บทที่ 108 ข้าคือนักปรุงยา
กลับไปที่ร้านขายโอสถ หลินเป้ยพบว่า หนิงเสวี่ยและหลินหลิงเอ๋อ กำลังเรียนรู้วิธีทำอาหารด้วยกัน
หนิงเสวี่ยและหลินหลิงเอ๋อเข้ากันได้ดีมาก ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ พร้อมทั้งเรียกกันว่าพี่สาวน้องสาว
หนิงเสวี่ยยังได้พูดคุยกับหลินหลิงเอ๋อ เกี่ยวกับกิจการของเมืองหลวง ซึ่งกระตุ้นความสนใจของหลินหลิงเอ๋อ ทำให้นางมีความปรารถนาบางอย่างสำหรับการไปเที่ยวเมืองหลวง
หนิงเสวี่ยมีความสุขมากที่นี่ และรู้สึกว่าครอบครัวของหลินเป้ยนั้นดีมาก และไม่มีกฎเกณฑ์มากมายเหมือนในตระกูลของหนิงเสวี่ย
ในฐานะตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ตระกูลหนิงต้องมีมารยาทและกฎเกณฑ์มากมาย และไม่มีความรู้สึกอิสระเหมือนครอบครัวหลินเป้ยที่นี่
หลังจากที่หลินเป้ยทานอาหารเสร็จ เขาก็กลับไปที่ห้องของเขาและรู้สีกพูดไม่ออกกับเรื่องของคู่นี้ตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลินเป้ยออกไป เขาไปที่คฤหาสน์ของตระกูลหลิว เขาต้องการดูว่า คุณหนูสองของตระกูลหลิว มีอาการเจ็บป่วยประเภทใดและเขาจะรักษาได้หรือไม่?
เพื่อให้สามารถรักษาอาการป่วยของคุณหนูสองของตระกูลหลิวได้ เมื่อคืนที่ผ่านมา หลินเป้ยใช้ 300,000 คะแนน เพื่อยกระดับนักปรุงยาระดับ 2 เป็นนักปรุงยาระดับ 3
เมื่อกลายเป็นนักปรุงยาระดับ 3 หลินเป้ยมีความรู้มากขึ้นในใจของเขา และเขาสามารถรักษาโรคที่ง่ายหรือไม่ยากเกินไปได้
นักปรุงยาสามารถมีวิธีการรักษาได้ในระดับหนึ่ง กล่าวได้ว่า นักปรุงยาก็คือหมอนั่นเอง
ใครจะรู้ว่า เมื่อหลินเป้ยมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลหลิว เขาพบว่ามีคนเข้าคิวที่ประตูแล้วหลายสิบคน
คนเหล่านี้คือหมอ ที่ต้องการรักษาคุณหนูสองของตระกูลหลิว
แน่นอน พวกเขาเป็นหมอธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่แม้แต่นักปรุงยา พวกเขาอยากลองเสี่ยงโชคดูเท่านั้น
ถ้าพวกเขาสามารถรักษาเขาได้จริงๆ และได้รับ 2 ล้านตำลึง เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต
พวกเขาไม่กังวลว่าตระกูลหลิวจะไม่รักษาคำพูดของพวกเขา ตระกูลหลิวมีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด
หากโรคนี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยจริงๆ คุณหนูสองของตระกูลหลิว คงได้รับการรักษาเรียบร้อยตั้งแต่แรกๆ แล้ว
หลังจากหมอหลายคนเข้าไป ไม่นานพวกเขาก็ออกมาด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่สามารถรักษาได้
แม้แต่โรคนี้คืออะไร พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน และแน่นอนว่า ไม่สามารถรักษาให้หายได้
หลังจากรอนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงตาของหลินเป้ย
ถ้าไม่ใช่เพราะเงินรางวัล 2 ล้านตำลึง เขาคงไม่ยืนต่อแถวนานขนาดนี้
หลินเป้ยต้องการเข้าไป แต่คนรับใช้หยุดไว้
“หยุด เจ้ามาทำอะไร?” คนรับใช้ถาม
“ข้ามาที่นี่เพื่อมารักษาคุณหนูหลิว ข้าเห็นประกาศ ข้าเลยมาลองดู” หลินเป้ยกล่าวอย่างสุภาพ
เนื่องจากเขามาที่นี่เพื่อรักษาผู้คน หลินเป้ยจึงสุภาพมาก
คนรับใช้มองไปที่หลินเป้ยและพบว่าหลินเป้ยเป็นเพียงชายหนุ่มอายุเพียง 17-18 ปี เขาจะรักษาอาการป่วยของคุณหนูหลิว ได้อย่างไร?
ข้าไม่ได้เห็นหมอวัยรุ่นมาก่อนเลยในชีวิต!
“นี่ไม่ใช่ที่ให้เจ้ามาเล่นสนุกนะ ตอนนี้เรายุ่งมาก ดังนั้นเราไม่อยากเสียเวลา มิฉะนั้น พวกที่อยู่สูงกว่าจะตำหนิข้าได้ เจ้าควรจะออกไปซะ เร็วเข้า!” คนรับใช้พูด
นี่คือพูดแบบสุภาพมากแล้ว หลินเป้ยยังดูเด็กมาก เขาจะมีทักษะทางการแพทย์ได้อย่างไร?
ปรมาจารย์นักปรุงยาบางคนยังรักษาคุณหนูหลิวไม่ได้ เด็กคนนี้จะทำได้อย่างไร?
“ทำไมถึงคิดว่าข้ารักษาไม่ได้ แแค่อายุน้อยเนี้ยนะ?”หลินเป้ยไม่พอใจเล็กน้อย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของระบบ เขาได้มาถึงระดับของนักปรุงยาระดับ 3 แล้ว และเขาคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาก็ไม่เลว
ท้ายที่สุดแล้ว นอกจากหลินเป้ย ยังมีนักปรุงยาระดับ 3 เพียงสามคนเท่านั้น ในเมืองชิงหลิน
หลินเป้ยคือคนที่ 4
ถ้าไม่ใช่เพราะ 2 ล้านตำลึง หลินเป้ยจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย
ในตอนนี้เอง มีเสียงมาจากข้างใน: "เกิดอะไรขึ้น?"
ชายวัยกลางคนที่อ้วนมาก เดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลหลิว
เมื่อคนรับใช้เห็นบุคคลผู้นี้ เขาก็พูดด้วยความเคารพทันที: "พ่อบ้านหวัง นายน้อยผู้นี้บอกว่า เขาต้องการรักษาคุณหนูหลิวเอ๋อ ข้าขอให้เขาออกไปโดยเร็ว แต่เขาไม่ต้องการจากไป"
พ่อบ้านหวังเหลือบมองหลินเป้ยและพูดว่า "นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาได้ เจ้าควรออกไปโดยเร็ว และอย่าทำให้ข้ารับใช้ข้าลำบากใจ"
อารมณ์ของพ่อบ้านหวังนั้นไม่เลว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตระกูลหลิวมีบรรยากาศที่ดี
หลังจากที่พ่อบ้านหวังพูดกับหลินเป้ยเสร็จแล้ว เขาก็พูดกับคนรับใช้ของเขาว่า: "ผู้อาวุโสหลิว เพิ่งสั่งว่าหากพวกเขาไม่ใช่ปรมาจารย์นักปรุงยา ก็อย่าให้พวกเขาเข้าไป หมอธรรมดามากกว่า 20 คนได้เห็นมันแล้ว และพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ สาเหตุยังหาไม่ได้เลย มันเสียเวลา ถ้าไม่ใช่นักปรุงยาห้ามเข้า”
“ขอรับ พ่อบ้านหวัง” คนรับใช้ตอบอย่างมั่นใจ
หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อบ้านหวัง หมอบางคนที่อยู่ด้านหลังก็พูดคุยกันมากมาย หลายคนก็ถอนหายใจและเตรียมตัวกลับบ้าน
แม้แต่นักปรุงยาก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ แล้วหมอธรรมดาที่ไม่ใช่นักปรุงยาจะเห็นอะไร?
“พ่อบ้านหวังใช่ไหม อันที่จริง ข้าก็เป็นนักปรุงยาด้วย” หลินเป้ยกล่าว
"เจ้าเป็นนักปรุงยา? เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นนักปรุงยา?"พ่อบ้านหวังมองหลินเป้ยอย่างสงสัยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หากหลินเป้ยเป็นนักปรุงยาตั้งแต่อายุยังน้อย เขาควรมีชื่อเสียงในเมืองชิงหลิน ทำไมเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอัจฉริยะด้านการปรุงยาผู้นี้ในเมืองชิงหลิน?
ตุณหนูของตระกูลหลิว เป็นนักปรุงยาระดับ 1 และยังมีชื่อเสียงมากในเมืองชิงหลิน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะด้านการปรุงยา
มีนักปรุงยาระดับ 3 ในตระกูลหลิวของพวกเขา ซึ่งเป็นกงเฟิงของตระกูลหลิว และคุณหนูหลิวเหยียนเป็นศิษย์ของกงเฟิงผู้นี้
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งนี้ควรพิสูจน์ได้หรือไม่?”หลินเป้ยยื่นมือออกมา และเปลวไฟก็ลุกขึ้นจากฝ่ามือของเขา
หลังจากที่พ่อบ้านหวังเห็น เขาก็แสดงความประหลาดใจบนใบหน้าของเขา "นี่คือเพลิงโอสถ!"
ตราบใดที่เพลิงโอสถถูกควบแน่นแล้ว ก็สามารถปรุงยาได้
สำหรับนักปรุงยาทุกคน การควบแน่นเพลิงโอสถ เป็นรากฐานในการเป็นนักปรุงยา
คนรับใช้บางคนและหมอธรรมดาคนอื่นๆ ตกใจมากเมื่อเห็นเพลิงโอสถในมือของหลินเป้ย
ชายหนุ่มอายุน้อยเป็นนักปรุงยา?
ทำไมพวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
พ่อบ้านหวังหายจากอาการตกใจอย่างรวดเร็ว
“นายน้อย แม้ว่าท่านจะแสดงเพลิงโอสถ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าท่านเป็นนักปรุงยา ท่านมีใบรับรองการปรุงยาหรือไม่” พ่อบ้านหวังถามด้วยความสุภาพขึ้นมานิดหนึ่ง
แม้ว่าเจ้าจะควบแน่นเพลิงโอสถได้ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าสามารถกลั่นเม็ดยาได้
เพลิงโอสถเป็นเพียงพื้นฐานของการปรุงยาเท่านั้น
ผู้ที่สามารถปรุงโอสถระดับ 1 เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นนักปรุงยาระดับ 1
เขาต้องไปที่สมาคมนักปรุงยา เพื่อประเมิน ตราบเท่าที่เขาผ่านการประเมิน สมาคมนักปรุงยาจะออกใบรับรองเพื่อพิสูจน์ว่าเขาคือนักปรุงยา
เช่นเดียวกันหากเจ้าต้องการเลื่อนระดับ ก็ต้องไปที่สมาคมนักปรุงยา เพื่อประเมิน
หากเจ้าผ่านการประเมิน สมาคมนักปรุงยา จะออกใบรับรองระดับ และบันทึกข้อมูลของลงในหนังสือของสมาคม
สมาคมนักปรุงยาเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดของนักปรุงยา ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักปรุงยามากมาย และยังเป็นองค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาองค์กรทั้งหมดก็ว่าได้
แน่นอนว่า ไม่มีสาขาของสมาคมนักปรุงยาในเมืองชิงหลิน แต่สมาคมนักปรุงยามีอยู่ในเมืองหลงหยางเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หลิวเหยียน ไปที่สมาคมนักปรุงยาเมืองหลงหยางเพื่อขอใบรับรอง และได้รับใบรับรองชื่อนักปรุงยาระดับ 1