ตอนที่ 5 - สำรวจ
หลังกินข้าวเสร็จ, เวิ่นจีฮ่าวก็สำรวจร่างกายตัวเองเพื่อหาของและพบว่าเขามีของวิเศษอยู่กับตัวจริงๆ – เป็นแหวนเล็กๆอยู่ในแขนเสื้อ.
มันก็ไม่ใช่ของวิเศษอะไรนักหนาหรอกนะ, แค่ศิลาวิญญาณระดับต่ำก็เท่านั้น, มีตราหยกอยู่ชิ้นหนึ่ง, แล้วก็เศษผ้าเล็กน้อย. เขาเก็บกล่องอาหาร(ที่ยังมีเหลืออยู่) ไว้ในมิติของแหวนนั้น. เขาลุกขึ้นแล้วปัดก้นก่อนจะเดินไปสำรวจทั่วสำนักตะวันทองที่กว้างใหญ่นี้.
เวิ่นจีฮ่าวคนก่อนยังไม่เคยได้เห็นทั่วทั้งสำนักเลย – เขาไม่รู้ตำแหน่งของห้องครัวด้วยซ้ำ. แต่ก็อย่างว่า การนึกความทรงจำของคนก่อนมันยากกว่าของเวิ่นจีฮ่าวคนนี้เสียอีก.
สำนักตะวันทองนั้นรุ่งเรืองมาก, มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆมากมายรวมถึงสวนที่กว้างใหญ่. มีแม่น้ำไหลผ่านและภูเขารอบๆก็เป็นที่ฝึกวิชาของผู้ฝึกตนขั้นสูงหลายคน. มีตำหนักเล็กๆหลายแห่งถูกแบ่งแยกเอาไว้สำหรับเก็บพวกยา, ศิลาวิญญาณ, อาวุธแล้วก็อื่นๆ พูดง่ายๆก็คือสำนักตะวันทองเป็นมหาลัยที่มีเมืองอยู่ในตัวสำนักนั่นเอง.
ทุกอย่างมันตระการตาสำหรับเวิ่นจีฮ่าวมาก อาคารตำหนักต่างๆดูเหมือนในแบบโบราณเป๊ะๆ ทั้งสีและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์. ตัวสวนนั้นเต็มไปด้วยพืชพันธ์ต่างๆและรูปปั้นที่งดงาม. เขาอยากได้กล้องมาถ่ายเก็บความงามพวกนี้ไว้จริงๆ.
บางทีมันก็อาจจะมีของคล้ายๆกันอยู่....แต่ไม่มีเน็ตแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?
พวกผู้ฝึกตนเอง, ส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่หน้าตาสวยๆหล่อๆกันทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนรุ่นใหญ่. แบบว่า, หน้าตาสมส่วน, ผิวพรรณสดใส, ผมเพ้าสะอาดสะอ้าด, หน้าตาดูละอ่อน(เว้นแต่คนที่ดูแก่อยู่แล้วล่ะนะ) แล้วก็เสื้อผ้าที่พัดตามลมแบบในหนัง. แม้ว่าเขาจะเห็นความต่างของเสื้อผ้าระหว่างชายกับหญิง เวิ่นจีฮ่าวก็เห็นผู้ฝึกตนบางคนใส่ชุดไม่สีเหลืองจ้าก็สีทองอร่ามไปเลย.
เมื่อตะวันลับฟ้า, ผู้ฝึกตนหลายคนกลับยิ่งเข้ามาที่ลานฝึกกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเวิ่นจีฮ่าวเลยกลับไปที่ ‘ห้อง’ ของเขา.
เวิ่นจีฮ่าวคนก่อนเป็นหนึ่งในศิษย์รุ่นเก๋าของสำนักนอก. ไม่เหมือนกับพวกศิษย์ชั้นในที่มีตำหนักเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็อาศัยอยู่กับอาจารย์ของตนในบ้านหลังใหญ่ๆ, ศิษย์ชั้นนอกนั้นถูกจัดให้พักอยู่ในตึกขนาดใหญ่สองตึก. แต่ละคนก็มีห้องเล็กๆของตัวเอง.
ห้องของเวิ่นจีฮ่าวนั้นเกือบจะอยู่ชั้นบนสุดของตึกพัก โดยมีลิฟท์ที่ใช้พลังงานจากศิลาวิญญาณ. ตัวห้องนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียง, ลิ้นชักเก็บของแล้วก็โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งแล้วก็ห้องน้ำหนึ่งห้อง.
เวิ่นจีฮ่าวรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นเตียงไม้กับหมอนแข็งๆ. เขาอยากได้ของดีๆในศตวรรษที่21กลับมา!
เขานั่งลงที่โต๊ะเตี้ยแล้วนำของในมิติว่างเปล่าของแหวนออกมา. เขากัดซาลาเปาลูกสุดท้ายลงไปก่อนจะดื่มน้ำวิญญาณล้างปากแล้วก็กินของที่เหลือ. เขาใช้เศษผ้าเป็นหมอนรอง หลังจากนี้เขาค่อยไปหาเศษผ้าเพิ่มเอาไว้ทำหมอนก็ได้.
