ตอนที่แล้วบทที่ 100 ความมั่นใจของหลินเป้ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 102 สำนักเทียนไห่

บทที่ 101 เมืองถงไห่


“เฟิงซินหยู ข้าจะพูดยังไงดี นางเป็นอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดในเมืองหลวง และนางถูกรวมอยู่ในรายชื่ออัจฉริยะสัตว์ประหลาดเมื่อนางปลุกร่างจิตวิญญาณได้เมื่อปีที่แล้ว และสถานะของนางในตระกูลเฟิง ก็เพิ่มขึ้น”หนิงเสวี่ยพูดถึงเฟิงซินหยู

“แต่เดิมนางเป็นคนธรรมดาในสายตรงของตระกูลเฟิง เป็นเพราะบิดามารดาของนาง ไม่ได้มีสถานะสูงในตระกูลเฟิง ต่อมามีข่าวลือว่านางมีสัญญาหมั้นหมายกับขยะคนหนึ่ง มีหลายคนใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเยาะเย้ยนาง ข้าคิดว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ แต่ข้าไม่คิดว่าสัญญานี้จะเกี่ยวกับเจ้าด้วย” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หนิงเสวี่ยมองหลินเป้ยด้วยสายตาแปลกๆ และพบว่าหลินเป้ยเป็นปกติ

"นางฝึกฝนอย่างหนัก และพรสวรรค์ของนางก็ไม่เลว เมื่ออายุ 16 ปี นางก้าวเข้าสู่ปรมาจารย์นักรบ และกลายเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ในสายตาของทุกคน เมื่ออายุ 17 ปี นางยังปลุกร่างจอตวิญญาณแห่ง และได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายหมิงซิน นางกลายเป็นศิษย์สายตรง และรวมอยู่ในรายชื่ออัจฉริยะสัตว์ประหลาด”

“เมื่อครึ่งปีก่อน มีคนบอกว่านางทะลุถึงขั้น 5 ของปรมาจารย์นักรบแล้ว ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ การฝึกฝนของนางไปถึงระดับใดแล้ว” หนิงเสวี่ยกล่าว

นางอยู่ห่างจากเมืองหลวงมากว่า 4 เดือนแล้ว และนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง

"น่าสนใจ ดูเหมือนว่าเฟิงซินหยูคนนี้ไม่ใช่ตัวตนธรรมดา"หลินเป้ยกล่าวอย่างเฉยเมย

เฟิงซินหยูมีความสามารถและทำงานหนักมากพอ และมีคนที่แข็งแกร่งที่เห็นตุณค่าของนาง ดังนั้นนางจึงมีดีที่จะดูถูกหลินเป้ย

ปล่อยให้ธิดาแห่งสวรรค์ผู้เย่อหยิ่งเช่นนี้ แต่งงานกับสิ่งไร้ค่าเช่นหลินเป้ย

สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกเสียใจ  และหลินเป้ยก็เข้าใจนางเช่นกัน

หลินเป้ยเคยเป็นขยะ ใช่แล้วไง เพราะตอนนี้ เขาไม่ใช่แล้ว

ถ้าเฟิงซินหยูมีทัศนคติที่ดีกว่านี้ และบอกว่าจะยุติการหมั้น หลินเป้ยก็จะเห็นด้วย

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้จักเฟิงซินหยู และไม่มีความรู้สึกใดๆ กับนาง

ความผิดพลาดคือการกระทำของเฟิงซินหยูรุนแรงเกินไป และนางไม่ได้รักษาหน้าตระกูลของหลินเป้ยซึ่งทำให้หลินเทียนรู้สึกอับอาย และต้องการทำให้หลินเป้ยอับอาย

“แน่นอนว่านางไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้ตระกูลเฟิงถือว่านางเป็นแก้วตาดวงใจ  ตัวของนางมีค่ามาก” หนิงเสวี่ยกล่าว

เฟิงซินหยูแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของนาง จากตัวตนที่ต่ำต้อย  นางได้รับคุณค่าจากตระกูลเฟิง และได้รับการบ่มเพาะอย่างจริงจัง

อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากการทำงานหนักของเฟิงซินหยู

ในความเป็นจริง สิ่งที่หลินเป้ยไม่รู้ก็คือ เหตุผลที่เฟิงซินหยูทำงานหนักนั้นมาจากเขา

