ตอนที่แล้วตอนที่ 17 : ญาติจากบ้านยายมาเยี่ยม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19 : ปากร้ายใจดี

ตอนที่ 18 : มีแผนจะตั้งร้านแผงลอย


ตอนที่ 18 : มีแผนจะตั้งร้านแผงลอย

ถึงแม้ว่าไส้เกี๊ยวจะมีผักเยอะหมูน้อย แผ่นแป้งที่นำมาห่อเกี๊ยวจะเป็นแป้งหมี่ขาวครึ่งหนึ่งและแป้งธัญพืชครึ่งหนึ่ง ทว่ามันกลับเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับชาวชนบท หากมิถึงช่วงเทศกาลสำคัญก็มักจะมิค่อยได้กิน

ถ้าหากมิใช่เป็นเพราะขายปลาตัวใหญ่ได้เมื่อวาน ตระกูลสวีคงเสียดายไม่กล้าซื้อเนื้อมาห่อเกี๊ยว

“ฮุ่ยฮุ่ย ไปอยู่บ้านยายกับป้าใหญ่สักสองสามวันไหม !” ซุนเซียงเตรียมจะกลับบ้านแล้ว สวีจื้อหย่งผูกเกวียนกับวัวแก่ จัดเตรียมปลาแห้งอีกบางส่วนไปฝากบ้านตระกูลโจว รวมถึงปลาทอดเค็มที่สวีฮุ่ยทำ ส่วนโจวเสี่ยวเหมยได้ถักรองเท้าไว้ให้พ่อกับแม่ของตนคนละคู่ เติ้งอาเหลียนเป็นคนทำตัวรองเท้า ส่วนโจวเสี่ยวเหมยถักพื้นรองเท้าเอง

อีกไม่กี่วันจะถึงช่วงเพาะปลูกแล้ว สวีฮุ่ยยังอยากช่วยทำอาหารให้ที่บ้านอยู่เลย ! อีกอย่างเพลานี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตระกูลโจว หากไปตอนนี้ก็เกรงว่าจะจำคนผิด “ป้าใหญ่ รอให้บ้านของข้าปลูกพืชเสร็จก่อน แล้วข้าจะไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและพวกท่านลุง !”

โจวตงชูตบบ่าน้องสาวผู้เป็นญาติ “เจ้าจะไปอยู่ที่บ้านตระกูลโจวในช่วงเพาะปลูกและช่วงเก็บเกี่ยวของทุกปี เหตุใดปีนี้ถึงไม่ไปเล่า ? อ้อ ข้ารู้แล้ว เจ้าอยากให้อาเล็กมารับเจ้าใช่หรือไม่ ?”

สวีฮุ่ยถึงกับยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธ “ไม่ต้องมารับข้าหรอก ปีนี้ข้าอายุหกขวบแล้ว สามารถช่วยงานบ้านได้บ้างแล้ว แม้นท่านพ่อและท่านแม่จะไม่ให้ข้าช่วยงานทำสวนทำไร่ แต่ข้าก็ยังสามารถอยู่บ้านช่วยงานท่านย่าได้

ท่านพี่กลับไปแล้ว อย่าลืมฝากถามไถ่ทุกข์สุขพวกผู้ใหญ่แทนข้าและพี่ชายทั้งสองด้วย บอกพวกเขาว่าหากพวกเรามีเวลา พวกเราจะไปเยี่ยมเยียนพวกเขาแน่นอน”

โจวตงชูเอามือปิดปากหัวเราะ รอให้อาเล็กกลับมาก่อนเถิด น้องสวีฮุ่ยจะต้องไปเที่ยวบ้านโน้นอย่างว่านอนสอนง่ายแน่นอน

เมื่อส่งแม่ลูกซุนเซียงและโจวตงชูกลับไปแล้ว เติ้งอาเหลียนได้นำไก่ทั้งสองตัวไปไว้ในเล้า นำตีนหมูใส่หม้อและเติมน้ำลงไป อยากจะต้มให้หลานสาวกิน