จากนั้นเขาก็ลองเปิดตราหยกดู. มีแต่วิชากระบี่แปลกๆเต็มไปหมด......เห้อ!
เวิ่นจีฮ่าวเพิ่งเรียนจบมหาลัยมาได้ไม่กี่ปีก่อน เขาไม่อยากจะมาเรียนอะไรเพิ่มอีก.
เมื่อไม่มีอะไรทำแล้ว เวิ่นจีฮ่าวก็อาบน้ำแล้วขึ้นเตียงไป.
ฮึ่ม. นอนตะแคงก็ไม่สบายตัว แต่นอนหงายก็พอทนได้. เตียงนี่ต้องรีบอัพเกรดแล้ว.
ตัวห้องนั้นลงอาคมเก็บเสียงไว้ดีมาก ทุกอย่างเงียบไปหมด. พออยู่ท่ามกลางความเงียบงัน เวิ่นจีฮ่าวก็เริ่มคิดไปเรื่อยเปื่อย.
ถ้าเขาข้ามมาโลกนี้แล้ว...แสดงว่าร่างเก่าเขาก็ต้องตายแล้วเป็นแน่และวิญญาณของร่างนี้ก็คงจากไปแล้ว.
เขาอดคิดไม่ได้ว่า, พ่อแม่ที่แยกทางกันนั้นจะสนใจเขาบ้างหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของร่างนี้เองก็ยิ่งห่างเหินกันมากกว่าด้วย. ไม่มีใครสนิทกับเวิ่นจีฮ่าวคนก่อนเลย ดังนั้นเขาคงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำตัวเป็นคนเก่ามากนัก.
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ของที่อยู่ในโลกเก่าเขาล่ะ, คอมสุดรักของเขาล่ะ!? เขาอยากได้มือถือกลับมา เขาอยากเลื่อนดูมีมตลกๆและอ่านนิยายยาวๆจนเผลอหลับไป.
ถ้าเขาตายอีกครั้งที่โลกนี้....เขาจะได้กลับไปที่โลกเดิมไหมนะ? ไม่ดีกว่า มันเสี่ยงไปเพราะถ้าเกิดว่าร่างเก่าเขาเน่าไปแล้วล่ะ ไม่ก็นอนโคม่าอยู่ซักโรงบาลแบบในนิยาย.....โลกนี้มันโลกนิยายรึเปล่า? แต่เขาก็ยังไม่เคยอ่านนิยายเรื่องไหนที่มีตัวละครชื่อนี้นี่นะ.
ถ้าอย่างงั้น เขาก็ต้องห้ามถูกไล่ออกจากสำนักเด็ดขาด. ทั้งร่างเก่าและร่างนี้ไม่มีใครรู้วิธีเอาตัวรอดได้เลยถ้าไม่มีสำนัก.
ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นไปมาในหัวของเวิ่นจีฮ่าว โดยไม่มีมือถือมาทำให้เขาหยุดคิดได้เลย.
สิ่งเดียวที่พอเหลือไว้อ่านได้ก็มีแค่ตราหยกวิชากระบี่นั่นเท่านั้น.
เวิ่นจีฮ่าวรู้สึกไม่ชอบเลย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ. บางทีมันอาจจะเหมือนกับหนังสือในมหาลัยก็ได้. ถ้ามันน่าเบื่อ มันก็น่าจะช่วยให้เขาหลับลงได้นี่นะ? จากนั้นเขาก็ลุกจากเตียงไป.
เวิ่นจีฮ่าวพบตราหยกอันหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับวิชากระบี่ – มันไม่ได้อยู่ในแหวนแต่ถูกทิ้งไว้ในลิ้นชักของห้อง. เหตุผลก็เพราะเจ้าตราหยกอันนี้เป็นตราหยกที่มีไว้เพื่อสอนพื้นฐานของการพัฒนาตน มันระบุสิ่งพื้นฐานที่สุดของการฝึกวิชานั่นก็คือ การทำสมาธิ.
นั่นทำให้เวิ่นจีฮ่าวรู้สึกสนใจขึ้นมา. เขารีบอ่านมันทันที. จากนั้นก็กลับไปที่เตียง, หลับตาลงแล้วเริ่มหายใจเข้าออก. ร่างกายของเขาเริ่มควบคุมพลังปราณอย่างอัตโนมัติด้วยความเคยชิน.
การหายใจเข้าออกก็ไม่ต่างอะไรกับการนับแกะเว้นซะแต่มันคือการนับพลังปราณที่ไหลเข้าออกจุดลมปราณของเขา. การเพ่งสมาธิไปที่พลังปราณและนับมันอย่างช้าๆทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเวิ่นจีฮ่าวสงบลงและไม่นานเขาก็หลับไป.