ตอนที่ 13 : ตกได้ปลาตัวใหญ่
ตอนที่ 13 : ตกได้ปลาตัวใหญ่
ในที่สุดก็มาถึงริมน้ำเสียที สวีจื้อหย่งและสวีเจี้ยนหลินรีบหาที่วางเบ็ดตกปลาเป็นอันดับแรก จากนั้นพวกเขาก็เดินไปตามกระแสน้ำอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพบแอ่งน้ำที่ค่อนข้างลึกสองแอ่ง พวกเขาจึงวางข้องดักปลาลงไป และเอาก้อนหินปิดล้อมไว้
ต่อไปเป็นขั้นตอนการแทงปลาด้วยฉมวกที่แสนตื่นเต้นแล้ว เติ้งอาเหลียนคอยดูแลสวีฮุ่ยให้นางเล่นอยู่ริมฝั่ง ส่วนโจวเสี่ยวเหมยได้แบกกระบุงไม้ไผ่เดินข้ามสะพานไม้ไปเก็บผักป่าที่เชิงเขาฝั่งตรงข้าม
สวีจื้อหย่งเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ มีพละกำลังมาก เขาจับปลาได้หลายตัวด้วยฉมวกง่าย ๆ ในขณะที่สวีเจี้ยนหลินเพิ่งแทงฉมวกได้ปลามาแค่ตัวเดียว
สวีเจี้ยนหลินเงยหน้าไปพูดกับผู้เป็นพ่อไม่กี่ประโยค แล้วเดินมาที่ฝั่ง “ท่านย่า น้องเล็ก ข้าจะถอดเสื้อผ้าลงไปจับปลาในน้ำแล้ว”
สวีเจี้ยนหลินรู้ดีว่าตนเองแทงฉมวกไม่เก่งเท่าผู้เป็นพ่อ แต่เรื่องดำน้ำจับปลาเป็นสิ่งที่เขาถนัดนัก แม่น้ำสายนี้จะบอกว่ากว้างก็ไม่ถึงกับกว้าง ระดับน้ำไม่ถึงต้นขาของสวีจื้อหย่ง หากให้เขาลงไปดำน้ำจับปลาคงไม่ถนัดนัก
ทว่าเด็กน้อยไม่เหมือนกัน พี่น้องในตระกูลสวีดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำมานานหลายปี พวกเขาว่ายน้ำเก่งมาก สวีเจี้ยนหลินสามารถดำน้ำได้นาน เวลาที่เขาได้ลงน้ำมักจะมีชีวิตชีวาเหมือนปลาได้น้ำ
“น้องเล็ก ข้าจะถอดกางเกงแล้วนะ !” สวีเจี้ยนหลินพูด
“ถอดเถอะ !” สวีเจี้ยนหลินแช่ตัวอยู่ในน้ำมานานขนาดนี้แล้ว กางเกงของเขาย่อมเปียกซ่กไปหมด จะถอดหรือไม่ถอดก็เหมือนกัน อีกอย่างสวีฮุ่ยเองก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องหลบหรืออะไร เพราะคนหนึ่งเป็นเด็กชายอายุแปดขวบ ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้หญิงอายุหกขวบ จำเป็นต้องหันหนีหรือหลบเลี่ยงด้วยหรือ ?
“เอ่อ……เจ้าไม่หันไปหรือ ?” สวีเจี้ยนหลินเอาสองมือจับที่เอวกางเกง
สวีฮุ่ยส่ายหน้าแล้วหันหลังไปอีกทาง ในยุคโบราณ เด็กน้อยตัวแค่นี้ก็เริ่มคิดเรื่องหญิงชายไม่ควรสนิทชิดเชื้อกันแล้วหรือ ? ตอนแรกนางคิดแค่ว่าละสายตาไปมองอย่างอื่นก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย !
รอจนกระทั่งสวีเจี้ยนหลินลงน้ำไปแล้ว สวีฮุ่ยถึงหันกลับมา นางเห็นว่าริมน้ำมีหินก้อนแบน จึงถอดรองเท้าแล้วนั่งลงบนแผ่นหินและเอาเท้าจุ่มน้ำ
“ฮุ่ยฮุ่ย น้ำไม่เย็นหรือ ? เจ้ารีบสวมรองเท้าเถิด !” เติ้งอาเหลียนเลือกปลาที่มีบาดแผลออกมาห้าตัว นางทำปลาแล้วล้างจนสะอาด จากนั้นก็โรยเกลือลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติให้เนื้อปลา
สวีฮุ่ยแกว่งเท้าเล่นในน้ำไปสักพัก ก็ถูกเติ้งอาเหลียนดึง “ห้ามลงไปเล่นในน้ำนะ ! ย่าจะเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ไปฝั่งตรงข้ามเพื่อดูว่าแม่ของเจ้าเก็บผักป่าได้เท่าไหร่แล้ว !”
“ท่านย่าไปเถิด ! ข้ารับปากว่าจะไม่ลงไปในน้ำ !” เมื่อย่าและแม่ไม่อยู่ข้างกาย ส่วนพ่อกับพี่รองกำลังจับปลาอยู่ในน้ำ ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้……ปรุงรสปลา !
สวีฮุ่ยเดินกลับไปที่ข้างก้อนหิน แล้วนำเครื่องปรุงรสที่นางบดเอาไว้ออกมาจากในมิติ นางทาเครื่องปรุงรสรอบท้องปลา แล้วยัดใบสเปียร์มินต์ใส่ท้องปลาไปเล็กน้อย จากนั้นก็หยดน้ำแร่ที่มีกลิ่นหอมเหมือนซุปลงไปในเครื่องปรุงหนึ่งหยด แล้วนำส่วนผสมที่ปรุงไว้ไปทาบนผิวของปลาทุกตัว เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว
สวีฮุ่ยเดินไปที่ริมตลิ่ง แสร้งทำเป็นหาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เหลือสเปียร์มินต์ไว้ในแขนเสื้ออีกเล็กน้อย ประเดี๋ยวหากคนในตระกูลถาม นางก็ตั้งใจจะนำมันออกมา
มองดูพี่รองที่ดำน้ำจับปลาอย่างมีความสุข สวีฮุ่ยรู้สึกอิจฉามาก หากนางได้เล่นตามที่ใจต้องการคงดีไม่น้อย
นางจึงเดินไปดูว่ามีปลามาติดเบ็ดที่วางไว้หรือไม่ ! สวีฮุ่ยวิ่งไปบริเวณที่วางเบ็ด เมื่อก้มลงไปมองก็พบว่าผิวน้ำยังคงสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวใดเลย
“เจ้าอยากตกปลาหรือ ?”
เฮ่อจิ่น !
สวีฮุ่ยถามเขามาว่าปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร เฮ่อจิ่นจึงบอกว่าตัวเขาเพิ่งถูกปลุกขึ้นมา ยังไม่สามารถอยู่ในสภาพที่สดชื่นและมีพลังเหลือเฟือตลอดเวลาได้ อีกทั้งเขาเพิ่งจะช่วยสวีฮุ่ยจัดการงานในมิติ จึงเหนื่อยยิ่งขึ้นและต้องการกลับไปฝึกตนบนต้นไม้
“ข้าแค่มาดูน่ะ ไม่ได้อยากจับปลา คืนนี้ข้าจะกลับไปถอนต้นหอมเอง เจ้าพักผ่อนเถิด !” ตัวนางเองไม่ได้มีความสามารถในการตกปลาและจับปลา นางเพียงแค่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ จึงกวาดตามองไปรอบ ๆ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่มีจิตใจดีถึงเพียงนี้ ข้าขอนับถือ ยื่นมือของเจ้าออกมาสิ !”
สวีฮุ่ยยื่นมือออกไป จู่ ๆ กิ่งไม้ที่ยาวมากกว่าหนึ่งจั้งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
“ยื่นข้าเข้าไปในน้ำสิ !”
สวีฮุ่ยจึงถามเฮ่อจิ่นว่าเขาต้องการให้นางแขวนหนอนไว้ที่ปลายกิ่งไม้ของเขาหรือไม่ เพราะแบบนั้นอาจทำให้ปลายอมมาติดเบ็ดได้ !
“ประเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นความเก่งกาจของภูติอย่างข้า จำไว้ล่ะว่าห้ามปล่อยมือเด็ดขาด !”
“ตกลง !” สวีฮุ่ยนึกว่าเฮ่อจิ่นพูดเล่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่นางเพิ่งจะตอบรับเจ้าภูติน้อย จู่ ๆ กิ่งไม้ในมือของนางก็ขยับไปมา และเป็นเพราะน้ำในแม่น้ำใสมาก สวีฮุ่ยจึงเห็นปลาตัวหนึ่งที่ยาวเกินครึ่งเมตรกำลังงับกิ่งไม้เฮ่อจิ่น ในขณะเดียวกันยังมีปลาอีกหนึ่งตัวที่น่าจะหนักหลายชั่งกำลังกัดใบไม้ของเฮ่อจิ่นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เจ้ารีบดึงสิ ! เอวข้าจะขาดออกจากกันอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า จั๊กจี้ ฮ่าฮ่า ข้าจั๊กจี้……”
สวีฮุ่ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มือทั้งสองข้างของนางจะจับกิ่งไม้เอาไว้แน่น แล้วพยายามดึงขึ้นมาด้านบนอย่างสุดชีวิต ทว่ายามนี้นางเป็นแค่เด็กตัวเล็กแรงน้อย จึงดึงไม้ขึ้น อยากจะเรียกท่านพ่อและพี่รองให้มาช่วยกันดึงก็กลัวว่าตัวตนของเฮ่อจิ่นจะถูกเปิดเผย
“เฮ่อจิ่น ข้าลากไม่ไหว !”
“เรียกพ่อและพี่รองของเจ้ามาช่วยสิ ! เร็วเข้า ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว มันคันยุบยิบเหลือเกิน !”
“ถ้าข้าเรียกพวกเขามา ตัวตนของเจ้าก็ถูกเปิดเผยน่ะสิ !”
เรื่องนี้เป็นปัญหาจริง เฮ่อจิ่นจึงรีบแปลงกายเป็นเบ็ดตกปลา ซึ่งเหมือนกับเบ็ดตกปลาที่ตระกูลสวีนำมาด้วย
“ท่านพ่อ พี่รอง พวกท่านมาช่วยข้าเร็ว !” หลังจากตะโกนเสร็จแล้ว สวีฮุ่ยก็ต้องนึกเสียใจทีหลัง เพราะหากนางทำให้ปลาตกใจจนหนีไปจะทำเยี่ยงไร ? นางจึงรีบก้มลงไปดูในน้ำ โชคยังดีที่ปลาพวกนั้นยังอยู่ ในขณะที่รูปลักษณ์ของเฮ่อจิ่นในส่วนที่จมอยู่ในน้ำไม่ได้เปลี่ยนไป เพราะเขากลัวว่าหากเขาเก็บใบไม้ไป ปลาตัวที่กัดใบไม้ของเขาจะหนีไปได้
สวีจื้อหย่งรีบวางฉมวกลง สวีเจี้ยนหลินที่ดำน้ำอยู่รีบผุดขึ้นมาจากน้ำ ทั้งสองมาถึงตรงหน้าสวีฮุ่ยอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองเห็นปลาที่อยู่ในน้ำจึงรีบดึงคันเบ็ดขึ้นฝั่ง และวินาทีที่ตกปลาขึ้นมาบนฝั่งได้นั้น เฮ่อจิ่นก็รีบแปลงกายกลับคืนร่างกิ่งไม้เหมือนเดิม ส่วนพ่อและพี่รองต่างรีบวิ่งไปดูปลาตัวใหญ่ที่สะบัดเบ็ดหลุดขึ้นไปดิ้นบนฝั่ง สวีฮุ่ยที่เห็นแบบนั้นจึงเก็บเฮ่อจิ่นเข้าไปในมิติอย่างเงียบ ๆ
สวีฮุ่ยเพิ่งจะหยิบเบ็ดคันอื่นขึ้นมาทำทีว่าเป็นเบ็ดคันที่นางใช้ตกปลา สวีเจี้ยนหลินก็ตะโกนเสียงแหลมด้วยความตกใจ “ปลาตัวใหญ่มาก !”
สวีฮุ่ยเห็นพี่รองตะโกนเสียงดังจึงรีบโยนคันเบ็ดทิ้ง แล้วเอามือปิดปากพี่รอง “เบาหน่อย หากเสียงพี่รองเรียกให้ชาวบ้านคนอื่นมา ปลาของเราอาจถูกแย่งไปได้นะ ?”
สวีจื้อหย่งพยักหน้าอย่างพอใจ ปลาตัวนี้น่าจะมีน้ำหนักอย่างน้อย ๆ 30 ชั่งได้ หากยึดตามราคาตลาดน่าจะขายได้หลายร้อยอีแปะ และหากนำไปขายให้คนที่รู้ราคา ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้เงินมากถึงหนึ่งตำลึงเงิน ?
ทว่าลูกสาวของเขาเป็นคนตกได้ปลาตัวนี้ สวีจื้อหย่งจึงถามสวีฮุ่ยว่านางอยากกินไหม ?
“ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านรีบนำปลาไปขายในเทศมณฑลเถิด ! แล้วค่อยเลือกปลาตัวที่ใหญ่ ๆ หน่อยจากปลาพวกนี้ไว้ไปตุ๋นกินตอนเย็น !”
สวีจื้อหย่งยื่นมือใหญ่ที่เหมือนกับพัดออกไปลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรัก ลูกสาวของเขาช่างรู้เรื่องรู้ราวดีเสียจริง ! รู้เรื่องดีเสียจนเขาปวดใจเลย !
“ไม่งั้นพวกเราเหลือตัวที่ใหญ่ที่สุดไว้ทำอาหารกินกันเถอะ !” ในตอนที่สวีจื้อหย่งพูดประโยคนี้ เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยได้วิ่งกลับมาพอดี พวกนางได้ยินเสียงตะโกนของสวีฮุ่ย ยังนึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหนูน้อยอยู่เลย
สวีฮุ่ยเห็นว่าย่าและแม่กลับมาแล้ว นางจึงกระแอมแล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า “พวกเราจะไม่กินปลาตัวที่ใหญ่ที่สุด เราจะนำมันไปขาย แล้วนำเงินมารวมกับเงิน 5 ตำลึง เงินที่ลุงใหญ่ให้ไว้เมื่อวาน จากนั้นก็ส่งพี่ใหญ่ไปเรียนในตัวเทศมณฑลได้หรือไม่ ?” เงิน 6 ตำลึงเงินเพียงพอที่จะจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนได้หนึ่งปี สวีฮุ่ยคิดว่าพี่ใหญ่ของตนเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการเรียน ต่อให้ในภายหน้าสอบไม่ได้บัณฑิตซิ่วไฉ รอให้นางเปิดโรงเตี๊ยมหรือไม่ก็ร้านอาหาร ค่อยให้เขามาทำบัญชีร้านก็ได้ !
ส่วนพี่รองคงคาดหวังไม่ได้แล้ว เขาเห็นแม่น้ำและปลายังพอกระตือรือร้นอยู่บ้าง แต่พอเห็นหนังสือก็เอาแต่เกาหัวแกรก ๆ
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าเองก็อยากเรียนหนังสือหรือ ?” น่าเสียดายที่มณฑลเฟิงซานไม่มีโรงเรียนของสตรี หากว่ามี เติ้งอาเหลียนก็อยากจะส่งหลานสาวไปเรียนเช่นกัน
เด็กผู้หญิงอย่างนางควรได้สวมชุดผ้าไหมผ้าแพร เวลาออกจากบ้านควรได้นั่งบนเกี้ยวเล็ก ๆ และมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย น่าสงสารเหลือเกินที่นางมาเกิดในตระกูลสวีที่แสนยากจน
“รอให้พี่ใหญ่มีวันหยุด ค่อยให้เขามาสอนข้ากับพี่รองก็ได้ !” สวีฮุ่ยแค่ต้องการโอกาสในการอ่านตำราสักครั้ง จากนั้นนางจะค่อย ๆ ทำให้ทุกคนรู้ว่านางรู้หนังสือก็พอแล้ว นางไม่ได้อยากไปเรียน
เพราะสตรีในยุคโบราณจะได้เรียนอะไรมากมายกันเชียว ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องจำพวกหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม สวีฮุ่ย ไม่อยากเรียนเรื่องพวกนั้น แต่หากให้นางไปเรียนกับเด็กผู้ชาย นางอาจพอจะพิจารณาได้บ้าง