ตอนที่แล้วตอนที่ 3 - ศิษย์พี่เวิ่น...
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 - สำรวจ

ตอนที่ 4 – ซาลาเปาหมู


ในสำนักตะวันทองนั้นมีห้องอาหารขนาดใหญ่ที่แจกจ่ายอาหารสุดพิเศษให้แก่ศิษย์ในสำนักที่ยังไม่ได้เข้าฝึกวิชาอดอาหาร.

เวิ่นจีฮ่าวคนก่อนนั้นได้ฝึกวิชาอดอาหารไปเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงกินอาหารแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น. ทว่า, ความจริงแล้วอาหารสุดพิเศษของสำนักนั้น....ค่อนข้างจืดทีเดียว. คงมีไว้เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ฝึกการอดอาหารขั้นต้น จะได้ลืมกิเลสจากอาหารและสามารถพัฒนาวิชาต่อไปได้.

แต่ในเมื่อการฝึกวิชาไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเวิ่นจีฮ่าว เขาก็อยากจะกินอาหารที่มันอร่อยๆบ้าง.

(แล้วใครกันนะที่มันเป็นคนบอกให้เวิ่นจีฮ่าวคนก่อนมาเข้าสำนักโดยที่ไม่มีอาหารอร่อยๆให้กินน่ะ?)

ทว่า, ไม่ว่าเวิ่นจีฮ่าวจะพยายามนึกแค่ไหน เขาก็ไม่รู้ตำแหน่งของห้องครัวซะที. เขาคิดว่ามันน่าจะอยู่ใกล้ห้องทานอาหารล่ะมั้ง. จากนั้นเขาก็พยายามฝ่าฝูงชนที่แออัดกันอยู่หน้าห้องทานอาหารออกไป, เวิ่นจีฮ่าวรุดหน้าไปทางประตูเล็กๆด้านข้างที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ.

แล้วเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมา. เขาถึงกลับได้กลิ่นหอมของข้าวที่เพิ่งหุงใหม่ๆด้วย.

เขามองดูตัวเองแล้วรีบจัดผมเพ้าและเสื้อผ้าของตัวเองให้ดูดี เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปขออาหารจากพ่อครัว. หากไม่ได้ผลเขาก็จะลองเสี่ยงดวงไปหาซอสพริกแถวหมู่บ้านนอกสำนักเสีย – เขาไม่ได้ท้องกิ่วหรอกนะ เขายังไม่ได้หิวขนาดนั้น. เขาแค่อยากจะกินอะไรซักอย่างเท่านั้นเอง.

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เวิ่นจีฮ่าวก็เดินเข้าไปผ่านประตูธรรมดาๆบานหนึ่งที่เปิดออกอยู่เล็กน้อย. ขณะที่กำลังจะเคาะประตูนั้น ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน.

“ว๊าย?” ป้าแม่ครัวคนหนึ่งสะดุ้งเล็กน้อย. เธอดูอายุราวๆวัยกลางคน, ผมเพ้ามัดไว้อย่างดีกับผ้ากันเปื้อนที่ดูเรียบร้อย. เธอกำลังถือถังที่มีน้ำสีคล้ำอยู่สองใบ.

“สวัสดีตอนบ่ายครับ ท่านป้า” เวิ่นจีฮ่าวกล่าวแล้วคำนับให้เล็กน้อย. เขาไม่โค้งคำนับต่ำเกินไป ไม่งั้นแล้วจะเหมือนกับว่าดูถูกนาง.

“ท่านลูกศิษย์, ทางเข้าห้องอาหารอยู่อีกฝั่งนะคะ”

เวิ่นจีฮ่าวส่ายหัวให้ “ท่านป้าพอจะมีอาหารเผ็ดๆกับอาหารหวานๆหรือไม่ครับ? หากท่านป้าอณุญาต ศิษย์น้อยคนนี้อยากจะขอทำอาหารเอง!”

เวิ่นจีฮ่าวภาวนาว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นและหวังว่าใบหน้า19ขวบของเขาจะช่วยโน้มน้าวนางได้.

(และถ้ามันไม่ได้ผล เขาก็จะวิ่งหนีไปแล้วไม่ขอเจอป้าคนนี้อีกเลย)

ป้าแม่ครัวคนนี้มีนามว่าหลิวจิง, นางชินกับการที่พวกผู้ฝึกตนเด็กๆที่คิดว่าตัวเองสำคัญนักหนา (และพวกผู้ฝึกตนที่แก่ๆก็ด้วย) มาสั่งให้ทำอาหารตามที่ตัวเองต้องการ. สำนักนี้เรื่องมากเรื่องอาหารมากๆ แถมยังต้องไปหาวัตถุดิบที่เป็นยามาใส่อีกด้วย.

พอมองดูใบหน้าละอ่อนและขี้ทะเล้นนี่แล้ว หลิวจิงก็ใจอ่อนลง.

“เราก็พอมีอยู่นะ” นางกล่าวขณะที่มองตาของเวิ่นจีฮ่าวโตขึ้นเรื่อยๆเพราะความหวัง.

“ได้จริงๆหรือครับ?”

หลิวจิงตลกกับสีหน้าของเขา “อื้ม, เดี๋ยวพวกข้าจะห่อให้ท่านเอง”

เวิ่นจีฮ่าวรีบพยักหน้าทันที. เขาเอามือตบชุดไปมาแล้วพยายามล้วงแขนเสื้อเข้าไป “เท่าไหร่หรือครับ?”

หลิวจิงส่ายหัวทันที “พวกเราไม่รับเงินจากศิษย์หรอกค่ะ. เชิญ เชิญ”

เวิ่นจีฮ่าวตามหลิวจิงไปอย่างว่าง่าย. ในห้องครัวนั้นทั้งกว้างและยาวมาก. มีพ่อครัวแม่ครัวทำงานอยู่ลายตาไปหมด. หลิวจิงพบกล่องอาหารใบหนึ่งจากนั้นก็นำมันมาใส่อาหารต่างๆลงไป. นางนำน้ำจิตวิญญาณใส่ลงไปในท่อนไผ่และจัดอุปกรณ์กินอาหารให้ด้วย.

เวิ่นจีฮ่าวพยักหน้ารับด้วยสายตาที่สดใส. ขณะที่มองนางเขาก็เอาแต่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีอะไรให้ข้าช่วยท่านได้บ้างไหมครับ?”

หลิวจิงส่ายหัว “ท่านลูกศิษย์หนุ่ม, หน้าที่ของเราคือทำอาหารให้ท่าน. ไม่จำเป็นต้องเอาเงินให้เราหรอก. เชิญไปทานให้อร่อยเถอะค่ะ”

“ครับท่านป้า” เวิ่นจีฮ่าวรับกล่องอาหารมาแล้วออกไป.

เขาจะจำไว้ขึ้นใจ.

ระหว่างทางมานี้ เขาได้จำสถานที่ที่คนพลุกพล่านไว้ในหัวแล้ว. เวิ่นจีฮ่าวไปในสถานที่ที่ไม่มีคนและเงียบสงบ. เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในขณะที่ดวงอาทิตย์ตั้งตระหง่านอยู่บนฟ้า ร่มเงาของต้นไม้ทำให้ไม่รู้สึกร้อนเสียเท่าไหร่.

เวิ่นจีฮ่าวนั่งลงแล้วสังเกตุเห็นใครคนหนึ่ง. เขามองดูดีๆแล้วก็พบว่าเป็นเด็กคนเมื่อตะกี้นี่เอง.

“เจ้าทำอะไรอยู่ในพุ่มนั่นน่ะ? ออกมาสิ โวะ”

ซันฟุหยื่อค่อยๆเดินออกมา “คำนับท่านศิษย์พี่...ข้า...”

เวิ่นจีฮ่าวยิ้มบางๆให้. เจ้าศิษย์น้องนี่ประหม่าเอาเรื่อง. “ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว เจ้าหิวหรือเปล่า? มานั่งสิ”

ซันฟุหยื่อส่ายหัวทันที “ข้าขอไม่รบกวนท่านดีกว่าครับศิษย์พี่. ศิษย์น้องผู้นี้แค่อยากมากล่าวขอบคุณท่านเรื่องก่อนหน้านี้ แค่นั้นเองครับ”

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน่า” เวิ่นจีฮ่าวกล่าวอย่างร่าเริง. เขามองกล่องอาหารแล้วหยิบซาลาเปาหมูลูกใหญ่ออกมา “ศิษย์น้อง เจ้ามานี่สิ”

ซันฟุหยื่อก้าวเข้ามา สายตาของเขาเบิกออกด้วยความตกใจแต่ก็รับซาลาเปาไว้ได้ทัน.

“กินง่าย ทิ้งง่าย, จริงมั้ยล่ะ?”

ซันฟุหยื่อพยักหน้าแล้วกำซาลาเปาแน่น “ขอบพระคุณครับ ศิษย์พี่!” เขาคำนับแล้ววิ่งจากไป.

สายตาของเวิ่นจีฮ่าวอ่อนลงด้วยความชอบใจ. เป็นเด็กที่สุภาพจริงนะ....บางทีนั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาโดนบุลลี่. เขาหวังว่าศิษย์น้องจะกลับมามั่นใจได้อีกครั้งหลังจากนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรับผิดของเขานี่นะ.

ความรับผิดชอบของเขาตอนนี้คืออาหารที่กว่าเขาจะได้มาตรงหน้านี่มากกว่า!

นอกจากซาลาเปาที่เหลือแล้วก็ยังมีข้าวและกับอีกหลายอย่าง รวมถึงเนื้อผัด, หมูตุ๋น, ผัดผักแล้วก็ผักดอง....

เวิ่นจีฮ่าวหยิบตะเกียบมาแล้วไล่กินทีละอัน. อ้า!! เนื้อนุ่มดีจริงๆ, ผักก็มีรสหวานอ่อนๆ ขนาดข้าวก็ยังนุ่มมากๆด้วย. อาหารนั้นได้มอบพลังอันอบอุ่นให้แก่เขา.

ในขณะเดียวกันนั้น, ซันฟุหยื่อก็หยุดวิ่งในที่สุด. เขาตำหนิตัวเองอย่างมาก. วิ่งหนีมาแบบนั้นดูไม่เป็นผู้ใหญ่เลย!?! เขาทำได้แต่มองซาลาเปาในมือ.

ใจเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย. ผ่านมาสองสามปีแล้วที่เขาถูกเก็บมาจากข้างถนน. ช่วงเวลานั้นเขาหิวโหยอย่างมาก. ทางสำนักเองก็ดูแลศิษย์อายุน้อยๆได้เป็นอย่างดีและซันฟุหยื่อเองก็เริ่มฝึกวิชาอดอาหารแล้วด้วย นั่นแปลว่าเขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารมาก, เขาอยู่ได้ด้วยการดูดซับพลังปราณจากรอบๆแทน.

แต่ในเมื่อศิษย์พี่เวิ่นเอาซาลาเปานี้ให้เขาแล้ว....ซันฟุหยื่อกัดเข้าไปหนึ่งคำแล้วความหวานจากตัวแป้งกับความอร่อยของเนื้อก็แตะลิ้นของเขา. มันอร่อยมาก.

ศิษย์พี่เวิ่นทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด