ตอนที่แล้วตอนที่ 11 : ทางที่ดีอย่าได้มาพบเจออีกเลย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13 : ตกได้ปลาตัวใหญ่

ตอนที่ 12 : ช่างนินทา


ตอนที่ 12 : ช่างนินทา

บ้านในหมู่บ้านฉือหลิ่งสร้างติดกับภูเขา ถนนหนทางในหมู่บ้านจึงคดเคี้ยวมีทางเลี้ยวมากโข แม้จะดูเหมือนมีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ทว่ากลับมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อย

บ้านของตระกูลสวีอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าตระกูลของนางย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่นานพอสมควรแล้ว โดยทั่วไปชาวบ้านที่มาขออาศัยใหม่จะสร้างบ้านอยู่ที่ปลายหมู่บ้านทั้งสองฝั่ง ส่วนบ้านที่มีพื้นที่กว้างขวางและมีลานหญ้ากลางบ้านล้วนเป็นชาวบ้านที่ย้ายมาอาศัยหลายปีแล้ว

สวีจื้อหย่งแบกท่อนไม้ที่เหลาไว้จนปลายแหลมคม และถือถังไม้ไปสองถัง ในถังไม้นั้นมีข้องไม้ที่เติ้งอาเหลียนสานไว้เมื่อวาน สวีเจี้ยนหลินยกอ่างไม้ไป เติ้งอาเหลียนจึงรับหน้าที่แบกกระบุงไม้ไผ่ เพราะตอนกลับบ้าน พวกเขาจะต้องเกี่ยวหญ้ากลับไปให้หมูด้วย อีกทั้งตอนนี้บนภูเขาเริ่มมีผักป่าขึ้นแล้ว พวกเขาจะได้เด็ดกลับไปทำอาหารกินที่บ้าน ถึงอย่างไรผักป่าสด ๆ ย่อมมีรสชาติดีกว่าผักแห้ง

โจวเสี่ยวเหมยอยากจะอุ้มสวีฮุ่ย แต่กลับถูกหนูน้อยปฏิเสธ “รอให้ข้าเดินไม่ไหวก่อน แล้วท่านแม่ค่อยอุ้มข้า !”

ข้าคือผู้ใหญ่ในร่างเด็กนะ จะให้มาโดนคนอื่นอุ้มหรือแบกขึ้นหลังตลอดเวลาได้เยี่ยงไร

งั้นก็จูงมือแทนแล้วกัน โจวเสี่ยวเหมยและเติ้งอาเหลียนจูงมือหนูน้อยคนละข้าง สวีจื้อหย่งเดินอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนสวีเจี้ยนหลินเดินตามอยู่หลังสุด หนุ่มน้อยเดินพลางหยอกล้อเล่นกับน้องสาว และคอยถามไถ่นางเสมอว่านางอยากกินปลาอะไร

หากถามว่าอยากกินปลาอะไร ? คงต้องบอกว่าเยอะเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นปลากระพงนึ่ง ปลากุ้ยหยูราดซอสเปรี้ยวหวาน ปลาหลีตุ๋นน้ำแดง……ทว่าเมนูที่นางอยากกินนั้นดูจะไกลความเป็นจริงไปเสียหน่อย ที่จริงปลาตัวเล็กๆ ในแม่น้ำก็มีความสดใหม่เหมือนกัน โดยเฉพาะปลาตะเพียนที่เพิ่งจับขึ้นมาใหม่ ๆ นำมาต้มในน้ำซุปสีขาวขุ่น เอ๊ะ ทำไมถึงรู้สึกมีน้ำอะไรไหลอยู่ที่มุมปากเลยล่ะ ! สวีฮุ่ยลูบมุมปากของตัวเอง โชคดีที่นางไม่ได้น้ำลายไหล ไม่อย่างนั้นคงได้อายผู้อื่นเป็นแน่

“ปลาย่างก็เยี่ยมมากแล้ว !”  สวีฮุ่ยพูดไปตามความเป็นจริง นางตั้งใจว่ารอให้จับปลาได้ แล้วจะโยนไปในมิติ ตกกลางคืนค่อยนำมาย่างกิน……ไอ้หยา เลิกคิดได้แล้ว ไม่อย่างนั้นน้ำลายได้ไหลออกมาจริง ๆ แน่ !