สวีฮุ่ยทะลุมิติมาอยู่กับตระกูลนี้หลายวันแล้ว นางมองออกเช่นเดียวกันว่าหากตระกูลสวีไม่ทำเมนูต้มก็จะทำเมนูตุ๋น เวลาทำอาหารจะโรยแค่เกลือเล็กน้อย เหยาะซีอิ๊วหมักลงไปนิดหน่อย และไม่มีเครื่องปรุงอื่นใดอีก

“ข้าอยากลองทำอาหารเสียหน่อย ท่านย่า ท่านแม่ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าได้หรือไม่ ? ที่บ้านมีมันฝรั่งไหม ?”

“มี แม่จะไปเอามาให้ !” โจวเสี่ยวเหมยบอก

สวีฮุ่ยคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีมันฝรั่ง เพราะหลายวันมานี้ไม่เห็นบนโต๊ะอาหารมีเมนูของมันฝรั่งเลยสักจาน

“ท่านย่า ปกติเขากินมันฝรั่งกันเยี่ยงไรหรือ ?”

“ต้มกินและเผากิน ตอนนี้มันฝรั่งส่วนใหญ่เริ่มเหี่ยวแล้ว ไม่ค่อยอร่อย ส่วนใหญ่ชาวบ้านจึงไม่กินกันในช่วงนี้ แต่จะเก็บไว้ปลูก เจ้าถามทำไมหรือ ?”

“มันฝรั่งที่บ้านเรามีตางอกหรือยัง ?” เพราะหากมีตางอกออกมาจะไม่สามารถกินได้ มันมีพิษ สวีฮุ่ยคิดว่าต้องถามเรื่องนี้ให้แน่ชัด

“พี่ใหญ่ของเจ้าชอบกินมันฝรั่งเผา บ้านของเราเอามันฝรั่งครึ่งหนึ่งใส่ไว้ในห้องใต้ดิน อีกส่วนนำมาทำให้ตุ่มตาของมันงอก ผ่านไปสักระยะถึงจะเอาไปปลูก !”

สวีฮุ่ยล้างมันฝรั่งให้สะอาดแล้วเปลือกปอก สวีฮุ่ยใส่น้ำมันหมูลงไปในหม้อเล็กน้อย หลังจากผัดกับหอมหัวใหญ่และขิงแล้ว นางเติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย แล้วใส่ขาหมูลงในซุป รอให้ขาหมูสุกประมาณแปดส่วน ถึงได้ใส่ชิ้นมันฝรั่งลงไป

ถึงแม้ว่าเมนูมื้อเย็นจะมีแค่เมนูเดียว แต่เมื่อเห็นกะละมังเล็กที่พูนไปด้วยขาหมูตุ๋นมัน อีกทั้งกลิ่นของมันยังหอมเสียจนสวีเจี้ยนหลินน้ำลายไหล

“ไม่คิดเลยว่าจะทำมันฝรั่งกินแบบนี้ได้ด้วย !” มันฝรั่งตุ๋นจนได้รสสัมผัสที่นุ่มลิ้น ผสมผสานเข้ากับรสชาติของขาหมูและน้ำซุป ทำให้รสชาติที่ได้ไม่แย่ไปกว่าขาหมูเลย ขนาดเติ้งอาเหลียนยังกินไปเสียเยอะ

โจวเสี่ยวเหมยเองก็กินจนอิ่มเช่นเดียวกัน จึงลุกไปเก็บห้องใต้ดินเพื่อย่อยอาหาร ส่วนสวีจื้อหย่งได้พาลูกชายไปเก็บข้องที่ดักปลาไว้ ที่บ้านจึงเหลือเพียงแค่สตรีผู้ใหญ่และเด็กรวมสามคน

“ท่านแม่ ท่านคิดว่าหากเราตุ๋นเนื้อด้วยสูตรของฮุ่ยฮุ่ยแล้วนำไปขายที่ตลาดจะขายได้หรือไม่ !” วันนี้ตีนหมูหอมเหลือเกิน โจวเสี่ยวเหมยคิดว่าหากนำไปขายคงจะขายดีไม่น้อย