เพราะเฟิงซินหยูไม่ต้องการเชื่อฟังการจัดการของตระกูล และนางไม่ต้องการแต่งงานกับขยะจากตระกูลเล็กๆ

เมื่อหลินเทียนกลับมาที่เมืองชิงหลิน คนในตระกูลเฟิงก็รู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ส่งใครไปติดต่อหลินเทียน

ในเวลานั้น เด็กสาวหลายสิบคนจากสายตรงของตระกูลเฟิง ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับหลินเป้ยจับฉลากกัน และใครก็ตามที่ถูกจับฉลากจะได้ จะเป็นคู่หมั้นของหลินเป้ย

ในที่สุดเฟิงซินหยูก็จับได้ และนางมีอายุเพียง 5 ขวบในเวลานั้น

แม้ว่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิง จะรู้ว่าหลินเทียนกลายเป็นคนพิการครึ่งหนึ่ง และหลินเป้ยไม่สามารถฝึกฝนได้

แต่เขาก็ยังยืนยันในสัญญาหมั้นหมาย

ผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงให้ความสำคัญกับคำสัญญา ดังนั้นแม้ว่าเฟิงซินหยูจะไม่ต้องการ แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะยึดมั่นในสัญญาหมั้นหมายนี้ เพื่อไม่ให้หลายคนดูถูกว่าตระกูลเฟิงไม่รักษาสัญญา

ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าว โดยบอกว่า เฝิงซินหยูมีสัญญาหมั้นหมายกับขยะที่บ่มเพาะไม่ได้

ทำให้เฝิงซินหยูกลายเป็นหัวข้อสนทนาเป็นครั้งคราวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นางเกลียดชังมาก

ดังนั้นเฟิงซินหยูจึงต้องเปลี่ยนแปลง นางต้องทำงานหนักเพื่อบ่มเพาะ

ตราบใดที่นางแข็งแกร่งพอ การหมั้นหมายนี้อาจถูกทำลายได้

แน่นอนว่าหลินเป้ยไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

“ฟังดูน่าสนใจ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้นางได้รับในสิ่งที่นางต้องการ การหมั้นสามารถทำลายได้ แต่ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งแค่ไหน ข้าจะจัดการ จนนางต้องม้วนเสื่อกลับไป!”หลินเป้ยเย้ยหยัน

หนิงเสวี่ยไม่แปลกใจเลย ที่หลินเป้ยพูดอย่างเย่อหยิ่ง เขามีความมั่นใจเช่นนั้นอยู่เป็นประจำ

ในแง่ของความแข็งแกร่งที่ครอบคลุม หลินเป้ยนั้นคู่ควรกับเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับอัจฉริยะในเมืองหลวง

หากเป็นการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายจริงๆ คงเป็นเรื่องยากมากที่เฟิงซินหยูจะเอาชนะหลินเป้ย ซึ่งมีสัตว์อสูรระดับ 3 จำนวนมาก

นอกจากนี้ หลินเป้ยยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกล และเขารู้รูปแบบจิตวิญญาณบางอย่าง

ดังนั้นเขาจึงมีวิธีการมากมาย

หนิงเสวี่ยรู้ว่าหลินเป้ยยังคงเป็นปรมาจารย์ยันต์อีกด้วย

หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปจากหนิงเสวี่ยแล้ว หลินเป้ยก็ไม่ได้กังวลมากเกินไป และตอนนี้เขาแค่รอให้เฟิงซินหยูมา

ลำดับความสำคัญเร่งด่วนยังคงเป็นการหาเงิน เนื่องจากสัญญากับเจ้าของร้านซุนซิงว่า จะไม่ขายโอสถ ภายใน 10 วัน เขาจึงไม่มีแหล่งเงินอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม หลินเป้ยมีของมีค่ามากมายที่เขาค้นได้ศัตรู ซึ่งสามารถขายได้อย่างน้อย 3-4 แสนตำลึง

ในหมู่พวกมัน มีดาบจิตวิญญาณและเกราะป้องกันจิตวิญญาณมากมาย

หลินเป้ยไม่สามารถไปที่ตลาดมืดในเมืองชิงหลินได้อย่างแน่นอน หากมีคนจากสมาคมเงามืดรู้ มันจะลำบากมากขึ้นสำหรับเขาในการออกไป

หลินเป้ยได้สังหารสมาชิกของสมาคมเงามืดจำนวนมาก

สำหรับสาเหตุที่ตระกูลโจว และสมาคมเงามืดไม่หาทางแก้แค้นหลินเป้ย เป็นเพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แม้ว่าโจวห่าวจะกลับไปที่ตระกูลโจว แต่ทุกคนในตระกูลโจว ต่างก็ไม่เชื่อในคำพูดของโจวห่าว และไม่เชื่อว่าหลินเป้ยจะแข็งแกร่งขนาดนี้

เขาคิดว่านี่เป็นข้อแก้ตัวที่โจวห่าวคิดขึ้นมา เพื่อปัดความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

หากทุกคนในตระกูลโจวเสียชีวิตหมดยกเว้นโจวห่าว ดังนั้นโจวห่าวในฐานะผู้นำทีม จะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา

ดังนั้นพวกเขาจึงขังโจวห่าวไว้ในบ้าน ปล่อยให้เขารักษาอาการบาดเจ็บ และรอผลการสอบสวนก่อนที่จะวางแผนขั้ยต่อไป

สำหรับสมาคมเงามืด ทีมของหยูหลัวมากกว่าสิบคน เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ ซึ่งทำให้หัวหน้าของสมาคมเงามืดโกรธมาก

อย่างไรก็ตาม สมาคมเงามืดยังต้องส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของผางชง และคนอื่นๆ ก่อน

เป็นเรื่องจริงอย่างที่โจวห่าวพูดหรือไม่ ว่าผางชงถูกหลินเป้ยสังหารไปแล้ว

เพื่อแลกของที่ได้มาเป็นเงิน หลินเป้ยจึงตัดสินใจขายพวกมันในตลาดมืดในเมืองอื่น

ตลาดมืดในเมืองชิงหลินเป็นดินแดนของสมาคมเงามืด และหลินเป้ยจะไม่ไปที่นั่นอย่างแน่นอน

หลินเป้ยจึงบอกทุกคนว่า เขาอาจจะกลับมาตอนกลางคืนแล้วก็ออกไป

หลังจากที่หลินเป้ยออกจากเมืองชิงหลิน เขาก็ปล่อยเสี่ยวเฮย

หลังจากที่เสี่ยวเฮยกลืนแก่นแท้สัตว์อสูรเสือขาวเนตรโลหิต และแก่นแท้สัตว์อสูรงูหลามปีศาจเกล็ดเขียวแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเสี่ยวเฮยก็ใหญ่โตขึ้นมาก

หลินเป้ยได้มอบแก่นแท้สัตว์อสูรระดับ 4 ให้เสี่ยวเฮยทั้งสองเม็ด

หลังจากที่เสี่ยวเฮยกลั่นแก่นแท้สัตว์อสูรแล้ว การฝึกฝนของมันก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

ราชาหมาป่าสีน้ำครามโดยเฉลี่ยมีน้ำหนักประมาณ 500 จิน ซึ่งถือว่าเป็นหมาป่าขนาดยักษ์

แต่ตอนนี้ เสี่ยวเฮยมีน้ำหนัก 1,000 จิน ซึ่งใหญ่กว่าราชาหมาป่าสีน้ำครามเป็นสองเท่า

ฐานการบ่มเพาะได้เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ 3 ขั้น 9 แล้ว และลมปราณที่หนักหน่วง จะทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อมองไปที่เสี่ยวเฮยซึ่งตัวใหญ่เท่าวัวที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาก็ค่อนข้างพอใจเช่นกัน

ในช่วงเวลานี้ เสี่ยวเฮยติดตามหลินเป้ย ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเขา และแน่นอนว่าเขาให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด

หากมีสิ่งที่ดี เขาจะนึกถึงเสี่ยวเฮยเป็นอันดับแรก แล้วจึงค่อยนึกถึงสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณตัวอื่นๆ

ดังนั้นเสี่ยวเฮยจึงเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในมือของหลินเป้ย เนื่องจากเวลาที่เร่งหลายเท่าในบ้านสัตว์อสูร เสี่ยวเฮยจึงสามารถเติบโตได้เร็วมาก

หลินเป้ยขี่หลังของเสี่ยวเฮย

“เสี่ยวเฮย ไปเมืองถงไห่กันเถอะ” หลินเป้ยสั่ง พร้อมชี้ไปยังทิศทางที่ต้องการไป

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด