ตอนที่ 17 : ญาติจากบ้านยายมาเยี่ยม
ตอนที่ 17 : ญาติจากบ้านยายมาเยี่ยม
และก็เป็นอย่างที่หนูน้อยสวีฮุ่ยคาดเอาไว้ไม่มีผิด วันนี้ตระกูลของนางยังมิไปตลาด และมิได้คิดจะไปจับปลาเช่นเดียวกัน สวีจื้อหย่งตั้งใจว่าจะซ่อมแซมอุปกรณ์ทำไร่ทำสวน ในขณะที่โจวเสี่ยวเหมยตั้งใจจะพาลูกชายทั้งสองคนขึ้นเขาไปเก็บผักป่า ซึ่งวันนี้ตรงกับวันหยุดของสวีเจี้ยนเหวินพอดี
“เดี๋ยวข้าจะพาฮุ่ยฮุ่ยห่อเกี๊ยวอยู่ที่บ้าน ตอนกลางวันพวกเจ้าก็รีบกลับมาแล้วกัน !”
สวีเจี้ยนหลินไม่เพียงแค่รับปากอย่างมีความสุขเท่านั้น ตัวของเขาก็แทบจะกระโดดลอยตัวขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจ เพราะวันนี้ที่บ้านมีของกินแสนอร่อย ทำเอาคนอื่นในตระกูลที่ได้เห็นแบบนั้นก็ถึงกับพากันส่ายหัว
เติ้งอาเหลียนอยากจะไปเก็บหัวไชเท้าและผักกาดขาวมาทำไส้เกี๊ยว แล้วค่อยสับหมูเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทว่าสวีฮุ่ยยืนกรานว่าจะใช้ผักป่าที่เก็บมาเมื่อวาน สุดท้าย ด้วยความจนใจเติ้งอาเหลียนจึงต้องยอมให้แก่หลานสาวโดยดี
และเนื่องจากสวีฮุ่ยยังเด็กเกินไป เติ้งอาเหลียนจึงรับหน้าที่เป็นคนสับผักและหมูเพื่อนำมาใช้เป็นไส้เกี๊ยว สวีฮุ่ยขอให้ผู้เป็นย่าช่วยจุดไฟใต้หม้อใบเล็ก จากนั้นนางก็ใส่น้ำมันหมูลงไปครึ่งช้อน แล้วใส่หอมแดงและหอมหัวใหญ่ลงไปผัด ส่งกลิ่นหอมไปทั่วครัว
หลังจากที่เติ้งอาเหลียนสับผักป่าและเนื้อหมูเสร็จแล้ว นางก็ไปนวดแป้งต่อ สวีฮุ่ยใช้ตะเกียบผสมเนื้อสับและผักป่าเข้าด้วยกัน แล้วโรยด้วยเกลือเล็กน้อย จากนั้นก็ใส่หอมแดงและหอมหัวใหญ่ที่ผัดกับน้ำมันหมูอุ่น ๆ เทน้ำมันงาใส่เล็กน้อย แล้วตามด้วยเครื่องปรุงที่นางแอบเอามาจากในมิติ
“รสชาติไส้เกี๊ยวในวันนี้ช่างแปลกใหม่จริง ๆ วันหน้าหากบ้านของเราห่อเกี๊ยวและซาลาเปาอีก ย่าจะให้เจ้าเป็นคนทำไส้”
“ท่านย่า ปกติข้าก็สามารถช่วยท่านทำอาหารได้เช่นกัน ! อย่าเห็นแค่ว่าข้าเป็นเด็กตัวเล็กกะจ้อยร่อยเชียว ข้าสามารถทำได้ตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง จะให้ข้าไปทำไร่ทำนากับท่านพ่อท่านแม่ก็ย่อมได้ !”
ตระกูลสวีมิเคยคาดหวังให้สวีฮุ่ยต้องมาตกระกำลำบากทำไร่ทำนา ขอเพียงแค่นางรักษาตัวเองให้ดี ไม่ถูกผู้ใดรังแก เพียงเท่านี้คนในตระกูลก็พอใจแล้ว
ถ้าหากนางเอาแต่อยู่ที่บ้าน แล้วนางจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าธุรกิจไหนที่ไปได้ดีและควรทำของกินเล่นประเภทไหนถึงจะขายได้เงินดีในเขตเทศมณฑล ไม่ว่าเยี่ยงไร สวีฮุ่ยก็อยากเข้าไปเดินเล่นในเขตเทศมนตรีเสียหน่อย
ตอนนี้คนในตระกูลกำลังค่อย ๆ ยอมรับเรื่องที่นางทำอาหารเก่งได้แล้ว ไว้รอหาโอกาสที่เหมาะสม บางทีก็อาจจะเริ่มทำธุรกิจได้แล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เติ้งอาเหลียนแปลกใจก็คือ หลานสาวของนางไม่เพียงแต่ทำไส้เกี๊ยวได้อร่อยเท่านั้น แต่ยังสามารถห่อเกี๊ยวได้อย่างประณีตดูดีด้วยความเร็วที่ไม่ได้ช้าไปกว่านางเลย บางครั้งนางก็มักจะจับจีบเกี๊ยวด้วยท่าทีที่ดูคุ้นเคยและรวดเร็ว
ราวกับว่า……เมื่อก่อนนางทำเรื่องพวกนี้เป็นประจำอย่างนั้นแหละ
“ย่าใหญ่ เสี่ยวเหมย ฮุ่ยฮุ่ย พวกเจ้าอยู่บ้านหรือไม่ ?” มีเสียงคนตะโกนเรียกอยู่ด้านนอก
เติ้งอาเหลียนถอดผ้ากันเปื้อนออก เช็ดมือบนผ้าแห้งแล้วออกไปเปิดประตู “ภรรยาของป๋อหยางเองหรือ ! พวกเจ้าเดินมาใช่ไหม ? เดินมาไกลขนาดนี้คงเหนื่อยแย่ ! รีบเข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเถิด ! ตงชูสูงขึ้นเยอะเลยนะ นับวันก็ยิ่งเป็นสาวแล้ว เข้ามาในบ้านก่อนสิ ฮุ่ยฮุ่ย ป้าใหญ่และลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามา ออกมาต้อนรับพวกนางสิ !”
สวีฮุ่ยเห็นพวกนางตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกนางมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลสวี จึงมิกล้าทะเล่อทะล่าออกไป โชคดีที่ตอนนี้ท่านย่าได้บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางและทั้งสองแล้ว สวีฮุ่ยจึงรีบวิ่งออกมากล่าวทักทายด้วยเสียงหวาน “ป้าใหญ่ ท่านพี่ !”
“ฮุ่ยฮุ่ย อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเจ้าหายหรือยัง ยายกับตาของเจ้าเป็นห่วงแทบแย่ จึงให้ป้าและพี่ตงชูของเจ้ามาเยี่ยม !” ป้าใหญ่ของสวีฮุ่ยมีชื่อว่าซุนเซียง ส่วนเด็กผู้หญิงข้างกายของนางเป็นลูกพี่ลูกน้องของสวีฮุ่ย ชื่อโจวตงชู
“ขอบคุณที่ท่านยาย ท่านตา ป้าใหญ่และพี่ตงชูที่เป็นห่วง ตอนนี้แผลบนศีรษะของข้าสมานกันดีแล้ว สะเก็ดแผลก็หลุดไปแล้วเจ้าค่ะ !” สวีฮุ่ยยื่นหัวไปให้สองแม่ลูกดู
นี่เพิ่งผ่านมากี่วันเอง แผลลึกขนาดนั้นหายดีแล้วหรือ ! ซุนเซียงและโจวตงชูมองแผลของหนูน้อยอย่างละเอียด นอกจากรอยแผลเป็นจาง ๆ แล้วก็ไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
ซุนเซียงพนมมือประสานกัน “อมิตาพุทธ สวรรค์คุ้มครอง ฮุ่ยฮุ่ยของเราช่างเป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับความโชคดีแท้ ๆ”
“ดีเหลือเกิน ฮุ่ยฮุ่ย แบบนี้พวกเราก็เล่นด้วยกันได้แล้วน่ะสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านอาเล็กใกล้จะกลับมาแล้ว แถมคราวนี้เขายังได้อยู่บ้านตั้งหนึ่งเดือนแหนะ กว่าจะไปอีกคราวหน้าก็รอไปเข้าร่วมการสอบรอบฮุ่ยซื่อถึงจะกลับมาใหม่ ข้าล่ะอยากเห็นภาพที่ท่านอาเล็กขี่ม้าตัวใหญ่ไปตามถนนเสียจริง ข้าเชื่อว่าจะต้องดึงดูดสตรีให้ลุ่มหลงได้ไม่น้อยเชียวล่ะ !” ผู้ที่โจวตงชูนับถือที่สุดก็คืออาเล็กของนางนี่แหละ เพราะอาเล็กทั้งเป็นบุรุษรูปงามและมีความรู้ความสามารถ !
สวีฮุ่ยยิ้มน้อย ๆ เป็นการตอบรับลูกพี่ลูกน้องของนาง นางไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่บ้านฝ่ายแม่ของตนมากนัก จึงไม่กล้ากล่าวอะไรตามอำเภอใจ และนางเองก็รู้สึกประหลาดใจต่อท่านอาผู้มากความสามารถของตนเองจริง ๆ นางเองก็อยากเห็นเขาสักครั้ง
สองแม่ลูกซุนเซียงและโจวตงชูนำแม่ไก่และพ่อไก่ติดมาอย่างละตัวด้วย นอกจากนี้ยังมีเท้าหมูอีกสองชิ้นและน้ำตาลทรายแดงอีกสองถุง สิ่งเหล่านี้น่าจะมีราคาไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าตระกูลท่านยายต่างก็รักและเอ็นดูหลานสาวอย่างสวีฮุ่ยเช่นเดียวกัน
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเผลอทะลุมิติมาเป็นลูกสาวแก้วตาดวงใจของตระกูล สวีฮุ่ยรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก “ป้าใหญ่และพี่ตงชูเดินมาตั้งไกลขนาดนี้ พวกท่านคงกระหายน้ำแย่ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำมาให้ดื่ม !”
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าพักเถิด ข้ารู้ว่าโอ่งน้ำบ้านเจ้าอยู่ไหน ข้าจะไปตักมาเอง !” โจวตงชูลึกขึ้นยืน เตรียมจะเดินเข้าครัวไปตักน้ำ
“พวกท่านเป็นแขก ข้าเป็นเจ้าบ้านก็ควรจะต้อนรับแขกให้ดี ท่านพี่นั่งพักก่อนเถอะ !” ชาติที่แล้ว สวีฮุ่ยเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูล นางไม่เคยมีพี่น้องมาก่อน ในตอนที่นางทะลุมิติมาอยู่กับตระกูลสวีแรก ๆ นางยังไม่ชิน แต่พอเวลาผ่านไปไม่กี่วัน นางก็เริ่มปรับตัวเข้ากับตระกูลนี้ได้แล้ว
ในตอนที่นางยกขันน้ำออกมาจากห้องครัวนั้น สวีฮุ่ยได้แอบหยดน้ำแร่ลงไปเล็กน้อย เพราะนางหวังว่ามันจะช่วยคลายความเหนื่อยล้าให้แก่ป้าใหญ่และพี่ตงชูได้บ้าง
ซุนเซียงยกน้ำขึ้นมาดื่มไปสองอึก นางเลียริมฝีปากเล็กน้อยแล้วก้มหน้าดื่มน้ำอีกครั้ง โจวตงชูจึงถามแม่ของตนว่าน้ำที่น้องฮุ่ยฮุ่ยยกมาให้มันหวานหรือ ถึงได้ยกดื่มไม่ยอมวางเสียที
“จะว่าไปแล้วน้ำดื่มที่ฮุ่ยฮุ่ยยกมาให้หวานกว่าน้ำที่เจ้ายกมาให้แม่ดื่มเสียอีก !” ซุนเซียงดื่มไปอีกหนึ่งอึก แล้วยื่นขันน้ำให้แก่ลูกสาวตนเอง
น้ำเย็นใส่ขันธรรมดาจะหวานไปสักเท่าไหร่กันเชียว โจวตงชูอยากจะลองชิมสักอึก แต่หลังจากที่นางแซวแม่ของตน นางก็คาดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะดื่มน้ำดัง “อึก อึก” จนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“ยังกล้ามาว่าแม่อีก เจ้าก็ไม่ต่างกันหรอก !” ซุนเซียงแซวลูกสาวของตนแล้วก็หันไปถามสวีฮุ่ยว่าอยากไปอยู่บ้านยายสักสองสามวันหรือไม่
โจวตงชูก้มมองขันตักน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้ ? ทำไมน้ำที่น้องสาวตักมาให้ถึงได้หวานขนาดนี้ ! ด้วยความสงสัย นางจึงเอาขันน้ำเข้าไปในห้องครัวแล้วลองตักขึ้นมาดื่มด้วยตัวเอง “น้ำที่ข้าตักขึ้นมาไม่ได้หวานเหมือนกับน้ำที่น้องสาวตักขึ้นมาจริงด้วย ข้ารูปไม่งามเท่านางไม่พอ แม้แต่น้ำก็ยังรังแกข้าอีกหรือ !”
สวีฮุ่ยไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้เยี่ยงไรเช่นเดียวกัน และนางก็ไม่สามารถพูดความจริงได้ หลังผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม พ่อกับแม่และพี่ชายทั้งสองของนางก็กลับมาแล้ว เติ้งอาเหลียนจึงเข้าครัวไปนึ่งเกี๊ยว
“เกี๊ยวที่ทำในวันนี้สามารถกินได้เต็มที่เลยหรือไม่ ?” สวีเจี้ยนหลินมองเกี๊ยวในชามพลางเอ่ยถาม
เพราะตอนแรกไม่รู้ว่ามีแขกมาที่บ้าน เติ้งอาเหลียนและสวีฮุ่ยจึงทำตามจำนวนสมาชิกในตระกูล เติ้งอาเหลียนอยากจะทำชามพิเศษให้หลานสาว เผื่อเด็กน้อยจะหิวในยามกลางคืนหรือตื่นเช้ามากินก็ได้
ตอนนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกสองคน แค่แบ่งกินให้เท่า ๆ กันแล้วกินอิ่มก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อยากจะกินอย่างเต็มที่ย่อมไม่ได้แน่นอน !
สวีฮุ่ยดึงแขนเสื้อพี่รองจากใต้โต๊ะ มักมีคำพูดที่ว่าเด็กหนุ่มวัยกำลังโตมักกินจุ หากให้พี่รองของนางกินอย่างเต็มที่ ป้าใหญ่และพี่ตงชูจะกล้ากินได้เยี่ยงไร
ถึงเยี่ยงไร สวีเจี้ยนเหวินก็อายุมากกว่าสองสามปี เขาจึงยื่นเท้าไปเตะขาน้องชายของตน “ข้าและเสี่ยวหลินจื่อเผาไข่ไก่ป่ากินบนภูเขาไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่ค่อยหิวหรอก !”
พวกเขากินไข่ไก่ป่าเผามาตอนไหน ! ไม่ทันรอให้สวีเจี้ยนหลินได้พูดอะไร เติ้งอาเหลียนจึงหันไปกล่าวกับซุนเซียง “รีบชิมดูสิ ฮุ่ยฮุ่ยเป็นคนปรุงไส้เกี๊ยวเชียวนะ ขนาดตอนปรุงยังได้กลิ่นหอมลอยมา รสชาติตอนกินก็น่าจะไม่เลวเช่นเดียวกัน”
หากรู้ว่าซุนเซียงและโจวตงชูจะมา นางก็จะหั่นผักมาทำไส้เกี๊ยวให้มากกว่านี้ ตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่แบ่ง ๆ กันกินไปก่อน