ตอนที่ 14 : ข้าแน่ใจว่านางมิได้ทำ
ตอนที่ 14 : ข้าแน่ใจว่านางมิได้ทำ
ตระกูลสวีคาดหวังเช่นกันว่าสวีเจี้ยนเหวินจะเป็นเหมือนกับน้าชายของเขา ที่สอบได้บัณฑิตซิ่วไฉกลับมาเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ตระกูล ดังนั้นพวกเขาจึงสนใจคำแนะนำของสวีฮุ่ย
“อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลเลย รีบเอาปลาพวกนี้ไปขายให้โรงเตี๊ยมในเทศมณฑลก่อนเถิด หลังจากขายปลาได้แล้ว พวกเราค่อยมาหารือกันว่าจะนำเงินไปใช้เยี่ยงไรก็ยังมิสาย หย่งจื้อ จำไว้ว่าให้หลีกเลี่ยงทางไปร้านอาหารของตระกูลสวี อย่าให้คนพวกนั้นเห็นปลาพวกนี้เด็ดขาด” เติ้งอาเหลียนคิดแล้วจึงมิลืมที่จะกำชับลูกชาย
สวีจื้อเกาเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ อยู่ในเทศมณฑล แต่กิจการของร้านเป็นเยี่ยงไร เติ้งอาเหลียนมิรู้ เพราะพวกเขามิเคยไปที่นั่นมาก่อน ทว่าสวีจื้อเกาผู้นั้นเป็นคนหน้าด้าน เขารู้ว่าสวีจื้อหย่งและหลานชายเก่งในเรื่องจับปลาตกกุ้ง ทุกครั้งที่เขาไปตลาดก็มักจะไปหาสวีจื้อหย่ง หากเห็นสวีจื้อหย่งก็มักจะขอของกลับไปด้วยทุกครั้ง
และเป็นเพราะมิสามารถซ่อนปลาเหล่านี้ได้ จึงต้องยอมยกให้ทั้งที่ใจมิยอม ต่อมาสวีจื้อหย่งจึงมินำปลาไปขายในตลาดอีกเลย ทุกครั้งที่เขาจับปลามาได้ก็มักจะนำไปขายให้กับโรงเตี๊ยมในเขตเทศมณฑล
“ท่านแม่ พวกข้าเข้าใจแล้ว วันนี้เราจะเก็บเงินที่ได้จากการขายปลาตัวใหญ่ไว้ ส่วนเงินที่ขายปลาตัวอื่นได้จะแบ่งไปซื้อเนื้อและแป้งหมี่ขาวสักสองชั่ง พรุ่งนี้จะได้ห่อเกี๊ยวให้เด็ก ๆ ได้กิน !” โจวเสี่ยวเหมยกล่าว
สวีจื้อหย่งยกถังน้ำขึ้นมาแล้วตักน้ำจากในแม่น้ำขึ้นมาเล็กน้อย เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยช่วยกันนำปลาเป็นใส่ลงไปในถัง สวีฮุ่ยวิ่งเข้ามาแล้วแอบหยดน้ำแร่จากในมิติใส่ลงไปในถังแต่ละใบ
เติ้งอาเหลียนนึกว่าหลานสาวเสียดายปลาตัวใหญ่ ขณะที่นางกำลังตัดใจกัดฟันเหลือปลาตัวใหญ่เอาไว้ ก็ได้ยินหลานสาวพูดว่า “ท่านแม่ ถ้าหากอาสามยังหน้ามิอายมาแย่งปลาไปจากเรา ท่านก็แค่ข่วนเขา ดูซิว่าเขาจะยังหน้าด้านยื่นมือมาอีกหรือไม่ !” สวีฮุ่ยยังยื่นมือออกมาทำท่าข่วนให้ดู นางทั้งมิชอบและรำคาญสวีจื้อเการวมถึงแม่และน้องสาวของเขาด้วย !
