ตอนที่ 8 – บะหมี่เผ็ดกับดาบบินแสนประโยชน์
ตอนเช้าผู้ฝึกตนกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ดังนั้นเส้นทางสู่ห้องครัวของเวิ่นจีฮ่าวจึงสะดวกมากๆ. เขากระโดดข้ามกำแพงไปแล้วเคาะประตูเพื่อบอกให้คนครัวรู้.
“อ้า! เจ้ากลับมาแล้ว” ป้าแม่ครัวหลิวจิงโผล่มาที่ด้านหลังเขา.
“คำนับท่านป้าหลิว” เวิ่นจีฮ่าวกล่าวแล้วคำนับอย่างสุภาพให้. เขาหยิบกล่องข้าวเปล่าออกมาจากมิติเก็บของแล้วส่งคืนให้นาง “มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ครับ?”
หลิวจิงส่ายหัวให้ “ผู้ฝึกตนหนุ่ม ท่านควรจะกลับไปฝึกนะคะ”
“ข้าฝึกเสร็จแล้วครับ. อย่าเกรงใจเลย ข้าทำได้หลายอย่างเลยนะ” เวิ่นจีฮ่าวกล่าว.
“โอ้ ผู้ชายตัวโตๆแบบนี้มาช่วยข้าแล้วกัน” ชายชราคนหนึ่งกล่าวออกมา.
หลิวจิงทำหน้าไม่พอใจ “ตาเฒ่าถัง ท่านอย่า-”
“ได้เลยครับๆ ไม่ต้องเกรงใจ” เวิ่นจีฮ่าวคำนับตาถัง “ให้ข้าช่วยอะไรหรือครับ?”
“พวกเราต้องไปขนวัตถุดิบของวันนี้มาจากสวนของสำนักน่ะ” ตาเฒ่าถังกล่าว.
“ข้าทำได้ครับ”
เรื่องแรงงานนี่ง่ายอยู่แล้ว. เวิ่นจีฮ่าวตามกลุ่มชายและหญิงไปที่สวนผักของสำนักตะวันทอง. ผักพวกนั้นเลี้ยงโดยใช้น้ำวิญญาณจึงมีความบริสุทธิเหมาะสำหรับผู้ฝึกตนมาก.
เหล่าชาวสวนได้เตรียมตะกร้าที่มีผักเอาไว้ให้แล้ว. เหลือแค่ต้องยกตะกร้าพวกนั้นกลับไปที่ครัว. ทว่ามันมีจำนวนเยอะมากและกว่าจะเดินไปถึงรถลากก็ไกลพอตัว.
เวิ่นจีฮ่าวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงมองไปที่ดาบของตัวเอง.
ดาบ...ที่บินได้...
เขาค่อยๆคิด, นึกถึงความทรงจำของร่างต้นไว้. เขาค่อยๆใส่พลังปราณลงไปในดาบทำให้มันลอยขึ้นมา. ฮ่า, สำเร็จแล้ว! จากนั้นเวิ่นจีฮ่าวก็นำตะกร้าไปแขวนไว้กับดาบด้วยตัวด้ามจับของมัน.
คนครัวคนอื่นๆพากันอึ้งไปหมด. ผู้...ผู้ฝึกตนผู้นี้ใช้ดาบตัวเองเป็นเสาซะงั้น!
เวิ่นจีฮ่าวนำดาบบินและตะกร้าที่ห้อยอยู่ไปไว้บนรถลากได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็กลับมาทำซ้ำอีก.
งานนั้นเป็นไปอย่างง่ายดายและเร็วมาก จากนั้นรถก็ถูกม้าลากไปที่ห้องครัว.
หลิวจิงที่คอยคุมเรื่องผักอยู่ในครัวเห็นสีหน้าของเวิ่นจีฮ่าวแล้วจึงอดถามไม่ไหว.
“ผู้ฝึกตนหนุ่ม ท่านมีสิ่งใดต้องการหรือคะ?” นางถามออกไป.
เวิ่นจีฮ่าวตัดสินใจทำตัวหน้าด้านแล้วพยักหน้ารับไป “ท่านป้าพอจะมีบะหมี่เผ็ดไหมครับ?”
“เดี๋ยวข้าทำให้เดี๋ยวเดียวค่ะ” หลิวจิงกล่าว “เชิญนั่ง เชิญนั่ง”
คนครัวคนหนึ่งดึงเก้าอี้มาให้เวิ่นจีฮ่าว. เขามองป้าหลิวจิงทำอาหารด้วยความสนใจ: เหมือนที่เห็นในวิดีโอเลย. ในยุคโบราณนี้ พวกเขาไม่มีเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า, เวิ่นจีฮ่าวจึงถือวิสาสะนำฟืนใส่ให้.
บะหมี่นั้นถูกทำขึ้นสดๆและเอาไปลวกน้ำเดือดอย่างรวดเร็ว. หลิวจิงนำผักและเนื้อมาผัดกับเครื่องปรุงต่างๆ แล้วสุดท้ายก็ออกมาเป็นบะหมี่เผ็ดให้เวิ่นจีฮ่าว.
เวิ่นจีฮ่าวมองตากว้างขณะที่กลิ่นของเครื่องเทศพัดเข้าจมูก “ขอบพระคุณครับท่านป้าหลิว”
“เชิญค่ะ ไม่ต้องขอบคุณหรอก” หลิวจิงกล่าว.
เวิ่นจีฮ่าวกินบะหมี่เข้าไปแล้วพบว่ารสชาตินั้นอร่อยเหมือนกับพวกมาม่าเลย แต่บะหมี่อันนี้ดีกว่าเส้นมาม่าอีก.
“โฮ่, กินเก่งจังเลยนะ” ตาถังกล่าว “ท่านเป็นผู้ฝึกตนที่น่าสนใจจริงๆ พ่อหนุ่ม”
“ท่านไม่อยากไปนั่งกินกับผู้ฝึกตนคนอื่นที่ห้องโถงรึ?” คนครัวคนหนึ่งเอ่ยปากถามออกมาด้วยคิ้วขมวด.
เวิ่นจีฮ่าวส่ายหัว “ข้าชอบบรรยากาศที่นี่มากกว่า. ท่านป้ามีพริกอีกไหมครับ?”
หลิวจิงประหลาดใจ. นางผัดให้ก็เผ็ดพอตัวแล้ว “มีมี, นี่จ่ะ”
เวิ่นจีฮ่าวเทพริกเผาหนึ่งช้อนลงไปในชามบะหมี่ของเขาอย่างมีความสุขจากนั้นก็กินต่อ. สีหน้าที่มีความสุขของเขาทำให้คนรอบๆเริ่มหิวขึ้นมาเช่นกัน จนสุดท้ายพวกเขาก็มานั่งกินบะหมี่ผัด (ที่เผ็ดไม่เหมือนกัน) ด้วยกันในเช้าวันนั้น.