ตอนที่แล้วตอนที่ 19 : ปากร้ายใจดี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 21 จนปัญญาห้ามหลานสาว

ตอนที่ 20 ปรับสูตรแป้งทอด  


ตอนที่ 20 ปรับสูตรแป้งทอด

วันนี้ครอบครัวต้องทำแผ่นแป้งทอด เติ้งอาเหลียนจึงตื่นแต่เช้าตรู่ และในตอนที่นางเดินไปในห้องครัวนั้น นางได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องข้าง ๆ ตอนแรกนางนึกว่าลูกชายกับลูกสะใภ้ตื่นนอน จึงไม่ได้สนใจมากนัก !

เมื่อเข้ามาในห้องครัวก็เห็นว่าอ่างหมักแป้งวางอยู่ข้างเตา เติ้งอาเหลียนหยิบขึ้นมาดู นางพบว่าแป้งดูฟูขึ้นและยังดูเนื้อบางกว่าแป้งที่นำมาทำแป้งทอดทั่วไป

“เสียดายไข่ไก่และแป้งหมี่ขาวเหลือเกิน !” เติ้งอาเหลียนบ่นพึมพำและกำลังคิดว่าจะเติมแป้งธัญพืชลงไปเสียหน่อย ทว่าตอนนี้นางต้องทำอาหารเช้าก่อน เพราะวันนี้เป็นวันเตรียมอุปกรณ์ทำไร่ทำนาวันสุดท้าย พรุ่งนี้เช้าต้องหว่านเมล็ดพันธุ์ได้แล้ว

เช้าวันนี้นางนึ่งข้าวฟ่างและหั่นผักดองเตรียมไว้ ครอบครัวสวีรวมถึงชาวบ้านแทบทุกครัวเรือนในหมู่บ้านฉือหลิ่งล้วนทำอาหารเช้าแบบนี้ ครอบครัวไหนที่มีฐานะดีหน่อยก็อาจจะได้กินโจ๊กข้าวขาวและไข่ต้มฟองสองฟอง ซึ่งถือเป็นเมนูที่ดีที่สุดแล้ว

เช้านี้ สวีฮุ่ยกินข้าวต้มผักและเค้กโฮมเมดจากในมิติไปแล้ว นางกินยังไม่หิว แต่คนในครอบครัวยังคงโน้มน้าวให้นางกินข้าว เพราะกลัวว่านางจะหิวจนท้องกิ่วไปเสียก่อน !

“ข้ารอกินแป้งทอด ท่านย่า ประเดี๋ยวข้าจะขอเอาแป้งไปทำแป้งทอดซัก 2-3 แผ่นได้หรือไม่ !” สวีฮุ่ยนึกถึงเกี๊ยวซ่าชนิดหนึ่งที่นางเคยกินเมื่อชาติที่แล้ว ทำมาจากข้าวเจ้าบดเป็นผงผสมคลุกเคล้ากับแป้งหมี่ขาว ทำให้ได้เนื้อแป้งที่นุ่มและหนึบ

ตอนนี้นางไม่กล้านึกถึงแป้งข้าวเจ้า ต่อให้ในมิติมีอยู่บ้างก็ยังไม่กล้าเอาออกมาเช่นเดียวกัน ส่วนแป้งหมี่ขาวยังพอมีที่บ้านอยู่บ้าง ซึ่งเป็นแป้งหมี่ขาวที่ซื้อมาหลังจากที่สวีจื้อหย่งนำปลาไปขายในครั้งนั้น เติ้งอาเหลียนไม่กล้าใช้หมดเพราะว่าเสียดาย ที่เหลือไว้บางส่วนก็ถูกสวีฮุ่ยนำมาผสมทำแป้งเมื่อวานไปครึ่งหนึ่งแล้ว

สวีฮุ่ยจึงอยากทำแป้งที่ใช้สำหรับทำเกี๊ยวซ่า แต่ก็กลัวว่าคนในครอบครัวจะไม่ยอม นางถึงได้บอกว่าจะขอทำแป้งทอดกินซัก 2 3 แผ่น

เติ้งอาเหลียนที่เห็นว่าหลายวันมานี้หลานสาวตนเองเริ่มผอมลงจึงรีบตอบรับโดยไม่ลังเล นอกจากนี้ยังรับปากนางว่าจะแบ่งแป้งให้ส่วนหนึ่ง แล้วหลานจะตอกไข่ใส่ลงไปในแป้งอีกสักฟองก็ได้

“ไม่ต้องหรอกท่านย่า ใส่แค่ต้นหอยซอยและเกลือสักหน่อยก็พอแล้ว” จากนั้นค่อยใส่เครื่องปรุงที่นางเตรียมไว้เองสักหน่อย รสชาติก็น่าจะไม่เลวแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะอร่อยกว่าแป้งทอดและข้าวฟ่างนึ่ง

สวีเจี้ยนหลินกินข้าวไปครึ่งชามแล้วก็วิ่งหอบฟืนมา “น้องเล็ก ประเดี๋ยวตอนทำแป้งทอด อย่าลืมแบ่งให้พี่รองสักชิ้นนึงนะ”

“ไม่มีปัญหา ท่านแม่ ท่านเอาเงินให้พี่รองสักสิบอีแปะเถิด ให้พี่รองซื้อเนื้อติดมันมาสักครึ่งชั่ง ข้ารับปากเลยว่าหลังจากทอดแป้งทอดแล้ว ข้าจะเหลือน้ำมันหมูไว้ให้ท่านครึ่งชามและกากหมูเจียวอีกครึ่งชาม” เพราะกลัวว่าโจวเสี่ยวเหมยจะไม่ตอบตกลง สวีฮุ่ยจึงดึงชายเสื้อของผู้เป็นแม่และทำสายตาออดอ้อนอย่างไร้เดียงสา สวีฮุ่ยเริ่มอยากให้ตัวเองโตเร็ว ๆ แล้วนางจะได้หาเงินมาด้วยตนเอง และหากอยากทำอะไรก็ย่อมสามารถทำได้ตามที่ต้องการ

เงินของครอบครัวสวีล้วนเก็บไว้ที่เติ้งอาเหลียน และสิ่งที่นางไม่อยากเห็นที่สุดก็คือการที่หลานสาวผิดหวัง นางจึงรีบเข้าห้องกลับไปเอาเงินมาสิบอีแปะแล้วยื่นให้หลานชาย สวีเจี้ยนหลินวิ่งออกไปด้วยความเร็วที่สุด เพราะหนุ่มน้อยกลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียวก็อาจทำให้ผู้เป็นแม่ยึดเงินคืนไปได้

หลังจากไปซื้อเนื้อกลับมาแล้ว สวีฮุ่ยให้ย่าช่วยตนเองหั่นเนื้อเป็นแผ่น นำแป้งที่หมักไว้ออกมาบางส่วน จากนั้นก็โรยต้นหอมซอยลงไป เหยาะเกลือลงไปเล็กน้อย และเครื่องปรุงที่นางบดเป็นผงมาแล้ว

เจือแป้งด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้เนื้อแป้งเหนียว สวีฮุ่ยถลกแขนเสื้อขึ้น พับขากางเกงให้เข้าที่แล้วใช้ตะหลิวคีบชิ้นเนื้อติดมันขึ้นมาถูวนรอบขอบกระทะด้วยความเร็ว

เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยยังไม่ทันมองให้ชัดว่าหนูน้อยทำอะไร สวีฮุ่ยก็ตักเนื้อขึ้นมาแล้ว จากนั้นนางใช้ช้อนตักแป้งขึ้นมาละเลงเป็นวง เนื่องจากกระทะของครอบครัวสวีขนาดใหญ่มากพอ จึงสามารถทอดแป้งแผ่นได้ทีละ 8 แผ่น

หลังจากละเลงแผ่นแป้งจนเต็มแผ่นแล้ว สวีฮุ่ยใช้ตะหลิวพลิกแป้งทอดแผ่นแรกขึ้นมาและพลิกกลับอีกครั้งก็สามารถตักออกจากกระทะได้แล้ว

“พวกท่านลองชิมดูว่าอร่อยไหม !”

เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยแบ่งคนละครึ่งชิ้น สวีจื้อหย่งอยากจะแบ่งกับลูกชายคนเล็กคนละครึ่งแผ่น เจ้าเด็กจอมตะกละสวีเจี้ยนหลินก็หยิบขึ้นมากัดคำโตไปแผ่นหนึ่งแล้ว “ฮู่ว ร้อน ร้อนมากเลย อร่อยมาก มันหอมเหมือนกับแป้งอบเลย !”

รสชาติไม่เลวจริงด้วย เติ้งอาเหลียนชิมแป้งทอดไปครึ่งแผ่นถึงได้คิดภาพออก ช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิงานยุ่งเพียงนั้น ทั้งยังมีงานเยอะ หากต้องมากินแป้งทอดที่แห้งผากคงไม่เหมาะจริงด้วย ถึงเยี่ยงไรแป้งหมี่ขาวก็ใส่ลงไปแล้ว ไข่ไก่ที่ตอกใส่ไปก็ไม่อาจนำออกมาได้ เช่นนั้นก็ทำมันกินแบบนี้แหละ !

“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าไปเตรียมแป้งในอ่างเถิด ฤดูใบไม้ผลิปีนี้เราจะทอดแป้งทอดแบบนี้กินกัน ทว่าแป้งที่เจ้าหมักไว้คงทำได้เพียงไม่เท่าไหร่ ! ไม่เช่นนั้นหรุ่งนี้หมักแป้งแบบนี้เพิ่มดีไหม ?”

“ท่านย่า แป้งทอดประเภทนี้ต้องทำร้อน ๆ แล้วกินเลยถึงจะอร่อย หากทิ้งไว้นานคงไม่หอมแล้ว ข้าเองก็อยู่บ้านทุกวัน ไว้หมดแล้วค่อยทำใหม่ เช่นนั้นดีกว่าเยอะ !”

ทุกครั้งที่ถึงช่วงเพาะปลูกและช่วงเก็บเกี่ยว ครอบครัวโจวจะส่งคนมารับสวีฮุ่ยไปดูแล ครอบครัวโจวมีสมาชิกหลายคน ผู้เฒ่าในครอบครัวไม่ต้องไปทำไร่ทำนากับลูกหลาน และที่บ้านยังมีสะใภ้อีก 2-3 คนที่คอยช่วยดูแลเรื่องทำอาหารให้ ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยดูแลสวีฮุ่ยได้ รอจนกระทั่งเพาะปลูกเสร็จหรือไม่ก็เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์เรียบร้อยแล้ว ครอบครัวสวีถึงจะไปรับหนูน้อยกลับบ้าน

หรือว่าปีนี้จะต้องให้หนูน้อยอยู่บ้านทำอาหารจริง ๆ ตัวนางนั้นยังเด็กเกินไป ไม่ใช่แค่เติ้งอาเหลียนที่ไม่อยากให้หนูน้อยต้องลำบากมาทำอาหาร สวีจื้อหย่งและภรรยาก็ปวดใจไม่แพ้กัน ทั้งครอบครัวสวีเห็นแต่จะมีแค่สวีเจี้ยนหลินผู้เดียวเท่านั้นที่หวังว่าน้องเล็กจะอยู่บ้านทำอาหารให้พวกเขากิน เพราะน้องเล็กของเขาทำอาหารอร่อยกว่าท่านย่าและท่านแม่เสียอีก

ด้วยการโน้มน้าวของสวีฮุ่ย เติ้งอาเหลียนจึงล้มเลิกความคิดที่จะหมักแป้งทำแป้งทอดตุนไว้ หลังจากทอดแป้งทอดไปสองกระทะเต็ม ๆ พอแป้งทอดเย็นตัวลง เติ้งอาเหลียนจึงได้นำไปใส่ลงโถ

“ท่านย่า หากข้าและพี่ใหญ่หิวขึ้นมา ข้าสามารถหยิบแป้งทอดจากในโถออกมากินได้หรือไม่ ?” สวีเจี้ยนหลินถาม

“หากไม่ทำงานก็ไม่สามารถกินได้ เจ้าน่ะชอบลืมนั่นลืมนี่ หากลืมปิดฝาโถจะทำให้แป้งทอดพวกนี้แห้งเอา และคงกินไม่ได้แน่ ดังนั้นหากเจ้าจะกิน เจ้าต้องมาถามย่าหรือไม่ก็แม่ของเจ้าก่อน หากเจ้าไปเปิดกินเอง ย่าจะเอารองเท้าฟาดเจ้าให้ดู !” เติ้งอาเหลียนไม่วางใจให้หลานชายทั้งสองไปหยิบกินเอง เพราะพวกเขาเป็นวัยกำลังโต หากปล่อยให้พวกเขาหยิบกินตามอำเภอใจ มีหวังครอบครัวยังเพาะปลูกได้ไม่ถึงครึ่ง แป้งทอดพวกนี้ได้หมดก่อนแน่นอน !