เติ้งอาเหลียนก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง สวีฮุ่ยดีใจมากที่ตระกูลเริ่มคิดจะทำอาหารขาย เพียงแต่หากให้ขายหมูตุ๋นที่ตลาด……

“ท่านแม่ ท่านย่า ข้าคิดว่าเราไม่ควรขายหมูตุ๋นที่ตลาด เพราะหนึ่งเลยก็คือ นับวันอากาศก็ยิ่งร้อน หมูตุ๋นบูดง่าย หากขายไม่หมดในตอนเช้า เกรงว่าอาจจะบูดได้ ซึ่งเราต้องแบกรับความเสี่ยงสูง;และประการที่สอง คนที่มาเดินตลาดส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป จะมีสักกี่คนเชียวที่ยอมจ่ายเงินหลายสิบอีแปะเพื่อซื้อหมูตุ๋นกลับไปกินที่บ้าน ส่วนเศรษฐีจริง ๆ ก็แทบจะไม่มาเดินตลาด;ประการที่สาม ต้นทุนของมันมีราคาสูงมาก ได้ไม่คุ้มต้นทุน เพราะหากเราซื้อเป็นจำนวนมากย่อมต้องใช้เงินเยอะ และหากขายไม่หมดขึ้นมา เราจะเอากลับมากินกันเองที่บ้านหรือ !”

เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยหันไปมองสวีฮุ่ยพร้อมกัน “เช่นนั้นเจ้าบอกเราหน่อยได้ไหมว่าอยากขายของกินใดที่ตลาด ?”

“เกี๊ยวหรือไม่ก็ซุปปลากับแผ่นแป้งทอด เพราะจ่ายแค่ไม่กี่อีแปะก็สามารถกินเกี๊ยวได้ครึ่งชามแล้ว พวกเราทำเป็นไส้ผักจะได้ราคาถูกลงมา อีกอย่างยังสามารถเอาแป้งกับไส้เนื้อไปทำหน้าร้านได้ ขายได้เท่าไหร่ก็ห่อเท่านั้น !

ซุปปลาก็ไม่เลวเช่นเดียวกัน หากเราเตรียมวัตถุดิบพร้อมหมดแล้วก็สามารถนำไปต้มที่ร้านได้ หรือจะต้มให้เสร็จไปจากที่บ้าน แล้วค่อยห่อผ้าไปก็ย่อมได้” สวีฮุ่ยคิดเรื่องพวกนี้ไว้แต่แรกแล้ว เพราะนางจะเริ่มต้นจากธุรกิจเล็ก ๆ ก่อน หากเปิดร้านมาก็ทำหมูตุ๋นเลย แบบนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก

“ย่ากับแม่ของเจ้าขอลองคิดดูก่อน ประเดี๋ยวจะถึงช่วงเพาะปลูกแล้ว ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องตั้งแผงลอยขายของเลย รอให้เราเพาะปลูกเสร็จก่อนแล้วค่อยไปเดินตลาด ดูว่าอาหารประเภทใดขายดีบ้าง !” เติ้งอาเหลียนพูดดักไว้ก่อน

นับได้ว่าย่าของนางเป็นคนคิดเผื่อเสมอ เพราะย่ารู้จักการสำรวจตลาด สวีฮุ่ยรับประกันกับพวกนางว่าตนจะเป็นคนปรุงเครื่องปรุงเอง หากพวกนางทั้งสามช่วยกันเป็นอย่างดี รับรองเลยว่าจะต้องทำเงินได้แน่นอน

ผู้เป็นแม่และย่ามองหน้ากัน เพราะพวกนางยังไม่วางใจให้สวีฮุ่ยไปเปิดเผยหน้าตาของตนเองที่ตลาด ขอเพียงแค่หนูน้อยบอกวิธีมาก็ได้แล้ว

สามพ่อลูกนำโดยสวีจื้อหย่งถือปลาตะเพียนขนาดตัวเท่าฝ่ามือมาสามตัวและปลาตัวเล็กๆ อีกไม่กี่ตัวกลับมาที่บ้าน สวีเจี้ยนหลินกลับมาถึงก็บ่นอุบว่าเหตุใดวันนั้นน้องสาวของตนถึงตกได้ปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น เพลานี้กลับเหลือแค่ปลาตัวเล็กตัวน้อย หรือว่าปลาตัวใหญ่เพิ่งโผล่มาวันนั้นแล้วก็โดนพวกเขาจับขึ้นมาหมดแล้ว ?

“เจ้าบ่นอะไร ? เจ้าคิดว่าในแม่น้ำมีแต่ปลาตัวใหญ่หนักหลายสิบชั่งหรือ ข้าอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อวานเช่นกัน !” เติ้งอาเหลียนเอ็ดหลานชาย

“ครั้งหน้าพาน้องเล็กไปตกปลาด้วยดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้ปลาตัวใหญ่มาอีกก็ได้ !” สวีเจี้ยนหลินที่โดนย่าดุไม่หลาบจำ ยังไม่วายส่งสายตาอ้อนไปหาน้องสาว

สวีฮุ่ยส่ายหน้าปฏิเสธทันที คราที่แล้วเฮ่อจิ่นสูญเสียพลังวิญญาณไปเยอะมากเพราะตกปลาตัวใหญ่พวกนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาและไม่พูดโต้ตอบกับนางสักคำ เมื่อเทียบกับเงินหนึ่งตำลึงเงินที่ได้มานั้นไม่คุ้มค่าเสียเลย นางควรให้เฮ่อจิ่นเก็บรักษาพลังวิญญาณเอาไว้ รอให้ถึงคราวจำเป็นก่อนค่อยใช้มัน

“นับว่าเจ้ายังเป็นคนดีที่ไม่อยากใช้ข้าเป็นเบ็ดตกปลาอีกครั้ง !” เสียงของเฮ่อจิ่นดังออกมาจากในมิติ

“เจ้าตื่นแล้ว !” น้ำเสียงของสวีฮุ่ยเต็มไปด้วยความดีใจและประหลาดใจในคราวเดียวกัน เฮ่อจิ่นได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกพอใจไม่น้อย เพราะหนูน้อยผู้นี้ยังถือว่าเป็นคนดี !

“ข้าเพิ่งตื่นขึ้นมาน่ะ คืนนี้เจ้าเอามันฝรั่งเข้ามาในมิติสิ ข้าจะช่วยเจ้าปลูก !”

“ตกลง !” ก่อนนอน สวีฮุ่ยจึงเก็บมันฝรั่งที่เหลือเข้าไปไว้ในมิติ นอกจากนี้นางยังทดลองนำปลาตะเพียนเข้าไปไว้ในมิติอีกสองตัวด้วย

ภายในมิติ เฮ่อจิ่นกำลังปลูกมันฝรั่ง ส่วนสวีฮุ่ยได้หาพลั่วอันเล็กมาขุดหลุมใหญ่พอประมาณ แล้วนำน้ำแร่เทลงไป จากนั้นก็ปล่อยปลาตะเพียนสองตัวนั้นลงไป

เช้าตรู่วันต่อมา เฮ่อจิ่นได้ตะโกนเรียกให้สวีฮุ่ยมาเอามาตะเพียนออกไป ตอนแรกสวีฮุ่ยนึกว่าเฮ่อจิ่นไม่ยอมให้นางเลี้ยงปลา แต่พอเข้าไปในมิติถึงได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด เมื่อวานปลาตะเพียนทั้งสองตัวต่างก็มีไข่ปลาอยู่เต็มท้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิในมิติมันเหมาะสมหรือเพราะสาเหตุใด เพียงคืนเดียว ไข่ปลาก็หลุดออกมาจากท้องแม่ปลาแล้ว ตอนนี้ไข่พวกนั้นนอนอยู่ก้นบ่อ

“เจ้าหนูน้อยนี่ขยันหางานมาให้ข้าเสียจริงเลยนะ!” เฮ่อจิ่นบ่นพลางทำงานไปด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด