ตอนที่ 10 : เหยียบจมูกขึ้นหน้า
ตอนที่ 10 : เหยียบจมูกขึ้นหน้า
สวีจื้อเจี๋ยอุ้มหลานสาวไว้พลางเรียกหลานชาย “ไม่ต้องไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว พ่อแม่ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ไปเรียกพวกเขากลับมาก่อน ลุงใหญ่อยู่นี่ทั้งคน ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก !”
ในตระกูลของย่าใหญ่มีแค่ลุงใหญ่ผู้นี้เท่านั้นที่นิสัยใช้ได้ สวีเจี้ยนหลินหันไปมองน้องสาวของตนอีกครั้ง เขารู้ว่านางไม่ได้หมดสติจริง ๆ ในใจจึงไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนตอนแรกแล้ว หลังจากที่กำชับให้ลุงใหญ่ดูแลน้องสาวของตนให้ดี สวีเจี้ยนหลินก็วิ่งออกไปนอกบ้าน
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าโดนนางเด็กผู้นี้หลอกเชียว ก่อนที่ท่านจะมา นางฝีปากกล้ายิ่งกว่าอะไร ข้าว่านางก็แค่แสร้งทำเป็นหมดสติไปอย่างนั้นแหละ !” สวีจื้อเกายื่นมือไปเขย่าแขนเล็ก ๆ ของหนูน้อย แต่นางก็ไม่มีท่าทีที่จะฟื้นขึ้นมา
“ท่านแม่ของเรามีอคติต่อสะใภ้รอง ทะเลาะกันทุกวันมาแทบทั้งชีวิตแล้ว จนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครถูกใครผิด เจ้าและชิวเยี่ยนไม่รู้จักช่วยโน้มน้าว แต่กลับทำให้มันวุ่นวายยิ่งขึ้น” สวีจื้อเจี๋ยเองก็ไม่ชอบเติ้งอาเหลียนเช่นกัน สตรีผู้นั้นเป็นเหมือนหนามในจิตใจของท่านแม่ เป็นบ่อเกิดความทุกข์ระทมของท่านแม่
แต่เรื่องนี้จะโทษนางเพียงผู้เดียวได้หรือ ? หากในปีนั้นท่านพ่อยืนหยัดที่จะขัดคำสั่งของหัวหน้าตระกูลที่บีบให้ท่านพ่อแต่งงานกับสะใภ้รอง เรื่องราวมันคงไม่เป็นเฉกเช่นทุกวันนี้
สวีจื้อหย่งเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันกับพวกเขา ทำไมถึงจะอยู่อย่างกลมเกลียวเข้าใจกันไม่ได้ล่ะ ?
“ท่านแม่ให้ข้ามาทวงเงินจากพวกนาง ส่วนเรื่องที่นางเด็กผู้นี้ได้รับบาดเจ็บและเรื่องของชิวเยี่ยน ข้าไม่รู้จริง ๆ แต่จะว่าไปมันก็แปลกยิ่งนักที่จู่ ๆ ฟันของชิวเยี่ยนจะหลุดออกมาสองซี่เช่นนั้น ? ไหนจะเรื่องที่เอวของท่านแม่เจ็บอีก และสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจที่สุดก็คือนางเด็กผู้นี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ท่านพี่ ท่านว่าเป็นเพราะนางเข้าไปยุ่งกับสิ่งสกปรกหรือไม่ !”
“เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาควรพูดงั้นหรือ ? ประเดี๋ยวหากหย่งจื้อกลับมาแล้ว รอให้หนูน้อยฟื้นก่อน พวกเราค่อยไป ข้าไม่อนุญาตให้ใครพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกแล้ว !”
“แต่……” หากไม่พูดถึง แล้วเขาจะอธิบายกับท่านแม่เยี่ยงไร !
“หากเจ้าไม่ฟังคำแนะนำของข้า ข้าก็จะไปแล้ว ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่เองแล้วกัน และอย่ามาบอกว่าพวกเราไม่เคยเตือนเจ้านะ สะใภ้รองและลูกสะใภ้ของนางเป็นคนอารมณ์แบบไหน เจ้าเองก็รู้ดี หากเจ้ามีเรื่องกับพวกนางขึ้นมา เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางหรอก !”
อีกอย่างท่านแม่ของพวกเขาและสะใภ้รองมีเรื่องทะเลาะกันยังพอได้ แต่ถ้าหากน้องชายเขาลงมือขึ้นมา เรื่องคงไม่ได้จบง่าย ๆ แค่นั้นแล้ว !
“ว่าแต่ท่านพี่มาที่นี่ได้เยี่ยงไร ?” สวีจื้อเกาถาม
“ก็ท่านพ่อนั่นแหละ……”
ท่านพ่อไปหาเขาถึงหยาเหมิน เขาจะกล้าไม่มาที่นี่ได้หรือ ?
จะว่าไปท่านพ่อของพวกเขาก็มีใจลำเอียงเหมือนกัน ที่ท่านพ่อบอกว่าไม่ชอบอาศัยอยู่ในเทศมณฑล แต่ยอมที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฉือหลิ่งล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น ท่านพ่อก็แค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับเติ้งอาเหลียน ไม่อยากอยู่กับท่านแม่ หลายปีมานี้สวีจื้อเกาได้ถูกผู้เป็นแม่ของตนล้างสมองมาโดยตลอด เขาจึงไม่พอใจพ่อของตนเองมาโดยตลอด
สวีจื้อเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเรียกหนูน้อยอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงหลับตาอยู่ เขาก็อยากจะอุ้มนางเข้าไปนอนในห้องแล้วไปเรียกหมอมาดูอาการ แต่ก็กลัวว่าน้องชายจะลงมือตอนที่ตนเองไม่อยู่ สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงแค่มองดูแถบผ้าที่พันอยู่บนหัวของหนูน้อยแล้วถอนหายใจออกมา
ชิวเยี่ยนก็ช่างใจร้ายเหลือเกิน นี่กะทำร้ายเด็กน้อยจนถึงชีวิตเลยหรือ ? ดูจากระดับที่ตระกูลบ้านรองให้ความสำคัญกับหนูน้อย หากนางเป็นอะไรขึ้นมา มีหวังทั้งบ้านได้บุกไปกวาดล้างทั้งตระกูลของน้องชายเป็นแน่
ยามนี้ลมพัดโชยมาเอื่อย ๆ สวีฮุ่ยที่ถูกคนอุ้มไว้กำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับอยู่รอมร่อ จะว่าไปลุงใหญ่ผู้นี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน แข็งแกร่งกว่าอาสามตั้งเยอะ อย่างน้อยก็ไม่มีจิตใจคับแคบและบ้าคลั่งเหมือนสามแม่ลูกพวกนั้น !
ในขณะเดียวกัน เติ้งอาเหลียนที่ไปถามเรื่องแลกไข่ไก่ที่บ้านตระกูลหลี่อยู่พูดคุยที่นั่นเพียงไม่นาน ก็รีบเร่งฝีเท้ากลับบ้านของตน เมื่อนางเดินเข้ามาในลานบ้านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนจากบ้านใหญ่มาที่นี่ ?
และเมื่อนางก้มไปเห็นหนูน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของสวีจื้อเจี๋ย เติ้งอาเหลียนก็โผเข้าหาหลานสาวของตนทันที “ฮุ่ยฮุ่ย นางเป็นอะไร !”
สวีจื้อเจี๋ยอุ้มหนูน้อยแล้วลุกขึ้นยืน “ท่านน้ากลับมาแล้ว ท่านอุ้มฮุ่ยฮุ่ยก่อน ข้าจะไปตามหมอมาดูอาการนาง !”
“ข้าถามพวกเจ้าว่าฮุ่ยฮุ่ยเป็นอะไร ? ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ !” เติ้งอาเหลียนตบโต๊ะอย่างแรง
“สะใภ้รอง ข้าไม่ได้ตีนางนะ แค่อยากขู่ให้นางตกใจ ให้นางยอมเล่าว่าท่านแม่และชิวเยี่ยนได้รับบาดเจ็บได้เยี่ยงไร แต่เสี่ยวหลินจื่อของพวกท่านก็พุ่งตัวเข้ามาทั้งถีบทั้งกัดข้า ดูสิ ว่าแขนข้ายังมีรอยฟันของเขาติดอยู่ ?”
“ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครั้งว่าเหตุใดฮุ่ยฮุ่ยของข้าถึงได้หลับตาสนิทไม่ฟื้นแบบนี้ อย่ามาบอกข้าเชียวว่านางเป็นลมหมดสติไปเอง ข้าไม่เชื่อหรอก !”
“แต่นางเป็นลมหมดสติไปเองจริง ๆ !” สวีจื้อเกายังคงไม่มีทีท่าสำนึกผิด
“เจ้ากล้าสาบานไหมว่าตนเองไม่ได้แตะต้องฮุ่ยฮุ่ยของข้าและไม่ได้ตีนาง ?” เติ้งอาเหลียนกัดฟันด้วยความโมโห
“ข้า……ข้าก็แค่ดึงคอเสื้อของนางขึ้นมา ไม่ได้……” ขณะที่สวีจื้อเกากำลังหาข้อแก้ตัว เติ้งอาเหลียนเดินเข้าไปตบหน้าเขาฉาดใหญ่แล้ว เสียงตบนั้นทำให้สวีฮุ่ยรับรู้ได้ถึงความเจ็บ……ทำเอานางรู้สึกเจ็บมือแทนท่านย่าของตน
“สะใภ้รอง เหตุใดท่านถึงได้ลงไม้ลงมือกับข้าล่ะ !” สวีจื้อเกาลืมไปแล้วว่าตนเองเคยโดนตบครั้งล่าสุดเมื่อใด ตบนี้จึงทำให้เขาตะลึงงัน
“ข้าจะบอกเจ้า หากฮุ่ยฮุ่ยของข้าไม่เป็นไร ข้าจะถือเสียว่ามีลมหอบหมาบ้าเข้ามาในบ้าน แค่ไล่ตะเพิดออกไปก็จบเรื่อง แต่หากนางเป็นอะไรแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะบุกไประรานพวกเจ้าถึงในเทศมณฑล ในเมื่อบ้านของข้าไม่สงบสุข พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุขอีกเลย !” เติ้งอาเหลียนคิดเช่นนี้จริง ๆ
ที่บ้านของนางมีลูกชายและหลานชายสองคนแล้ว เพลานั้นนางอยากมีหลานสาวมาก หลังจากที่สะใภ้ของนางพยายามจนตั้งครรภ์ลูกคนที่สาม ในที่สุดเด็กน้อยที่คลอดออกมาก็เป็นผู้หญิง ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ทั้งขาวและหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก จนถึงตอนนี้ เติ้งอาเหลียนยังจำความรู้สึกที่ได้อุ้มหลานสาวตัวน้อยในยามที่นางเพิ่งเกิดได้เป็นอย่างดี มันเป็นความสุขสมที่นางรู้สึกราวกับตนเองได้โบยบินไปบนท้องฟ้า
เด็กน้อยเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าแห่งตระกูล ปกติหากไม่ใช่ช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิและช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ที่บ้านมักจะมีคนอยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อยเสมอ หากมีของดีอะไร นางก็มักจะได้กินก่อนใคร
คนจากบ้านใหญ่เอาแต่มาหาเรื่องแก้วตาดวงใจของพวกนางไม่เว้นวัน ขนาดนางไม่เอาเรื่องที่เมื่อไม่กี่วันก่อนชิวเยี่ยนผลักหลานสาวของนางใส่บ่อน้ำจนหัวได้รับบาดเจ็บ แต่คนจากบ้านใหญ่ก็ยังคิดมาทำร้ายหลานสาวของนางหลายต่อหลายครั้ง คนพวกนี้มันไร้ยางอาย !
เติ้งอาเหลียนรับตัวหลานสาวมาอุ้มไว้ในอ้อมอก แล้วพานางไปนอนบนเตียงพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า “ฮุ่ยฮุ่ยไม่ต้องกลัว ย่าจะพาเจ้าไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน !”
สวีฮุ่ยหรี่ตามอง เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องคู่นั้นไม่ได้เดินตามเข้ามา นางจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และในตอนที่เติ้งอาเหลียนกำลังจะอุทานออกมานั้น นางก็ใช้มือน้อย ๆ มาปิดปากผู้เป็นย่าไว้ ในขณะที่อีกมือท่าปิดปาก “ชู่ว” ไม่ให้ย่าใหญ่พูดอะไร
หลานสาวคนนี้ทำนางตกใจเกือบตาย เติ้งอาเหลียนอยากจะตีหลานสาวสักที แต่ก็ทำใจตีไม่ลง สุดท้ายนางจึงพยักหน้าให้หลาน สวีฮุ่ยถึงได้ดึงย่าให้เข้ามาใกล้และโน้มตัวไปกระซิบ “สวีจื้อเกามาทวงเงินค่ายา ท่านย่าจงใช้เรื่องที่ข้าเป็นลมหมดสติไปไล่พวกเขาออกไป บอกพวกเขาว่าถ้ายังกล้ามาก่อความวุ่นวายอีก ท่านย่าจะไปแจ้งหยาเหมินที่ชิวเยี่ยนคิดอยากฆ่าหลานสาว ท่านย่าไม่ต้องลงมือแล้ว และบีบให้พวกเขาออกไปก็พอ !”
อย่าปล่อยให้พวกเขาย่ามใจได้อีก !
เติ้งอาเหลียนเอานิ้วจิ้มหน้าผากของหลานสาวเบา ๆ หลานสาวคนนี้ฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงขั้นที่นางกล้าบอกได้เลยว่าให้มัดรวมคนในตระกูลของบ้านใหญ่เข้าด้วยกัน ก็ยังไม่ฉลาดเท่าหลานสาวของนาง
เติ้งอาเหลียนถลกแขนเสื้อแล้วเดินออกไป ในขณะที่สวีจื้อเจี๋ยกำลังจะไปเชิญหมอมาดูอาการของหนูน้อย เติ้งอาเหลียนก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พวกข้าไม่ต้องการใช้เงินของบ้านใหญ่ ประเดี๋ยวจื้อหย่งกลับมา ข้าจะไปเชิญหมอมาดูอาการนางเอง แต่พวกเจ้าต้องบอกข้ามาก่อนว่าเหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้ !”