“นับวันฮุ่ยฮุ่ยของเราก็ยิ่งฉลาดขึ้นแล้ว !” เติ้งอาเหลียนชอบหลานที่กล้าพูด กล้าบอกความต้องการของตนเอง หากเป็นตระกูลที่มีฐานะ ย่อมสามารถอบรมลูกสาวให้เป็นสุภาพสตรีได้ แต่เด็กสาวผู้แสนเชื่อฟังที่เติบโตในชนบทนั้น พวกนางมิเพียงแต่กินไม่อิ่มที่บ้านเท่านั้น ยามแต่งงานออกเรือนไปก็มักจะได้รับความไม่เป็นธรรมเสมอ
สวีจื้อหย่งและโจวเสี่ยวเหมยไปแล้ว สวีเจี้ยนหลินจึงลงน้ำไปเก็บข้องดักปลาและเบ็ดตกปลา พลางบ่นพึมพำกับตนเองว่า “เหตุใดข้าถึงตกมิได้ปลาตัวใหญ่อย่างน้องเล็กบ้าง ? นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเชียวนะที่ได้เห็นปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น !”
เติ้งอาเหลียนดึงหูหลานชายของตัวเองขึ้นมา “ช่างกล้าพูดนะ……เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว คำพูดนี้น่ะข้าพูดได้ แต่เจ้ายังมิควรที่จะพูดมัน เข้าใจหรือไม่ !”
“ท่านย่า พวกเราเจรจากันก่อนได้ ? หากครั้งหน้าท่านดึงหูข้าอีก ช่วยดึงข้างขวาแล้วกัน ท่านเหมือนกับท่านแม่ของข้ามิมีผิด ดึงแต่หูข้างซ้าย หากเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังข้าได้หูมิเท่ากันไปทั้งชีวิตแน่ !” สวีเจี้ยนหลินลูบหูตัวเอง พลางอ้อนวอนผู้เป็นย่า
“ทางขวาอยู่ด้านใด ?” เติ้งอาเหลียนถาม
สวีฮุ่ยปรารถนาดีช่วยชี้ใบหูข้างขวาของพี่รองให้ ถึงแม้ว่าตระกูลสวีจะมิได้มีฐานะร่ำรวย แต่คนในตระกูลกลับรักใคร่กลมเกลียวกันดี หากตัดเรื่องที่คนจากบ้านใหญ่ชอบมาวุ่นวายเป็นครั้งคราว ที่จริง……ชีวิตในตอนนี้ก็มิเลวแล้ว !
สามคนย่าหลานช่วยกันถือเบ็ด ข้องดักปลาและปลาที่หมกไฟมาแล้วพากันเดินกลับบ้านไปตามถนนสายเล็ก และในตอนที่พวกนางมาถึงประตูบ้านนั้น เติ้งอาเหลียนได้เลือกปลาหลีหนักหนึ่งชั่งกว่า ๆ ที่ตามตัวมีบาดแผลยื่นให้สวีเจี้ยนหลิน ให้เขานำไปให้ย่าชุย
ทุกครั้งที่ตระกูลของพวกนางมิอยู่กันทั้งบ้าน ก็มักจะไหว้วานย่าชุยและสะใภ้ของนางให้มาช่วยให้อาหารวัวแก่สองตัว แม่ไก่สามตัวและห่านอีกสองตัว
ย่าชุยรับปลามา แล้วให้แป้งทอดสีเหลืองนวลสองชิ้นแก่สวีเจี้ยนหลิน แป้งทอดแบบนี้มักผสมแป้งถั่วเหลืองลงไปด้วย เพราะหากมีแต่แป้งหมี่อย่างเดียว ตัวแป้งทอดจะเป็นสีดำ
“น้องเล็ก พี่ให้เจ้า !” สวีเจี้ยนหลินยื่นแป้งทอดสองชิ้นนั้นให้แก่น้องสาว
“ข้ายังมิหิวเลย ! พี่รองกับท่านย่ากินเถิด !” สวีฮุ่ยเห็นว่าดวงตาของพี่รองเอาแต่จับจ้องที่แป้งทอดสองแผ่นนั้น ในใจของนางพลันเกิดความรู้สึกสงสารจับใจ เมื่อไหร่หนอที่ตระกูลของนางจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น !
“ย่าจะไปหุงข้าว เสี่ยวหลินจื่อ เจ้ากินหนึ่งชิ้น แล้วแบ่งให้ฮุ่ยฮุ่ยหนึ่งชิ้นแล้วกัน !” เติ้งอาเหลียนมองตาหลานสาวก็รู้ใจของนางแล้ว หลานสาวมิชอบกินอาหารประเภทนี้ ทว่าตระกูลของพวกเขามีฐานะยากจน อย่าว่าแต่จะได้กินข้าวเนื้อละเอียดและเนื้อทุกวันเลย เดือนหนึ่งจะได้กินสักครั้งหรือเปล่าก็มิอาจจะคาดการณ์ได้ ตระกูลในชนบทล้วนเป็นเช่นนี้ทุกบ้าน นางจึงทำได้เพียงแค่สงสารหลานสาวเท่านั้น !
“ฮุ่ยฮุ่ย ย่าจะต้มไข่ให้เจ้ากิน !”
“ท่านย่า ข้ามิอยากกินไข่ เราเอาปลาตัวเล็ก ๆ ที่ดักได้ในข้องมาล้างให้สะอาด แล้วเราเอามาทอดเค็มมิได้หรือ ?” สวีฮุ่ยถาม
“เจ้าอยากกินแบบปลาทอดเค็มหรือ ย่าทำให้เจ้ากินเอง !”
“ท่านย่า ปลาทอดเค็มทำง่ายใช่หรือไม่ เช่นนั้นให้ข้าลองทำเองได้ไหม รับประกันเลยว่าข้าจะใส่น้ำมันหมูให้น้อยที่สุด !” สวีฮุ่ยทำไม้ทำมือประกอบ เพื่อให้ผู้เป็นย่ามั่นใจ
ถึงแม้ว่าเมนูปลาทอดเค็มจะทำง่าย แต่สุดท้ายมันก็ต้องใช้ทั้งน้ำมันและไฟ เติ้งอาเหลียนจึงมิวางใจให้หลานสาวทำเองเช่นกัน
สวีเจี้ยนหลินกินแป้งทอดเสร็จแล้วจึงอาสามาช่วยน้องสาวดูไฟ ส่วนเติ้งอาเหลียนทำปลาจนสะอาดเสร็จสรรพแล้ว นางได้เอาซอสถั่วเหลืองที่บ้านหมักเองออกมา แล้วดูหลานสาวเทปลาลงไปทอดในหม้อ……
“ย่าของฮุ่ยฮุ่ยอยู่บ้านหรือไม่ ? ข้าเอาไข่ไก่มาให้ !” เติ้งอาเหลียนได้ยินเสียงเรียกของนางหลี่ จึงบอกให้หลานชายหยุดเติมฟืน หลังจากบอกให้หลานสาวใส่ซอสลงไปแล้ว นางก็กำชับว่านางจะกลับมาตักขึ้นจากหม้อให้
“พี่รอง ท่านหาชามมาให้ข้าหน่อยสิ !”
“ได้ ประเดี๋ยวข้ากลับมาตักปลาขึ้นให้ เกิดมันลวกโดนตัวเจ้าขึ้นมา มีหวังหูของข้าได้โชคร้ายเป็นแน่ !”
เมื่อตรงเตาเหลือเพียงแค่สวีฮุ่ยผู้เดียว นางได้แอบเอาเมล็ดงา ถั่วลิสงและเมล็ดยี่หร่าที่บดแล้วใส่ลงไปในหม้อ สุดท้ายได้เติมน้ำมันงาไปอีกเล็กน้อย
“เหตุใดถึงได้หอมขนาดนี้ !” สวีเจี้ยนหลินเข้ามาในครัวก็ใช้จมูกดมฟุดฟิด พลางพูด “หอมเหลือเกิน !” มิขาดปาก
สวีฮุ่ยลงมาจากเตา “พี่รอง ท่านมาตักปลาให้ข้าหน่อย !” เพลานี้นางได้ทำสิ่งที่ควรทำไปแล้ว สวีฮุ่ยเปลี่ยนน้ำในอ่าง แล้วจัดแจงล้างหน้าและมือเพราะอยากกลับเข้าห้องไปดูเฮ่อจิ่นในมิติ
“ฮุ่ยฮุ่ย แผลที่ศีรษะของเจ้าหายดีหรือยัง มาให้ย่าหลี่ดูหน่อยสิ !” นางหลี่ชอบเด็ก ๆ ของตระกูลสวี ทั้งยังเห็นใจเติ้งอาเหลียนที่ต้องประสบพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย หลายปีมานี้นางจึงช่วยพูดแทนเติ้งอาเหลียนมามิน้อย
“สวัสดีเจ้าค่ะย่าหลี่ ตอนนี้แผลบนหัวของข้าสมานกันแล้ว มิเป็นไรแล้วเจ้าค่ะ !” สวีฮุ่ยเปิดผ้าพันแผลให้นางหลี่ดู
นางหลี่เพ่งมองอย่างละเอียดไปสักพัก “ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าช่างเป็นเด็กที่เกิดมาโชคดีนะ น้องหญิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้จ้าวยวี่จือผู้นั้นเดินยังขาเป๋แล้ว เมื่อวานชิงเหอไปทำธุระที่หยาเหมินในเทศมณฑล พบนางกำลังใช้ไม้เท้าค้ำยันตัวเองยืนขวางบุตรชายคนโตของตระกูลสวีที่หน้าประตูทางเข้าหยาเหมิน ยืนกรานจะให้เขาพาคนมาจับตัวเจ้าและฮุ่ยฮุ่ยไปให้ได้ นางยังพูดอีกว่าฮุ่ยฮุ่ยไปชักนำให้สิ่งมิดีเข้ามา”
“ตอนนั้นชิงเหอมิพอใจมาก จึงถามนางว่าพูดมาแบบนั้นมีหลักฐานหรือไม่ ? นางเป็นคนสร้างหยาเหมินขึ้นมาหรือไร ถึงได้คิดอยากจะจับใครก็ได้ !” วันนี้นางหลี่มิเพียงแต่นำไข่ไก่มาส่งให้เท่านั้น แต่ยังมารายงานข่าวให้น้องสาวที่นับถือกันได้รู้ด้วย
“นางแก่ผู้นี้เอาแต่บอกว่าฮุ่ยฮุ่ยเป็นคนทำให้ลูกสาวของนางฟันหลุด ยังบอกอีกว่าที่นางล้มเป็นเพราะฮุ่ยฮุ่ยทำร้ายนาง ตัวเองทำเรื่องเลวทรามเยอะขนาดนี้ สวรรค์ทนดูมิได้ถึงขั้นต้องลงโทษพวกนาง แต่พวกนางก็ยังมิรู้จักหลาบจำ มิจบมิสิ้นสักที ตอนนี้นางก็เหมือนหมาบ้าตัวหนึ่งที่เที่ยวกัดคนอื่นไปทั่ว !” เติ้งอาเหลียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะถึงอย่างไรก็มิใช่ฝีมือหลานสาวของตนแน่นอน ให้นางฟ้องหยาเหมินไปเถอะ !
นางหลี่ยังเห็นด้วย “ถ้าจ้าวยวี่จือโบ้ยความผิดให้เสี่ยวหลินจื่อยังน่าเชื่อถือกว่าโยนความผิดให้สวีฮุ่ยเสียอีก หรือว่านางจะล้มจนสติเลอะเลือนไปแล้ว พูดมาแบบนี้ ใครเขาจะไปเชื่อนางล่ะ ?”
สวีฮุ่ยมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เรียบเฉย นางปล่อยให้ทั้งสองพูดเรื่องนี้ไปตามประสา เพราะมิมีใครเชื่อหรอกว่านางเป็นคนทำ ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นเพราะจ้าวยวี่จือและสวีชิวเยี่ยนทำเรื่องมิดีมากเกินไป ตอนนี้จึงถูกสวรรค์ลงโทษ มิมีใครเขาเชื่อว่าสองเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของเด็กน้อยอายุหกขวบ !