ตอนที่ 19 : ปากร้ายใจดี
ตอนที่ 19 : ปากร้ายใจดี
ขอแค่ได้เลี้ยงปลาก็ยังดี สวีฮุ่ยจึงรับปากว่าจะเข้ามาขุดบ่อในตอนเที่ยง แล้วให้เฮ่อจิ่นไปพักผ่อน
“แค่เจ้าพูดมาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าเองก็เพิ่งตื่นขึ้นมา ร่างกายยังอ่อนแอ คงต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะถึงกลับมามีกำลังวังชาเช่นเดิม แต่ข้ามิขอเป็นเบ็ดตกปลาให้เจ้าบ่อย ๆ นะ เจ้าปลาพวกนั้นงับกิ่งและใบของข้ายังพอทนได้ แต่ปากของพวกมันอยู่มินิ่งเอาเสียเลย มันทำเอาข้าคันจนขนลุกไปหมด !” เฮ่อจิ่นนึกถึงความทรมานในตอนนั้น ก็พลันตัวสั่นไม่หยุด
“มิต้องกังวล ข้าจะไม่ใช้เจ้าทำเบ็ดตกปลาอีกแน่นอน !” สวีฮุ่ยรับปาก
เพราะเพลานี้ใกล้ช่วงไถพรวนสำหรับเพาะปลูกแล้ว ตระกูลสวีจึงตื่นเช้ายิ่งกว่าเดิม สวีฮุ่ยไม่ถนัดเรื่องการทำไร่ทำนา แต่นางอยากรู้วิธีใช้เครื่องมือทำไร่ทำนาพวกนั้น จึงมักจะนั่งยอง ๆ อยู่ข้างสวีจื้อหย่งเพื่อดูเขาใช้เครื่องมือเหล่านั้น
เติ้งอาเหลียน หญิงชราตระกูลชุยและสะใภ้ของตระกูลชุยช่วยกันทำแป้งทอดไส้ผัก แป้งทอดประเภทนี้จะต้องตั้งเตาทำที่ลานบ้าน แต่ละตระกูลจะหมักแป้งไว้อย่างน้อยหนึ่งถัง หลังจากทำเสร็จแล้วจะตัดแบ่งใส่ในขวดโหล เวลายุ่งกับงานสวนงานไร่หรือไม่มีเวลาทำอาหาร ก็มักจะนำแป้งทอดเหล่านี้มากินกับผักดอง
สวีฮุ่ยเองก็ตามย่าของตนไปดูตระกูลชุยทำแป้งทอดเช่นเดียวกัน นางลองใช้ทัพพีคนแป้งในถัง ดูเหมือนแป้งยังไม่งวดดี เพราะเวลาทำแป้งทอดออกมาแล้ว เนื้อแป้งยังแข็ง ถ้าผู้ใหญ่หรือเด็กโตกินยังพอได้
แต่สำหรับเด็กเล็กและคนสูงอายุแล้ว หากไม่มีซุปมาซดให้คล่องคอก็เกรงว่าจะกลืนได้ยาก
“ท่านย่า วันนี้บ้านย่าชุยเป็นคนทำแป้งทอดใช่หรือไม่ ?” สวีฮุ่ยถาม
“ใช่ พรุ่งนี้ถึงเป็นคิวของบ้านเรา !” เติ้งอาเหลียนนั่งยองแล้วเติมฟืน
สวีฮุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีเหลือเกินที่บ้านของนางยังไม่ได้ทำ นางคิดว่าในตอนที่ผสมแป้งควรเติมแป้งถั่วลงไปเล็กน้อย และหากเติมแป้งหมี่ขาวลงไปบ้างก็จะทำให้ตัวแป้งทอดนุ่มขึ้น และหากผสมไข่ไก่ลงไปด้วย ก็จะทำให้แป้งทอดที่ได้นุ่มยิ่งขึ้น และรสชาติจะอร่อยขึ้นมากแน่นอน
เมื่อเห็นว่าพวกนางทอดแป้งทอดไปได้สักพัก สวีฮุ่ยจึงหันกลับไปเห็นว่าคนในตระกูลกำลังง่วนอยู่กับงานของตน นางจึงวิ่งเข้าไปล้างมือในครัว แล้วนำอ่างที่ใหญ่ที่สุดออกมา ใส่แป้งธัญพืชลงไปครึ่งหนึ่ง ใส่แป้งถั่วลงไปครึ่งหนึ่ง แล้วหาก้อนแป้งที่ย่าทำไว้มาละลายน้ำ
สวีฮุ่ยปีนขึ้นไปบนเตาด้วยเก้าอี้ นำไข่สองฟองออกจากตะกร้าที่ห้อยลงมาจากคานแล้วตีลงในบะหมี่ ผสมบะหมี่กับน้ำอุ่นแล้วคนในขณะที่เติมน้ำ
เมื่อถึงเวลาทำอาหารกลางวัน โจวเสี่ยวเหมยเห็นว่าแม่สามีกำลังยุ่งอยู่ นางจึงวางงานในมือของตนลงแล้วเข้ามาในครัว และในตอนที่เท้าของนางเหยียบธรณีประตูครัวนั้น ภาพที่เห็นทำเอานางถึงกับชะงักไป
เพราะเด็กผู้หญิงตัวน้อยกำลังนั่งอยู่ด้านข้างอ่างใบใหญ่ โดยหนูน้อยกำลังออกแรงนวดแป้ง บางครั้งก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อตัวเองเป็นระยะ
“ฮุ่ยฮุ่ย ลูกทำอะไรอยู่หรือ ?” โจวเสี่ยวเหมยกระซิบถาม หรือว่าลูกสาวของนางจะเห็นแป้งทอดของตระกูลชุยแล้วเกิดหิวขึ้นมา !
ว่ากันตามความเป็นจริง แผ่นแป้งประเภทนั้นไม่อร่อยเอาเสียเลย เพียงแต่ช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่จะต้องยุ่งกับงานสวนหลายวัน บางครั้งต้องให้คนในตระกูลทุกคนไปช่วยกันทำงาน อีกทั้งแปลงนาก็อยู่ห่างจากบ้านพอสมควร จึงต้องนำอาหารติดไปด้วย และอาหารประเภทนี้ก็เป็นอาหารที่เสียได้ยาก
“ท่านแม่ ข้ากำลังช่วยนวดแป้งให้ พรุ่งนี้จะได้ทำแป้งทอด !” สวีฮุ่ยเหนื่อยจนแขนเริ่มล้า แต่พอคิดภาพที่พ่อกับแม่จะได้กินแป้งทอดที่ทั้งนุ่มและอร่อย โดยไม่ต้องกินแผ่นแป้งแห้งๆ ที่ทั้งแข็งทั้งรสชาติแย่ นางก็รู้สึกว่าทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยพละกำลังขึ้นมาทันที
“ลูกคนนี้……รีบลุกขึ้นมาเร็ว แม่เห็นว่าเจ้านวดมาพอประมาณแล้ว เดี๋ยวแม่ทำที่เหลือเอง……ฮุ่ยฮุ่ย กว่าจะทำแป้งทอดก็ตั้งพรุ่งนี้ เหตุใดลูกถึงได้นวดแป้งตั้งแต่วันนี้เลยเล่า !” ถึงแม้ว่าโจวเสี่ยวเหมยจะไม่ถนัดทำอาหาร แต่นางก็ยังพอรู้เรื่องการทำอาหารอยู่บ้าง
“ท่านแม่ แป้งที่ตระกูลชุยเตรียมไว้ยังมิขึ้นฟู ทำให้แป้งทอดที่ได้ทั้งแข็งและแห้ง เดิมทีการทำไร่ทำนาก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว หากให้มากินอาหารแห้ง ๆ ประเภทนั้นอีก เช่นนั้นจะกลืนลงได้เยี่ยงไร ! ข้าใช้ก้อนแป้งที่ท่านย่าเหลือไว้ หมักทิ้งไว้หนึ่งคืนจะทำให้แป้งขึ้นฟู ในแป้งยังมีส่วนผสมของแป้งถั่วและแป้งหมี่ขาวอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ข้ายัง……ใส่ไข่ไก่ลงไปอีกสองฟอง พรุ่งนี้ตอนทอดแป้ง ข้าจะใส่ต้นหอมซอยบาง ๆ ลงไปด้วย แบบนี้แป้งทอดของบ้านเราก็จะต้องนุ่มกว่าของบ้านอื่นแน่นอน และพอเราเอาไปกินเวลาทำไร่ทำนาก็จะกลืนได้ง่ายแล้ว !”
ลูกสาวทำทั้งหมดนี้เพื่อพวกเขา โจวเสี่ยวเหมยจึงยกอ่างขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เอาแป้งทอดที่ได้เก็บไว้ที่บ้านให้พวกลูกและย่าของเจ้ากินแล้วกัน พ่อกับแม่เป็นผู้ใหญ่ กินแป้งทอดแข็ง ๆ ได้”
แป้งทอดประเภทนี้มิเปลืองแป้งถั่วและแป้งหมี่ขาว รวมถึงไข่ไก่ เพราะถึงเยี่ยงไรตอนนี้ตระกูลของพวกนางยังยากจนเหลือเกิน หากตระกูลมีฐานะก็คงไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก
หลังจากที่ช่วยตระกูลชุยเตรียมแป้งทอดมาทั้งวัน เติ้งอาเหลียนพาร่างที่เหนื่อยล้ากลับมาบ้านในตอนใกล้ค่ำ สวีฮุ่ยได้ต้มน้ำไว้และพักให้อุ่นแล้ว เมื่อเห็นว่าย่ากลับมา นางจึงเทน้ำยื่นให้
“ฮุ่ยฮุ่ย ย่าได้ยินแม่ของเจ้าเล่าว่าเจ้ามานวดแป้งที่บ้านงั้นหรือ ?” เติ้งอาเหลียนถาม
“ท่านย่า ข้าเห็นแป้งทอดที่ตระกูลชุยทำแล้วดูไม่น่ากินเอาเสียเลย ท่านพ่อท่านแม่ทำงานเหนื่อยถึงเพียงนั้น หากเพลาบ่ายพวกเขากินไม่อิ่มแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน อีกอย่างหากกินแป้งทอดที่ทั้งแข็งและแห้งเช่นนั้นก็จะทำให้ไม่สบายท้อง ถ้าปวดท้องขึ้นมา จะเอาแรงจากที่ใดไปทำงาน !”
เพลานี้นวดแป้งไปแล้ว นางจะพูดอะไรได้ เติ้งอาเหลียนกินข้าวเสร็จแล้วจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ตกดึกสวีฮุ่ยและเฮ่อจิ่น ช่วยกันเก็บเกี่ยวมันฝรั่งได้มาหนึ่งกระสอบ จากนั้นนางได้เลือกลูกเล็ก ๆ ออกมาไว้ปลูกรอบที่สอง
“ปลูกมันฝรั่งอีกสัก 2-3 วัน แล้วพวกเราค่อยเปลี่ยนไปปลูกผักอย่างอื่นบ้างเถอะ !” เฮ่อจิ่นเสนอ
“ข้าอยากทำนา ปลูกข้าวสาลี เพลานี้อาหารที่บ้านมันช่าง……กลืนได้ยากเหลือเกิน !” ธัญพืชพวกนั้นไม่เพียงแต่แห้งและฝาดเท่านั้น แต่เพลากินไปแล้วก็มักจะทำให้ท้องผูกอีกด้วย
เฮ่อจิ่นบ่นว่าสวีฮุ่ยหลอกให้เขามาทำงานให้อีกแล้ว เมื่อครู่เขาเพิ่งช่วยนางขุดบ่อเลี้ยงปลา มาเพลานี้ยังอยากได้แปลงนาอีก เขาเป็นภูติประจำมิตินะ ไม่ใช่บ่าวรับใช้เสียหน่อย !
สวีฮุ่ยเองก็พอจะเดาออกว่าเฮ่อจิ่นกำลังอารมณ์มิดี แต่นางรู้ว่าแม้ปากเขาจะบ่น แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็พร้อมช่วยนางเสมอ คงเป็นอย่างที่คนเขาชอบพูดกันว่าพวก “ปากร้ายใจดี” นั่นแหละ !
“ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ ที่มาช่วยข้าขุดบ่อเลี้ยงปลา ! เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะขุดแปลงนาเอง ไว้คืนพรุ่งนี้มีเวลาว่างค่อยมาทำต่อ รอให้ข้าซื้อเมล็ดข้าวมาได้แล้ว กว่าจะถึงตอนนั้นคงมีแปลงนาสัก 2-3 แปลงแล้วกระมัง”
ที่บ้านของนางมีเมล็ดข้าวสาลี เพียงแต่ว่าข้าวสาลีที่ชาวบ้านปลูกมาได้นั้นกลับไม่มีโอกาสได้กิน ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก !
เฮ่อจิ่นไม่ได้ห้ามสวีฮุ่ย เขามองดูหนูน้อยหยิบพลั่วขึ้นมาเลือกพื้นที่แล้วขุดพรวน ในตอนแรกเฮ่อจิ่นยังพอทนดูได้ แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วเห็นว่าสวีฮุ่ยเหนื่อยจนต้องนั่งลงกับพื้นพลางหอบหายใจ แต่กลับไม่ยอมเรียกเขาไปช่วย เขาจึงบินไปหานางด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หนูน้อย เจ้าทำอะไรได้บ้าง รีบเข้าไปทำอะไรกินในห้องครัวเถิด ตัวน้อยขนาดนี้แล้วเมื่อไหร่จะเปิดร้าน นำพาคนในตระกูลไปสู่ความมั่งคั่งได้เล่า !”
“ข้าเพิ่งอายุ 6 ขวบเองนะ แบบนี้เป็นเรื่องปกติมาก ! ขนาดข้ายังไม่รีบร้อนเลย แล้วเจ้าจะรีบไปทำไม หรือเจ้าอยากจะนำมิติไปจากข้าโดยเร็ว ?” สวีฮุ่ยเดาไว้แต่แรกแล้วว่าสุดท้ายเฮ่อจิ่นจะต้องมาช่วยนาง เพียงแต่นางมิได้คิดจะพึ่งพาผู้อื่นจนเกินไป แม้ว่านางจะอยากทำเงิน แต่นางก็รู้ดีว่าควรไปทีละขั้น ใจร้อนไปเยี่ยงไรก็มิสามารถเปิดร้านอาหารของตัวเองในชั่วพริบตาเดียวได้
ทางด้านเฮ่อจิ่น
ตัวเขาเองจะเอามิติไปที่ไหนได้ ? เพราะทุกครั้งที่เจ้านายคนเก่าตายไป มิติและภูตมิติจะเข้าสู่สภาวะหลับใหล เมื่อใดก็ตามที่พบเจ้านายคนใหม่ พวกมันจะลืมเรื่องราวทุกอย่างของเจ้านายคนเก่าไปทั้งหมด และติดตามรับใช้เจ้านายคนใหม่ต่อไป
ในฐานะภูตประจำมิติ เขามิสามารถไปจากมิติได้ ยิ่งมิอาจไปจากเจ้าของได้เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะออกไปจากมิติได้เป็นครั้งคราว แต่เขามิสามารถอยู่ด้านนอกเป็นเวลานานได้ ทว่าลวี่อู๋มีพลังวิญญาณเข้มข้นกว่า จึงสามารถออกไปอยู่กับเจ้านายได้บ่อย ๆ เพียงแต่มิรู้ว่าเจ้าหมอนั่นจะตื่นขึ้นมาตอนไหน