“ถ้าวันนี้ได้ปลาตัวใหญ่ เราจะเอากลับบ้านไปต้มซุปปลา ใส่น้ำมันหมู ซีอิ๊ว แล้วเคี่ยวไปสักพัก ค่อยนำมาคลุกข้าวให้ฮุ่ยฮุ่ยกิน !”  เติ้งอาเหลียนกล่าว

ฟังผู้เป็นย่าบรรยายขั้นตอนการทำเมนูปลา สวีฮุ่ยถึงกับหมดความอยากอาหารทันที ถ้ามีโอกาส นางขอทำเองดีกว่า ! เมื่อไหร่หนอที่ข้าจะหาวัตถุดิบได้เพียงพอ นางจะได้ทำอาหารสูตรลับเฉพาะให้ตระกูลสวีได้กิน ?

จะว่าไปก็คิดถึงชีวิตเมื่อก่อนเหลือเกิน ตอนนั้นนางได้ทำอาหารที่ตนชื่นชอบ ตกแต่งด้วยผักและผลไม้สด มีไวน์แดงหนึ่งแก้วและดินเนอร์ใต้แสงเทียนสุดโรแมนติก ……

ทว่าความปรารถนานี้คงทำได้แค่ในมิติเท่านั้น เพราะในยุคโบราณแบบนี้ไม่ใช่จะหาไวน์แดงได้ง่าย ๆ

“พวกเรากินด้วยกันเถอะ หากตอนเที่ยงพวกเรากินปลาย่างที่ริมแม่น้ำ แล้วพี่ใหญ่ล่ะ ?”  สวีฮุ่ยถาม

“วันนี้เขาเอาแป้งทอดและผักดองติดไปด้วยแล้ว ไม่ได้กินข้าวเที่ยงที่บ้านคงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวตอนเย็นพี่ใหญ่ของเจ้าก็จะได้กลับบ้านมากินปลาแล้ว !”  โจวเสี่ยวเหมยย่อตัวลงและตบที่หลังของตน เพื่อให้ลูกสาวปีนขึ้นมา

“ข้ายังไม่เหนื่อย !”  สวีฮุ่ยปล่อยมือของแม่และย่า แล้วออกตัววิ่งไปข้างหน้าได้สักระยะ จู่ ๆ ก็ไม่รู้ว่ามีสุนัขตัวโตหลุดออกมาจากบ้านไหน มันส่งเสียงเห่า “โฮ่ง โฮ่ง” ทำให้สวีฮุ่ยตกใจจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว

โจวเสี่ยวเหมยและเติ้งอาเหลียนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาขว้างใส่สุนัขตัวนั้น เติ้งอาเหลียนเดินมาลูบศีรษะเรียกขวัญหลานสาวตนเอง

“เจ้าขึ้นมาเถอะ ให้แม่แบกเจ้าเดิน จะได้เร็วกว่านี้ !” สาเหตุที่โจวเสี่ยวเหมยและเติ้งอาเหลียนต้องคอยประคบประหงมไม่ให้สวีฮุ่ยออกไปไหนมาไหนนั้นเป็นเพราะหนูน้อยขี้ขลาด ตกใจได้ง่าย อีกทั้งนางยังมีใบหน้าที่งดงาม เคยมีข่าวลือในหมู่บ้านว่า เด็กที่เกิดในชนบทแต่หน้าตากลับไม่เหมือนเด็กในชนบทอย่างสวีฮุ่ยมักจะเลี้ยงได้ไม่ถึงตอนโต

นอกจากนี้ข่าวลือยังบอกอีกว่าเด็กประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กเซียนบนสวรรค์ที่แอบหนีมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ หากเที่ยวเล่นจนพอใจแล้วหรือถูกคนในตระกูลพบเข้า พวกเขาก็จะถูกเรียกตัวกลับไป