ทว่าพอเติ้งอาเหลียนหันไปหาหลานสาว นางก็เปลี่ยนแนวการพูดทันที: “ฮุ่ยฮุ่ย หากหลานหิวก็หยิบกินได้เลยนะ แล้วก็อย่าลืมปิดฝาโถด้วยล่ะ !”

ท่านย่า ท่านปฏิบัติต่อหลานชายกับหลานสาวแตกต่างกันเกินไปหรือไม่ ! สวีเจี้ยนหลินเริ่มเกิดความคิดอยากจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเด็กผู้หญิงอีกครั้ง ทว่าอีกใจก็กลัวท่านย่าและท่านแม่จะดึงหูเขาเหมือนทุกที สุดท้ายเขาจึงต้องจำใจหยุดความคิดตัวเอง

พรุ่งนี้เช้าจะต้องลงแปลงปลูกพืชแล้ว สมาชิกครอบครัวสวีจึงรีบดับเทียนเข้านอน สวีฮุ่ยเองก็เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นแม่ครัวตัวจิ๋วของครอบครัวแล้ว ตอนนี้นางกำลังคิดว่าจะปรับเปลี่ยนอาหารของทุกคนให้ดีขึ้นได้เยี่ยงไร

ในวันแรก ครอบครัวสวีไปแปลงนาที่ใกล้บ้านที่สุด วันนี้พวกเขาปลูกถั่วเหลือง ทางด้านสวีเจี้ยนเหวินนั้นเป็นช่วงปิดเรียนเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่ถึงช่วงเพาะปลูก โรงเรียนในชนบทมักจะปิดเพื่อให้นักเรียนไปช่วยคนในครอบครัวทำงาน สวีจื้อหย่งและภรรยาพาลูกชายทั้งสองไปทำงานด้วย บ้านของพวกเขามีที่นาทั้งหมด 8 หมู่ ใช้เวลาสักแปดวันสิบวันก็คงปลูกเสร็จแล้ว

หลังจากที่คนในครอบครัวออกไปทำงานหมดแล้ว สวีฮุ่ยขอให้ย่าพาตนไปเก็บผักป่า ตอนเที่ยงจะได้ใช้แป้งธัญพืชมาห่อซาลาเปา แล้วค่อยทำซุปมันฝรั่งสักหม้อ อย่างน้อยมันก็อร่อยกว่ากินแป้งทอดธัญพืชและข้าวฟ่างนึ่งเป็นไหน ๆ

เติ้งอาเหลียนเห็นด้วยกับหลานสาว นางลงกลอนประตูแล้วพาหลานสาวใช้ทางหลักเดินไปยังที่เชิงเขาที่ยังไม่ได้ไถพรวน สวีฮุ่ยพบผักจี่ไฉ่[1] เป็นจำนวนมาก นี่มันของดีเชียวนะ ผักชนิดนี้นำมาทำไส้ซาลาเปาก็ดี ทำน้ำซุปก็อร่อย บำรุงสายตา บำรุงไต คนทั่วไปกินได้ทุกเพศทุกวัย ไม่มีข้อห้าม

“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าคงจะไม่ขุดมันขึ้นมากินใช่ไหม !” ปกติพวกนางจะขุดไปให้ไก่ให้เป็ดกิน คนทั่วไปแทบจะไม่กินมันเลย เติ้งอาเหลียนอยากพาหลานสาวไปเดินดูบนเขา ทว่าสวีฮุ่ยกลับนั่งคุกเข่าขุดมันขึ้นมา ทั้งยังมีทีท่าว่าจะไม่ยอมไปไหนอีกด้วย !

[1] 荠菜 ผักจี่ไฉ่ เป็นผักป่าชนิดหนึ่ง ลำต้นและใบอ่อนใช้เป็นผักรับประทานได้ รสชาติสดอร่อย มีกรดอะมิโนหลายชนิด และมีกรดกลูตามิกที่มีหน้าที่เหมือนผงชูรส รับประทานได้หลายวิธี ปรุงเข้ากับเนื้อสัตว์หรือทำน้ำซุป ทำสลัดเย็นก็ได้เช่นกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด