ตอนที่ 7 - เอ๋ ข้าขี้เกียจจะสู้แล้ว. เจ้าชนะไปเถอะ.
พอนึกความทรงจำของเวิ่นจีฮ่าวคนก่อนขึ้นมา เขาก็จำได้ว่าศิษย์สำนักนอกนั้นวิชากันตั้งแต่ไก่โห่ทุกวันเลย.
ขั้นแรกศิษย์ทุกคนจะเริ่มฝึกพื้นฐานกันก่อน. เวิ่นจีฮ่าวก็ขยับร่างกายไปตามสิ่งที่เขาจำได้พร้อมๆกับคนรอบๆ.
ดาบของเจ้าของร่างนั้นเป็นดาบคมเดียว ไม่มีอะไรประดับประดา. ชื่อของมันก็คือดาบสีเงินแล้วก็ไม่ใช่ดาบที่มีพลังแฝงอะไรด้วย ก็แค่ดาบธรรมดาๆ.
*ขอเปลี่ยนจากกระบี่เป็นดาบนะครับ*
พอไม่มีเงินแล้ว ก็ไม่สามารถหาอาวุธใหม่ให้ตัวเองได้ เวิ่นจีฮ่าวคนก่อนก็จนด้วย. พอไม่มีความสามารถ สำนักก็ไม่รับรองอาวุธที่ดีกว่าให้ เวิ่นจีฮ่าวคนก่อนก็ไม่ได้เก่งเกินหน้าใครอีก. โลกที่มีผู้ฝึกตนมากมายขนาดนี้ แค่ขยันอย่างเดียวมันไม่พอหรอก.
ในตอนแรกนั้นเวิ่นจีฮ่าวพยายามหลอกตัวเองให้สนุกไปกับการเหวี่ยงดาบ แต่พอเวลาผ่านไปดาบของเขาก็รู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆจนไม่สนุกอีกต่อไป.
ทำไมเจ้าคนก่อนถึงไม่เลือกอาวุธที่มันเบากว่านี้นะ, พวกพัดงี้? ทำไมเขาถึงดื้อดึงฝึกวิชาดาบอยู่ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถ?
ท้ายสุด กระบวนท่าของเวิ่นจีฮ่าวก็ดูเหยาะแหยะไม่มีเหมือนของศิษย์คนอื่นๆ. พอจางอู่ประกาศให้เริ่มการฝึกต่อไปได้ เวิ่นจีฮ่าวก็เก็บดาบด้วยความโล่งใจทันที.
การฝึกต่อไปนั้น ศิษย์จะได้จับคู่ฝึกประลองกัน. ห่างไปอีกฟากหนึ่งนั้นมีศิษย์คนหนึ่งตะโกนเรียกเขา.
“-เวิ่นจีฮ่าว! สหายรักเวิ่นจีฮ่าว!”
...อะไรอีกล่ะ?
เขาหันไปทางต้นตอของเสียงแล้วพบหวังลี่เหว่ยกับเพื่อนๆของเขาอยู่.
ตอนนี้หวังลี่เหว่ยได้เปลี่ยนชุดจากสีเหลืองเป็นสีทองแล้ว เขายิ่งดูเด่นในแก๊งมากๆ. ในกลุ่มเขานั้นก็มีอีกคนที่มีชุดสีทองเหมือนกัน แต่หวังลี่เหว่ยมีของหรูหราประดับมากกว่าและดาบเขาก็ดูสะดุดตากว่า. ว่ากันตามจริงแล้ว หวังลี่เหว่ยได้เป็นศิษย์สำนักในแล้วตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องมาฝึกที่นี่เลย. หมอนั่นคงมีอะไรอยู่แน่ๆ.
“เวิ่นจีฮ่าว” หวังลี่เหว่ยกล่าวอีกครั้งขณะเอามือวางที่ด้ามดาบ “จุ๊ จุ๊, เป็นครั้งแรกเลยนะที่เจ้ามาสาย. เจ้าแพ้ข้าจนลุกไม่ขึ้นขนาดนั้นเลยรึ? อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะเป็นคนที่แก่ที่สุดในสำนักนอกแล้ว…”
นั่นก็จริง. หากศิษย์ในสำนักนอกแก่ตัวลงและไม่สามารถเข้าสำนักในได้ หลายคนก็เลือกที่จะลาออกไปเข้าสำนักที่เล็กกว่าไม่ก็สำนักในเครือแทน เพราะชีวิตในสำนักนอกนั้นไม่ค่อยมีสิทธิอะไรมากมาย.
แต่ในสายตาของเวิ่นจีฮ่าวแล้ว สำนักนอกนั้นให้อารมณ์จีนโบราณมาก. เขาไม่รังเกียจที่จะแก่ตายอยู่สำนักนอกนี้เลย.
“…ดูมันสิ เหม่ออะไรอยู่” หวังลี่เหว่ยกล่าวกับเพื่อนของเขาแล้วยิ้มเยาะ “เข้ามา, มาสู้กัน. มาดูกันว่าวันนี้เจ้าจะโชคดีหรือไม่. เจ้าแพ้ไปกี่ครั้งแล้วนะ?”
“ยี่สิบกว่า!”
“ร้อยกว่า!”
“สามร้อยกว่า!”
หวังลี่เหว่ยชักดาบออกมา “มาประลองกัน”
เวิ่นจีฮ่าวหาวออกมา “ข้าไม่สนใจการประลองปันยาอ่อนของเจ้าหรอกนะ”
ศิษย์รอบๆอ้าปากค้างกันไปหมด.
“เขา..สบถรึ!”
“เขาถึงขีดสุดแล้วรึ? เขาจะเข้าทางอธรรมแล้วสินะ?”
หวังลี่เหว่ยขยับปากไปเป็นยิ้มเย้ย “เจ้ากลัวรึ?”
เวิ่นจีฮ่าวกะพริบตาช้าๆให้เขา “เจ้าแกร่งกว่าข้า, พอใจรึยัง? เจ้าเป็นเด็กที่เยี่ยมมากๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจืดจาง.
ฮึ่ม, หิวซะแล้วสิ..โอะ, สัญญาป้าแม่ครัวไว้แล้วนี่นาว่าจะไปช่วย..เวิ่นจีฮ่าวคำนับกลุ่มเด็กพวกนั้นอย่างสุภาพ “พยายามให้มากๆเข้าล่ะ เข้าใจไหม? ลาล่ะ”
จากนั้นเวิ่นจีฮ่าวก็ออกจากสนามฝึกไป.
หวังลี่เหว่ยอึ้งจนพูดไม่ออกขณะมองเวิ่นจีฮ่าวจากไป. ใบหน้าของเขาแดงก่ำ. มันพูดอะไร?!?!! มันเมินข้างั้นเหรอ??? กล้ามากนะ! “เจ้า...เจ้าเวิ่นจีฮ่าว!”
เพื่อนๆของหวังลี่เหว่ยเห็นด้วย “เขากล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง?!?!”
“ไร้มารยาท!!”
แต่เวิ่นจีฮ่าวก็ไม่ได้สนใจ.
หลายๆคนเริ่มหันไปมองเวิ่นจีฮ่าว. จางอู่ก็มีน้ำโหขึ้นมาเพราะความขี้เกียจของเขา.
ในอีกด้านของลานฝึกนั้นเอง ซันฟุหยื่อก็อยากจะเดินตามเวิ่นจีฮ่าวไป. เขาอยากรู้ว่าศิษย์พี่เวิ่นต้องการจะทำอะไร. แต่เขาก็ไปไม่ได้ เพราะดาบของอู่ชิงชิงกำลังพุ่งเข้ามาอยู่!