้อโชยมา น้องชายของนางจะต้องเอาเงินจากการรับจ้างคัดตำรามาซื้อเนื้อให้แน่นอน
“ท่านป้า พี่เขย ท่านพี่ พวกท่านกลับมาแล้วหรือ !” โจวป๋อเทาวางตำราลง แล้วเดินเข้ามาช่วยถอดกระบุงออกจากหลังของเติ้งอาเหลียน พลางตบบ่าหลานชายคนโต
“ตอนอยู่หน้าประตู พวกข้าก็ตกใจ ทั้งที่บ้านมิได้ซื้อเนื้อมา แต่เหตุใดถึงมีกลิ่นหอมของเนื้อลอยออกมาได้ ? เป็นป๋อเทานี่เอง ทุกครั้งที่มาเยี่ยมกันก็มักจะนำขนมและเนื้อติดไม้ติดมือมาฝากเสมอ มิต้องเกรงใจ ๆ ทำตัวตามสบายเลย” เติ้งอาเหลียนยืนอยู่ห่าง ๆ ปัดสิ่งสกปรกบนร่างกายออก และเตรียมเข้าไปในครัวเพื่อดูว่าหลานสาวทำอาหารอะไรอร่อยบ้าง