แม้ว่าตระกูลสวีไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้น แต่ในใจกลับกลัวว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงคอยดูแลสวีฮุ่ยเป็นอย่างดี

“หย่งจื้อ วันนี้เจ้าจะลงน้ำหาปลารึ ! วันนี้ตระกูลของพวกเจ้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว ขาดก็แต่เจี้ยนเหวิน ไอ้หยา แม้แต่เสี่ยวฮุ่ยฮุ่ยก็มากับเขาด้วยหรือ แหม ๆ นับวันหนูน้อยผู้นี้ก็ยิ่งงดงามขึ้นทุกวัน ราวกับเทพธิดามาจุติบนโลกมนุษย์ !”

“ฮุ่ยฮุ่ยแทบไม่ได้ออกจากบ้านเลยนะ หนูน้อยผู้นี้เป็นเด็กดีจริง ๆ แม่นางสวีเสี่ยวเหมย ในอนาคตพวกเจ้าเตรียมรอพึ่งใบบุญจากฮุ่ยฮุ่ยได้เลย !”

“วางหนูน้อยลงบนพื้นให้พวกข้าได้เห็นใบหน้าของนางชัด ๆ หน่อยสิ โอ้ ดวงตาของแม่หนูน้อยเหตุใดถึงได้ใสแป๋วเสียยิ่งกว่าน้ำพุบนภูเขาเสียอีก ดูปากเล็ก ๆ ของนางสิ ไม่รู้ว่าในอนาคตจะไปตกลงปลงใจกับบุรุษบ้านไหน !”

กลุ่มสตรีกำลังนั่งจับเข่าคุยกันอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อเห็นสวีฮุ่ย พวกนางก็พากันล้อมเข้ามา สวีจื้อหย่งพูดอะไรไม่ได้ ในขณะที่เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยหน้าแดงหน้าดำด้วยความขุ่นเคือง

พูดมาได้เยี่ยงไรว่าพวกเขาต้องพึ่งใบบุญของนาง นี่กำลังจะสื่อว่าฮุ่ยฮุ่ยจะได้แต่งงานเข้าตระกูลใหญ่ใช่ไหม ? เด็กสาวในชนบทอย่างพวกนาง หากแต่งเข้าตระกูลใหญ่ไปคงเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียง ต่อให้ตระกูลสวีของพวกเขาจะยากจนเพียงใด ก็ไม่ยอมส่งลูกสาวแก้วตาดวงใจไปอุ่นเตียงให้ผู้อื่นแน่นอน

“รบกวนพวกเจ้าช่วยหลีกทางหน่อย ตระกูลของข้ามีธุระต้องทำ” เป็นเพราะทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกัน เติ้งอาเหลียนจึงเก็บความโกรธเอาไว้โดยไม่ได้พูดอันใด นางเพียงแค่อยากจะออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ เท่านั้น

ตอนนี้สวีฮุ่ยรู้แล้วว่าทำไมคนในตระกูลถึงไม่อยากให้นางออกไปเล่นนอกบ้าน นางเอาใบหน้าแนบไว้บนหลังของโจวเสี่ยวเหมย แล้วหันไปทางที่ผู้อื่นจะมองไม่เห็น

“รีบหลีกทางให้พวกข้าเถิด ในอ่างไม้ที่ข้าถือมามีแต่หนอนทั้งนั้น พวกมันกำลังไต่ออกมาแล้ว ป้าหวัง เท้าของท่านมีตัวหนึ่งแหนะ โอ้ ย่าซุน บนเท้าของท่านก็มีเช่นกัน !” สวีเจี้ยนหลินจงใจถืออ่างไม้แบบโอนไปเอียงมา ภายในนั้นเต็มไปด้วยหนอนที่ขุดมาจากซากเศษไม้เก่า ๆ

พวกเขาสองพ่อลูกเพิ่งค้นพบว่าการใช้หนอนมาทำเหยื่อล่อปลาได้ผลดีกว่าใช้แป้ง ทุกครั้งที่พวกเขาจะไปจับปลา ก็มักจะขุดหนอนมาด้วย

“เสี่ยวหลินจื่อ เจ้าถือถังไม้ของเจ้าไว้ให้ดีเลยนะ ! เหตุใดถึงปล่อยให้หนอนไต่ออกมาได้ ?”  สตรีที่เพิ่งพูดไปว่าตระกูลสวีจะพึ่งพาใบบุญของสวีฮุ่ยมีชื่อว่า หวังชุนนี ยามนี้นางกระโดดโหยง พลางชี้หน้าตำหนิสวีเจี้ยนหลิน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แม่หม้ายคนใดในหมู่บ้านหนีตามใครไป หรือหมูเห็ดเป็ดไก่บ้านใครหาย หากให้นางรู้เพียงวันเดียว ทั่วทั้งหมู่บ้านก็จะรู้กันหมด กล่าวได้ว่านางคือต้นแบบของสตรีปากยื่นปากยาวเลยก็ว่าได้ !

ย่าซุนที่อยู่ด้านข้างกระโดดไม่ได้ ทว่าปากของนางกลับไม่ยอมอยู่เฉย “เสี่ยวหลินจื่อผู้นี้ หากไม่ไปจับปลาก็ชอบเล่นดินเล่นโคลนสกปรก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมย่าของเจ้าจึงเอาใจฮุ่ยฮุ่ย ไม่เอาใจเจ้า !”

“เรื่องในบ้านของข้า พวกท่านไม่ต้องกังวลหรอก รีบสลัดหนอนที่เท้าออกเถิด ประเดี๋ยวมันก็ไต่เข้าไปในกางเกงของพวกท่านหรอก !”  สวีเจี้ยนหลินไม่มีทางหลงคำยั่วยุพวกนั้นหรอก ? เพราะน้องสาวของเขาเด็กที่สุดในบ้าน การที่ท่านพ่อท่านแม่และท่านย่าจะเอาใจนาง คนเป็นพี่อย่างเขาย่อมไม่ขุ่นเคือง

เพราะไม่ใช่แค่ท่านพ่อท่านแม่และท่านย่าเท่านั้นที่เอาใจน้องสาว แม้แต่เขาและพี่ใหญ่ก็ยังคอยเอาอกเอาใจน้องสาวเช่นกัน ! หวังชุนนีและและย่าซุนผู้นั้นอิจฉาที่บ้านของตนไม่มีลูกหลานที่งดงามเหมือนน้องสาวของเขา ในใจจึงอิจฉาแทบแย่ แต่ปากกลับไม่ยอมรับ พอเห็นคนในตระกูลสวีทีไรก็ชอบพูดยั่วยุอยากให้คนในตระกูลแตกคอกัน

คิดว่าเขาฟังไม่ออกจริง ๆ หรือ !

“แม่นางซุน เจ้าไม่ต้องมาพูดปาว ๆ อยู่ที่นี่แล้ว หากมีความสามารถพูดเรื่องไร้สาระเก่ง ก็ไปสนใจเรื่องของตระกูลตนเองเถิด ! เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องในตระกูลสวีของเราหรอก !” เติ้งอาเหลียนตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า

อยู่หมู่บ้านเดียวกันมานานขนาดนี้ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยเป็นคนแบบไหน เวลามีเรื่องทะเลาะกัน พวกนางไม่เคยแพ้ให้ใครมาก่อน หากแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ร่วมมือกันขึ้นมา แทบไม่มีใครในหมู่บ้านจะสู้พวกนางได้เลย

“ท่านย่า พวกเราไปกันเถิด !”  สวีฮุ่ยรำคาญคนประเภทนี้มากที่สุด จึงยิ่งไม่อยากให้ผู้เป็นย่าต้องมาทะเลาะกับคนเช่นนี้ แทนที่จะมัวมาทะเลาะกับคนพวกนั้น สู้ไปจับปลาที่แม่น้ำจะดีกว่า !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด