ตอนที่ 22 : อาเล็กเหมือนข้ามาก
ตอนที่ 22 : อาเล็กเหมือนข้ามาก
หลังจากส่งแม่นางหลี่กลับบ้านแล้ว ก็ถึงเวลาเปิดฝาหม้อที่นึ่งซาลาเปาเสียที หลังจากที่เปิดฝาหม้อแล้วรอให้ไอน้ำหายไปจนหมดแล้ว เติ้งอาเหลียนจึงกล่าวขึ้นว่า “ดมแล้วมีกลิ่นหอมแปลกๆ เหมือนกันนี่ !”
“เวลากินจะหอมอร่อยกว่านี้อีก ท่านย่า ท่านลองชิมชิ้นนึงก่อนสิ !” สวีฮุ่ยใช้ตะเกียบคีบซาลาเปาขึ้นมาชิ้นนึง หลังจากเป่าจนหายร้อนแล้วก็ยื่นไปให้ท่านย่า
“ว้าว ที่บ้านทำของอร่อยอีกแล้ว ข้าได้กลิ่นหอมจากหน้าประตูเลย พี่ใหญ่รีบเดินเข้า ข้าหิวแล้ว วันนี้น้องเล็กเป็นคนทำอาหารเชียวนะ !” สวีเจี้ยนหลินพูดพลางผลักประตูเข้ามา
เพียงมินาน รองเท้าข้างหนึ่งก็ลอยมาที่หัวเขา สวีเจี้ยนหลินรีบยื่นมือไปคว้ารองเท้ามาหนีบไว้ข้างแขน “ท่านย่า ข้าอุตส่าห์ทำงานมาตลอดทั้งเช้า แต่ท่านกลับต้อนรับข้ากลับบ้านด้วยวิธีนี้น่ะหรือ !”
“ข้าเองก็ยุ่งมาตลอดทั้งเช้าเช่นเดียวกัน แต่พอหลานชายของข้าพูดมาแบบนี้ ราวกับจะบอกว่าย่าไม่ได้ทำการทำงานทั้งวันอย่างไรอย่างนั้น เสี่ยวหลินจื่อ เจ้าเอารองเท้ามาใส่ให้ย่าเดี๋ยวนี้ !” เติ้งอาเหลียนแกว่งเท้าข้างที่ไม่มีรองเท้า นับวันเจ้าหลานคนนี้ก็ยิ่งปากร้ายขึ้นทุกที
“เฮ้อ ไปบอกใครเขาจะเชื่อ ถูกคนเขาเอารองเท้าตีหัวแล้วยังต้องเอารองเท้าไปใส่คืนให้เขาอีก !” เขาได้แต่คร่ำครวญว่าตัวเองไปทำเวรทำกรรมอะไรมาหนอ
“สมควรแล้ว ใครใช้ให้เจ้าปากดีล่ะ !” สวีเจี้ยนเหวินตักน้ำมาให้พ่อกับแม่ล้างมือก่อน พอถึงตาพวกเขา ท่านย่าก็สวมรองเท้าเสร็จพอดี สวีเจี้ยนเหวินจึงหิ้วคอเสื้อน้องชายแล้วลากมาที่ข้างอ่างน้ำ “รีบล้างมือกินข้าว กินข้าวแล้วพักผ่อน สักประเดี๋ยวก็ต้องไปปลูกพืชต่อแล้ว !”
สวีฮุ่ยหันไปมองพี่รองตัวเองด้วยความสงสาร พี่รองของนางคนนี้ทั้งทำงานหนักและต้องมาถูกบ่นถูกรองเท้าตีบ่อยครั้ง
“กลางวันนี้มิกินแป้งทอดกันหรือ ?” สวีเจี้ยนหลินคิดถึงล้างมือเสร็จนั่งลงบนเก้าอี้พลางถาม เขาอยากกินแป้งทอดฝีมือน้องสาวมาหลายวันแล้ว
“ได้ งั้นพวกเรากินซาลาเปาไส้ผัก ส่วนเจ้ากินแป้งทอดไปคนเดียวเลย” เติ้งอาเหลียนหยิบแป้งทอดออกมาสองสามแผ่นแล้ววางตรงหน้าหลานชาย แล้วดึงชามที่เต็มไปด้วยซาลาเปาที่กำลังร้อนกรุ่น ๆ มาตรงกลางโต๊ะ
สวีเจี้ยนหลินกลอกตา จากนั้นก็โน้มหน้าไปดมกลิ่นซาลาเปา “ใส่เนื้อลงไปในซาลาเปาด้วยใช่หรือไม่ ?”
