ตอนที่ 21 จนปัญญาห้ามหลานสาว
ตอนที่ 21 จนปัญญาห้ามหลานสาว
เติ้งอาเหลียนจนปัญญาแล้ว นางทำได้เพียงแค่ยืนรอหลานสาวอยู่เช่นนั้น เมื่อสวีฮุ่ยเห็นว่าย่ายังไม่ไปไหน สวีฮุ่ยจึงหันไปยิ้มให้นาง “ท่านย่า ท่านเชื่อข้าเถิด ข้าจะไม่ทำให้ท่านย่าผิดหวังแน่นอน”
ผักจี่ไฉ่ขึ้นอยู่แทบจะทั่วทุกที่ ไม่ใช่ผักป่าหายากอะไร หลังจากที่หญ้าป่าขึ้นบนภูเขา ย่อมไม่แปลกที่จะมีคนมาหาเก็บผักป่าหลายคน เติ้งอาเหลียนเห็นว่าหลานสาวตั้งอกตั้งใจขุดมัน นางจึงได้แต่ทอดถอนใจเบา ๆ แม้ว่าผักป่าชนิดนี้ไม่ได้มีรสชาติอะไรมากมาย แต่มันก็ไม่มีพิษ กินสักครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร ฉะนั้นกลางวันนี้นำมันมาทำอาหารแล้วกัน !
ย่าหลานช่วยกันขุดผักจี่ไฉ่มาเต็มกระบุง เติ้งอาเหลียนคิดว่าไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว ดังนั้นไปเดินดูบนภูเขาเสียหน่อยแล้วกัน เผื่อเก็บผักป่าชนิดอื่นมาได้ อย่างน้อยเอามาต้มกินยังได้รสชาติดีกว่าผักจี่ไฉ่
ฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่ผักป่าสดที่สุด ชาติที่แล้ว สวีฮุ่ยเคยไปชนบทและได้กินอาหารประจำถิ่นของชาวชนบทเหล่านั้น และเคยเห็นผักป่ามาหลายชนิดเช่นเดียวกัน แม้นางจะรู้จักผักป่าไม่มาก แต่ก็ยังพอมองผักบางชนิดออก เช่น ผักกูดเกี๊ยะ ต้นพาร์สลีย์ป่า ผักหูแมว เป็นต้น
ระหว่างทาง สวีฮุ่ยยังพบผูกงอิง[1] ขึ้นกระจายเป็นหย่อมใหญ่ ตอนแรกนางตั้งใจจะขุดขึ้นมา ทว่าเติ้งอาเหลียนบอกว่าผักชนิดนี้ขมมาก
“แต่ผักชนิดนี้มีฤทธิ์ดับร้อน กินช่วงนี้ส่งผลดีต่อร่างกายมาก !” ผักป่าในยุคโบราณปลอดสารพิษและเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันคือผักออแกนิคอย่างแท้จริง !
จะห้ามก็ไม่ได้ จะตีก็ทำไม่ลง เติ้งอาเหลียนจนปัญญาอย่างแท้จริง จึงแบ่งพลั่วให้หลานสาวหนึ่งอัน ส่วนนางเดินไปเก็บผักป่ารอบบริเวณนี้
กว่าทั้งสองจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เติ้งอาเหลียนก่อฟืน ตั้งหม้อต้มน้ำ สวีฮุ่ยนำผักจี่ไฉ่ไปล้างหลายรอบให้สิ่งสกปรกหลุดออกมา แล้วดึงใบเสียออก จากนั้นก็นำไปลวกในน้ำร้อน
หลังจากตักขึ้นมาพักไว้รอให้ผักเย็นตัวลงแล้ว เติ้งอาเหลียนรับหน้าที่สับไส้ สวีฮุ่ยเป็นคนปรุง หนูน้อยยังคีบกากหมูออกมาสิบกว่าชิ้น แล้วขอให้ย่าช่วยสับรวมไปกับไส้
“หลานไม่ได้บอกว่าจะกินซาลาเปาไส้ผักหรือ ?” เติ้งอาเหลียนมองหลานสาวอย่างจนใจ ระยะนี้ครอบครัวของนางประเดี๋ยวก็กินปลา ประเดี๋ยวก็กินเนื้อ อาหารการกินดีขึ้นทุกวัน แต่เงินยังขาดแคลนเช่นเดิม
“ข้าจะกินไส้ผัก แต่ข้าขอผสมเนื้อหมูลงไปในไส้ซาลาเปาที่จะห่อให้ท่านพ่อ ท่านแม่และพวกท่านพี่ได้ไหม !” แค่กากหมูเพียงไม่กี่ชิ้นไม่ใช่หรือ ดูท่าทางเสียดายของท่านย่าสิ ทำอย่างกับข้าเอาเนื้อบนร่างกายของย่ามาอย่างนั้นแหละ
เติ้งอาเหลียนโดนหลานสาวแกล้งพูดแบบนี้ จนนางแทบจะหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา “ย่าจะยอมให้เจ้ากินซาลาเปาไส้ผักได้เยี่ยงไร รีบห่อเข้าเถิด พวกเรากินแบบนี้กันทั้งหมดนี่แหละ !”
นี่ก็ใกล้เวลากินข้าวแล้ว สวีฮุ่ยจึงรีบปรุงไส้ซาลาเปา สองย่าหลานช่วยกันห่อซาลาเปาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ สวีฮุ่ยยังล้างมันฝรั่งอีกสองลูก แล้วถือโอกาสตอนที่ย่าของนางออกไปเอาฟืนรีบหยิบมีดมาหั่น
“หลานรักของย่า รีบวางมีดลงเดี๋ยวนี้เลย !” เติ้งอาเหลียนหอบฟืนเข้ามา เมื่อเห็นหลานสาวกำลังใช้มีดหั่นมันฝรั่งเป็นฝอย ๆ นางก็ใจหล่นวูบ เจ้าเด็กคนนี้ต้องให้คนอื่นคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย ย่าละสายตาไปครู่เดียวก็ทำเรื่องเข้าแล้ว หากมีดบาดมือขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร !
“ท่านย่า ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว !” มีดในยุคโบราณหนักมาก ! สวีฮุ่ยยังคงชอบมีดของตนเองที่ทั้งเบาบางและใช้ง่าย ไม่เหมือนกับมีดหั่นผักในมือของนางตอนนี้ที่ทั้งหนักและไม่น่าดู
เติ้งอาเหลียงเห็นหลานสาวหั่นมันฝรั่งเป็นฝอย……ไม่สิ ควรจะเรียกว่าเป็นเส้นถึงจะถูก นางจึงได้แต่ส่ายหน้า เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่อาจทำได้
วันนี้สวีฮุ่ยตั้งใจหั่นมันฝรั่งเป็นเส้น อย่ามองเพียงว่ามันเป็นวัตถุดิบที่ง่าย ๆ เพราะเวลาจะนำมาทำเมนูอร่อยนั้นกลับไม่ง่ายเลย อย่างมันฝรั่งนั้น หากจะผัดกิน ยิ่งหั่นเป็นเส้นเล็กได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่หากนำมาต้มซุปแล้วหั่นแบบนี้ เมื่อใช้ทัพพีคนจะทำให้ขาดง่ายและได้รสชาติที่ไม่อร่อย
“ท่านย่า ท่านคอยดูซาลาเปาที่นึ่งไว้นะ ข้าจะทำซุป”
สวีฮุ่ยผัดหอมแดงกับขิงในหม้อ แล้วใส่เส้นมันฝรั่งลงไปผัดครู่หนึ่ง จากนั้นเติมน้ำลงไป นางหยิบเอากระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ออกมาจากในชั้นวางชาม แล้วเทเครื่องปรุงด้านในนั้นใส่ลงไปเล็กน้อย
กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน เติ้งอาเหลียนหยิบกระบอกไม้ไผ่จากหลานสาวขึ้นมาดูใกล้ ๆ สิ่งนี้ไม่ใช่ของที่บ้านนาง อีกทั้งยิ่งดมกลิ่นของที่อยู่ด้านในก็ยิ่งได้กลิ่นหอมแบบเข้มข้น
“นี่คืออะไร เจ้าไปเอามาจากไหน ?”
“ท่านย่า กระบอกไม้ไผ่นี้เป็นกระบอกที่ป้าใหญ่ใส่มาในตะกร้าตอนมาบ้านเรา ข้าคิดว่าพวกนางน่าจะนำมาไว้ใส่น้ำดื่ม แต่วันนั้นพวกนางดื่มน้ำหมดแล้วก็เอากระบอกนี้ใส่ไว้ในตะกร้า แล้วลืมเอากลับไป !” สวีฮุ่ยจำต้องหาข้ออ้างมาอ้างไปก่อน
เติ้งอาเหลียนกลับเชื่อเสียสนิทใจ สวีฮุ่ยไม่รู้สถานการณ์ของครอบครัวโจว แต่เติ้งอาเหลียนกลับรู้เป็นอย่างดีว่าครอบครัวลูกสะใภ้ใหญ่ตระกูลโจวไม่ใช่คนท้องที่ บ้านเก่าของนางมีต้นไผ่ขึ้นชุกชุม จึงจักสานไม้ไผ่ขาย เช่น กระบอกไม้ไผ่ เก้าอี้ไผ่สาน กระบุงไม้ไผ่ เป็นต้น ขนาดกระบุงไม้ไผ่ทั้งสองอันที่ครอบครัวสวีใช้ก็ล้วนได้มาจากซุนเซียง
“ส่วนเครื่องปรุงในกระบอกไม้ไผ่นี้……” สวีฮุ่ยยังคงแต่งเรื่องมากลบเกลื่อนต่อ
“ย่าของฮุ่ยฮุ่ยอยู่บ้านหรือไม่ ? วันนี้ข้าทำเต้าหู้ จึงนำมาให้พวกเจ้าชิม !” แม่นางหลี่ถือตะกร้าเดินเข้ามาในลานบ้าน
“ข้าพบเครื่องปรุงรสเหล่านี้บนภูเขาและบดเอง ท่านอย่าบอกความลับนี้กับใครเชียว !”
นางไม่อาจบอกได้ว่าตนทะลุมิติมาและเป็นเจ้าของสูตรนี้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว สวีฮุ่ยไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นนางมารนางปีศาจ
เติ้งอาเหลียนไม่มีใจมาคิดถึงคำพูดของหลานสาว นางรีบออกไปต้อนรับพี่หญิงคนสนิท สวีฮุ่ยลูบหน้าอกด้วยความโล่งอก หากย่าของนางถามไม่จบไม่สิ้นขึ้นมา แล้วนางจะอธิบายได้เยี่ยงไร !
หลังจากต้มซุปมันฝรั่งเสร็จแล้ว สวีฮุ่ยโรยหน้าซุปด้วยต้นหอมสับและผักชีเล็กน้อย
“นับวันฮุ่ยฮุ่ยของเจ้าก็ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ฝีมือการทำอาหารของนางล้ำหน้าเจ้าแล้วล่ะ นี่ก็ใกล้จะกลางวันแล้ว ครอบครัวของเจ้าคงเริ่มทยอยกลับมาจากแปลงนา รีบไปเตรียมอาหารให้พวกเขาเถิด !” แม่นางหลี่ถือตะกร้าเตรียมออกไปด้านนอก สวีฮุ่ยจึงหยิบผักป่ามาใส่ตะกร้าให้นางกำใหญ่
“ข้าและท่านย่าเพิ่งเก็บมาเมื่อตอนสายนี้เอง ยังสดใหม่อยู่ ย่าหลี่เอากลับไปกินนะเจ้าคะ !” ลูกชายคนโตของครอบครัวหลี่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ส่วนลูกสะใภ้ก็มาจากครอบครัวคนมีเงิน นางจึงไม่ยอมขึ้นเขาหรือทำงานหนัก ส่วนลูกหลานในบ้านล้วนเป็นเด็กผู้ชาย หากไม่ไปเรียนหนังสือในเทศมณฑลก็เป็นเพื่อนเรียนให้ลูกหลานคนอื่น ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
ส่วนลูก ๆ ของลูกชายคนเล็กล้วนเป็นเด็กผู้ชายเหมือนกัน หลานสองคนนั้นถูกผู้เป็นแม่ตามใจจนแทบจะเสียคน อย่าว่าแต่ไปเก็บผักป่าเลย ขนาดในลานบ้านมีไม้กวาดวางอยู่ยังไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมา
และทุกครั้งที่แม่นางหลี่กับหลี่ชิงเหออบรมลูก ๆ ของสะใภ้เล็ก นางก็มักจะอ้างว่าลูก ๆ ของนางยังเด็ก ทว่านางไม่เพียงแต่ตามใจลูก ๆ ของตนเท่านั้น แต่ยังตามใจตัวเองด้วย นางกลัวว่าตนเองจะเหนื่อยเกินไป อะไรที่พอจะหลบเลี่ยงได้ก็มักจะหลบเลี่ยงเป็นประจำ
เพราะไม่มีคนขึ้นเขาไปเก็บผัก ดังนั้นบ้านของแม่นางหลี่จึงไม่เคยได้กินผักสดอย่างบ้านของคนอื่นเขา
“ฮุ่ยฮุ่ยของเราเป็นเด็กดียิ่งนัก ตัวน้อยแค่นี้แต่รู้จักขึ้นเขาไปเก็บผักป่าแล้ว ไม่เหมือนเจ้าเด็กพวกนั้นที่บ้านของ……”
ไม่มีหลานสาวไม่เป็นไร ทว่าลูกสะใภ้ทั้งสองคนของนางล้วนคิดว่าตนเองเป็นคนมีฐานะมีหน้ามีตา ไม่มีใครยอมขึ้นเขาไปเก็บผักป่าเลยสักคน คนหนึ่งก็ขี้เกียจเสียจนแทบจะให้ผู้อื่นป้อนข้าวให้ โชคยังดีที่แม้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในบ้านรั้วเดียวกัน แต่ต่างคนต่างกิน ต่างคนต่างอยู่
แม่นางหลี่กินข้าวกับครอบครัวของลูกชายคนโต แม้ว่าเฉียนยวี่ผิงจะไม่ได้อาศัยอยู่กับแม่นางหลี่ แต่ก็คิดจะเอาเปรียบหญิงชราบ่อยครั้ง ทังยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยที่ชอบพูดจาแดกดัน ยังดีที่เกาเฟิ่งอิง ภรรยาของหลี่ชิงเหอยังพอกำราบนางได้บ้าง เพราะนางไม่เคยฟังคำของแม่นางหลี่เลย
“หลานสาวของข้าคนนี้ เวลาเชื่อฟังก็เชื่อฟังเสียจนทำให้คนปวดใจ เวลาดื้อขึ้นมา ต่อให้เอาวัวสิบตัวมาลากนาง นางก็ไม่ยอม !” เติ้งอาเหลียนจนปัญญาจะห้ามหลานสาว
“เจ้าน่ะรู้จักพอเสียเถิด ! หากข้ามีหลานสาวเหมือนฮุ่ยฮุ่ยสักคน ต่อให้ตื่นจากฝันก็ยังยิ้มได้ !” เป็นเพราะแม่นางหลี่ไม่มีหลานสาว นางจึงรักและเอ็นดูสวีฮุ่ยเหมือนหลานตัวเอง เวลาที่บ้านมีของอร่อยหรือปะเสื้อผ้าไว้ก็มักจะแบ่งไว้ให้หนูน้อยเป็นประจำ สวีฮุ่ยหัวกระแทกขอบบ่อช่วงแรก ๆ นางก็มักมาเยี่ยมเยียนหนูน้อยเสมอ นอกจากนี้ยังบอกเติ้งอาเหลียงอีกว่าหากต้องการเอาผิดสวีชิวเยี่ยน นางยินดีจะไปช่วยเป็นพยานให้ที่หยาเหมิน
[1] 蒲公英 ผูกงอิง หรือ ดอกแดนดิไลออน มีคุณสมบัติในการชะล้างสารพิษ ช่วยให้ตับและไตขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ช่วยบำรุงตับ เป็นแหล่งวิตามินธรรมชาติ บำรุงสายตาและมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง รักษาอาการดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม บำรุงตับ ทำให้ตับทำงานได้อย่างปกติ