มิฉะนั้นกลิ่นของซาลาเปาจะหอมถึงเพียงนี้เชียวหรือ !
“สรุปเจ้าจะกินไหม !” คราวนี้คนที่ดุใส่เขาก็คือโจวเสี่ยวเหมย
“ข้าขอชิมซาลาเปาชิ้นนึงก่อน แล้วค่อยตัดสินใจได้หรือไม่ !” สวีเจี้ยนหลินหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดหนึ่งคำพลางพินิจพิจารณาไส้ของซาลาเปาไปด้วย นี่มันคือผักกาดขาวที่ปลูกไว้หลังบ้านหรือว่าผักป่าที่ขึ้นบนภูเขากันแน่ ทำไมกินแล้วไม่เหมือนผักทั้งสองชนิดนั้นเลย !
คนอื่นไม่มีใครสนใจสวีเจี้ยนหลิน ต่างคนต่างหยิบซาลาเปาขึ้นมากินและตักซุปขึ้นมาดื่ม โจวเสี่ยวเหมยชิมแล้วรู้ได้ทันทีว่าไส้ของซาลาเปามิได้ทำมาจากผักที่ปลูกในบ้าน จึงถามแม่สามีและลูกสาวว่าตอนสายออกจากบ้านไปเก็บผักป่ามาใช่หรือไม่ ?
“ใช่แล้วท่านแม่ แต่ส่วนใหญ่ให้ย่าหลี่ไปแล้ว จริงสิ วันนี้ย่าหลี่เอาเต้าหู้มาให้เราหลายชิ้น ประเดี๋ยวตอนเย็นข้าจะผัดเต้าหู้ให้พวกท่านกิน !” สวีฮุ่ยยังมิเห็นว่าเต้าหู้ที่ย่าหลี่เอามาให้มีหน้าตาเยี่ยงไร แต่จากที่นางวิเคราะห์วิถีชีวิตและความเคยชินของชาวบ้านในหมู่บ้านฉือหลิ่ง บรรดาเต้าหู้เหล่านั้นน่าจะทำมาจากถั่วบดผสมหัวไชเท้าหั่นบาง ให้มีรสเค็มเล็กน้อย
เต้าหู้ยังสามารถผัดได้อีกหรือ ! ถึงแม้ว่าซาลาเปาและซุปที่คนในตระกูลสวีกินจะมิมีเนื้อ แต่รสชาติซาลาเปากลับอร่อย ส่วนซุปก็ซดแล้วสดชื่น พวกเขาจึงมิมีข้อครหาต่อความสามารถในการทำอาหารของสวีฮุ่ย ราวกับว่ามีเพียงสิ่งที่พวกเขาคาดมิถึง แต่มิมีสิ่งใดที่สวีฮุ่ยทำมิได้
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว โจวเสี่ยวเหมยได้แต่ทอดถอนใจกับอดีตที่ผ่านมา เพราะเมื่อก่อนหลังลงแปลงเพาะปลูกกลับมาแล้วก็จะได้กินแค่ข้าวฟ่างธรรมดาหรือไม่ก็แป้งทอดแห้ง ๆ เท่านั้น หลังจากป้อนยาให้วัวแก่และให้อาหารเป็ดไก่แล้วก็ต้องกลับไปทำงานต่อ
เมื่อก่อนพวกเขาได้กินแค่แป้งทอดที่ทั้งแห้งและแข็ง ยากที่จะกลืนลงคอ พอกินแล้วก็อืดท้องทั้งวันยากที่จะทนไหว อีกทั้งยังต้องทำงาน ความรู้สึกนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน !
“ดังนั้น ปีนี้อย่าให้น้องเล็กไปอยู่ที่บ้านท่านยายเป็นอันขาด ให้นางอยู่บ้านช่วยท่านย่าทำอาหารเถอะ ข้ารับประกันเลยว่าตระกูลของเราจะต้องปลูกพืชเสร็จก่อนหนึ่งวันแน่นอน !” กินอิ่ม ท้องถึงจะมีแรงทำงาน ในบรรดาสตรีสามคนในบ้าน น้องเล็กของเขาทำอาหารอร่อยที่สุด สวีเจี้ยนหลินมิอยากให้นางไปอยู่ที่บ้านท่านยายจริง ๆ
สวีฮุ่ยรับปากกับคนในตระกูลว่าตนเองจะมิไปไหนทั้งนั้น นางจะอยู่ช่วยท่านย่าทำอาหารที่บ้าน !
เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยส่ายหน้า เด็กน้อยยังเด็กเกินไป พวกนางมิอยากให้สวีฮุ่ยวิ่งวุ่นอยู่รอบเตาทั้งวัน ทว่าก็ต้องดูคนที่มารับนางด้วย หากเป็นสมาชิกคนอื่นในตระกูลโจวมารับก็อาจพาหนูน้อยกลับไปมิได้ แต่ถ้าหากเป็นอาเล็ก ผู้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉคนนั้นก็มิแน่
เช้าวันต่อมา วันนี้ถึงคราวที่สวีเจี้ยนหลินจะต้องอยู่บ้านคอยดูแลน้องสาว แม้จะดูเหมือนเติ้งอาเหลียนชอบดุด่าว่าหลานชาย แต่แท้จริงแล้วนางกลับรักและเป็นห่วงหลานทุกคนเท่า ๆ กัน
เมื่อเห็นว่าหลานชายตัวน้อยต้องตามคนในตระกูลไปปลูกพืชทั้งวัน ในใจของนางรู้สึกสงสารหลานชายยิ่งนัก มิว่าเยี่ยงไรก็จะขอเปลี่ยนกับเขาให้ได้ ก่อนไปในตอนเช้า เติ้งอาเหลียนได้บอกให้หลานสาวอุ่นแป้งทอดในกระทะ แล้วทำซุปไข่ใส่ต้นหอมสักถ้วยก็พอแล้ว ห้ามทำอาหารเมนูอื่นเด็ดขาด
แม้สวีฮุ่ยจะรับปากผู้เป็นย่าไปเช่นนั้น แต่ในใจของนางกลับกำลังคิดว่ากลางวันนี้จะทำเมนูอะไรดี โดยต้องเป็นเมนูที่กินอิ่มและย่อยง่าย !
“ก็อก ก็อก ก๊อก !” ยามนี้มีคนมาเคาะประตู สวีฮุ่ยรออยู่ครู่หนึ่งแต่ก็มิเห็นว่าพี่รองจะไปเปิดประตู นางจึงต้องเดินไปเอง
หลังจากที่ออกแรงเปิดประตูครู่หนึ่ง สิ่งแรกที่นางเห็นก็คือชุดคลุมสีฟ้าที่เนื้อผ้าดูธรรมดามาก ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นเอง สวีฮุ่ยก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนที่นางเห็นก็คือบุรุษหนุ่มที่คาดว่าจะดูดีที่สุดและหล่อที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาตั้งแต่ทะลุมิติมาโลกนี่
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง บุรุษหนุ่มคนนั้นก็เอานิ้วจิ้มที่หน้าผากของสวีฮุ่ยเบา ๆ “อาเล็กของเจ้าดูหล่อขึ้นกว่าตอนพบกันคราวที่แล้วใช่หรือไม่ ?”
“อาเล็กหน้าตาเหมือนใครบางคนเลย !” สวีฮุ่ยกล่าวทักทาย
“เหมือนใครล่ะ ?” บุรุษหนุ่มรูปงามตรงหน้าถามกลับ
“เหมือนข้าไงล่ะ ท่านทั้งรูปงามและดูดีขนาดนี้ ข้าก็ว่าทำไมคุ้นหน้าคุ้นตาข้ายิ่งนัก พอเพ่งมองอย่างละเอียด ข้าก็เข้าใจในทันที ที่แท้ท่านก็ช่างเหมือนข้าเหลือเกิน !” เป็นเพราะที่บ้านไม่มีกระจกที่สูงพอ สวีฮุ่ยจึงไม่ได้เพ่งมองรูปร่างหน้าตาของตนเองอย่างละเอียดมาก่อน อีกทั้งตอนนี้ร่างกายของนางยังเด็กนัก รูปร่างหน้าตายังสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อีกไกล ดังนั้นตอนนี้นางจึงคิดว่าตนเองเป็นสตรีรูปงามไว้ก่อน แต่หากภายหน้านางโตมา หน้าตาอัปลักษณ์จะทำเยี่ยงไร ? !
แต่สิ่งที่นางสนใจมากที่สุดในตอนนี้คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของคนในตระกูลให้ดีขึ้นและทำงานหาเงินด้วยตนเอง ส่วนเรื่องอื่นมิสำคัญสักเท่าไหร่
บุรุษหนุ่มรูปงามคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย หลานสาวของเขากลายเป็นเด็กทะเล้นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นเด็กที่พูดน้อยมาก
“อาเล็ก สำนักวิชาของท่านหยุดแล้วหรือ !” สวีเจี้ยนหลินปั้นดินเหนียวเป็นลูกกระสุนเล็กๆ เขาตั้งใจว่าจะรอให้มันแห้งแล้วนำไปยิงนกกระจอกกลับมาบ้านเสียหน่อย เพราะน้องเล็กของเขาทำอาหารอร่อยขนาดนี้ นางจะต้องทำเมนูเนื้อนกกระจอกได้อร่อยอย่างแน่นอน
สวีฮุ่ยยื่นหน้ามาหาอาเล็กของตน “อาเล็ก ท่านมาเยี่ยมข้าใช่ไหม ?”
“ใช่แล้ว อาเล็กได้ยินป้าใหญ่ของเจ้าเล่าว่าอยากจะมารับเจ้าไปอยู่บ้านยายสัก 2-3 วัน แต่เจ้ามิยอมไป อาเล็กเลยต้องมาด้วยตนเอง !” ผู้ที่มาก็คืออาเล็กของสวีฮุ่ยนั่นเอง เขาผู้นี้คือบัณฑิตซิ่วไฉเพียงคนเดียวของหมู่บ้านหยุนเซี๋ย มีนามว่าโจวป๋อเทา
แต่ตอนนี้นางมิอยากไปบ้านยาย ! สวีฮุ่ยใช้เท้าลูบพื้นไปมา คิดว่าควรจะใช้ข้ออ้างใดดี
“อาเล็ก ตอนนี้น้องเล็กของข้าไปไหนมิได้จริง ๆ พวกเราต่างชอบอาหารที่น้องเล็กทำ รอให้บ้านของข้าปลูกพืชเสร็จก่อน แล้วค่อยให้นางไปบ้านท่านยายทีหลังเถิด !” สวีเจี้ยนหลินเป็นเด็กดีดูน่ารักราวกับกระต่ายน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าอาเล็ก แม้นว่าอาเล็กจะมิเคยตีเขามาก่อน แต่ในใจของเด็กน้อยกลับหวั่นเกรงอาเล็กของเขา ขนาดตัวเขาเองยังมิรู้เลยว่าเป็นเพราะเหตุใด
ทางด้านอาเล็กนั้น เขาได้แต่คิดในใจว่าหลานสาวของตนทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อใด หรือเป็นเพราะเขามิได้มาบ้านพี่สาวเสียนาน ? มิอย่างนั้นการที่หลานสาวของตนเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้ ผู้เป็นอาอย่างเขาจะมิรู้เชียวหรือ !
โจวป๋อเทาได้ยินมาเพียงว่าหลานสาวของเขาได้รับบาดเจ็บจนล้มป่วย หรือการล้มป่วยของหนูน้อยจะทำให้บุคลิกของนางเปลี่ยนไป ?