ตอนที่ 465 สมบัติที่นำมาซึ่งการสูญพันธุ์
ตอนที่ 465 สมบัติที่นำมาซึ่งการสูญพันธุ์
ชายหนุ่มใช้นิ้วแตะแหวนมิติเบา ๆ เพื่อเรียกกล่องโลหะสีดำและกุญแจรูปสามเหลี่ยมอันแปลกประหลาดออกมา
คลิ๊ก!
เมื่อกุญแจถูกเสียบเข้าไปในตัวล็อก มันก็มีเสียงกลไกดังขึ้นเบา ๆ ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปไม่กี่วินาทีตัวล็อกที่แน่นหนาก็คลายตัวออกอย่างช้า ๆ
เซี่ยเฟยกลั้นหายใจโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่เขาจะเปิดกล่องโลหะเพื่อสำรวจดูของที่อยู่ทางด้านใน แน่นอนว่าอันธกับกระป๋องที่อยู่ตรงนั้นก็กำลังรู้สึกประหม่าเช่นเดียวกัน
แอ๊ดดด!
ฝากล่องสีดำถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ และสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่อาวุธอย่างที่เขาคาดหวังไว้ แต่เป็นเพียงแค่กองกระดาษที่เขาไม่รู้ว่ามันได้บันทึกข้อมูลอะไรเอาไว้ด้านในกันแน่
กระดาษด้านในกล่องดูเหมือนจะเป็นพิมพ์เขียวที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นอย่างดี ดังนั้นถึงแม้ว่าเวลาจะได้ผ่านพ้นไปอย่างเนิ่นนาน แต่กระดาษและลายเส้นที่ถูกพิมพ์อยู่ก็ยังคงเด่นชัดเหมือนกับพวกมันยังคงเป็นของใหม่
เซี่ยเฟยสุ่มหยิบพิมพ์เขียวขึ้นมา 1 หน้าแล้วนั่งมองพิมพ์เขียวนั้นพร้อมกับดื่มชาด้วยแววตาอันสับสน แต่เมื่อเขาได้พิจารณาพิมพ์เขียวอย่างระมัดระวัง มันก็ทำให้เขาเกือบจะสำลักน้ำชาที่กำลังยกขึ้นมาดื่ม
พริบตาต่อมาชายหนุ่มก็อ่านข้อมูลบนพิมพ์เขียวอย่างจริงจัง ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งกระป๋องและอันธรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น แต่พวกเขาก็ต้องอดทนฝืนใจตัวเองเอาไว้ไม่พยายามส่งเสียงรบกวนเซี่ยเฟยในช่วงเวลานี้
เซี่ยเฟยสามารถอ่านข้อมูลต่าง ๆ ได้เร็วมาก ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้อ่านพิมพ์เขียวไปแล้วมากกว่า 10,000 หน้าและได้พบว่าตรงก้นกล่องเป็นแผ่นโลหะสีดำประมาณ 1 เมตรที่มีข้อความถูกบันทึกเอาไว้ทั้งสองด้านของแผ่นโลหะ
“แบบนี้นี่เอง” เซี่ยเฟยวางแผ่นโลหะลงพร้อมกับส่งเสียงพึมพำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ว่ายังไง? ของพวกนี้มันคืออะไรกันแน่?” อันธถามด้วยความสงสัย
เซี่ยเฟยยังคงไม่ตอบแต่ได้หยิบพิมพ์เขียวอีกชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ และนำพิมพ์เขียวนี้มาเปรียบเทียบกับพิมพ์เขียวที่อยู่ภายในกล่อง
“เหมือนกันเลย” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
ชุดพิมพ์เขียวที่เซี่ยเฟยหยิบออกมาจากแหวนมิตินั้นแทบจะเหมือนกับพิมพ์เขียวในกล่องโลหะทุกประการ เพียงแต่พิมพ์เขียวในกล่องโลหะมีการบันทึกข้อมูลที่ละเอียดกว่า หรือพูดสั้น ๆ ก็คือมันมีข้อมูลที่ดีกว่าพิมพ์เขียวที่เซี่ยเฟยเคยมีอยู่นั่นเอง
“คุณตาฉินหมางเคยให้พิมพ์เขียวโครงสร้างยานไททันกับฉันมา และเราก็ยังได้พบพิมพ์เขียวของระบบเรดาร์และระบบอาวุธของไททันจากเขตแรงโน้มถ่วงสูงใช่ไหมล่ะ แต่ภายในกล่องโลหะนี่บรรจุพิมพ์เขียวของการสร้างยานไททันเอาไว้จนครบ ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกัน, ระบบเครื่องยนต์, ระบบพลังงาน, ระบบฟอกอากาศและระบบที่จำเป็นอื่น ๆ ต่างก็ถูกรวบรวมเอาไว้ในนี้หมดเลย”
“แบบนี้มันก็หมายความว่านายสามารถสร้างยานไททันได้แล้วใช่ไหม?! ฉันไม่คิดเลยว่าพวกมนุษย์โบราณจะได้ฝังข้อมูลที่ล้ำค่าแบบนี้เอาไว้ด้วย” อันธอุทานขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ฉันลองคำนวณระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างยานไททันดูแล้ว ฉันคิดว่าแม้ว่าเวลาจะได้ผ่านพ้นไปอีกหลายร้อยปีแต่ฉันก็ยังไม่น่าจะสร้างยานลำนี้ได้สำเร็จ เพราะมันจำเป็นจะต้องใช้อู่ต่อย่านที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์ จำเป็นจะต้องใช้แรงงานปริมาณมหาศาล”
“ที่สำคัญคือระดับเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนส่วนใหญ่ของยานไททันขึ้นมาได้ ดังนั้นฉันจึงมองไม่เห็นหนทางที่จะสร้างยานไททันขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้ได้เลย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“นั่นสินะ ขนาดระบบเรดาร์แบล็คแบทที่เป็นเพียงระบบดัดแปลงอย่างง่ายของระบบเรดาร์ของไททันก็ยังทำให้พวกนายปวดหัวอยู่เลย ดูเหมือนระดับเทคโนโลยีในปัจจุบันจะยังไม่สามารถสร้างไททันขึ้นมาได้จริง ๆ” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจจริง ๆ คือความตั้งใจเดิมของการออกแบบยานไททันขึ้นมามากกว่า” เซี่ยเฟยกล่าว
“ความตั้งใจในการออกแบบ? ไททันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อไว้สำหรับการทำสงครามงั้นเหรอ?”
“จากข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ดูเหมือนเหตุผลที่พวกเขาออกแบบยานไททันขึ้นมา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะต่อกรกับมหาอำนาจซึ่งเป็นผู้ปกครองจักรวาล” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังแผ่นโลหะสีดำที่เคยนอนอยู่ก้นกล่อง
“มหาอำนาจผู้ซึ่งปกครองจักรวาลงั้นเหรอ?” อันธอุทาน
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเพื่อยืนยัน
“หรือว่าพวกเขาจะสร้างยานลำนี้ขึ้นมาเพื่อต่อต้านพวกผู้ใช้กฎ?” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
“ตามบันทึกดูเหมือนว่าในสมัยโบราณผู้ใช้กฎกับคนธรรมดาจะอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่มันก็มีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน เพราะในสายตาของผู้ใช้กฎคนธรรมดาก็ไม่ต่างไปจากมดปลวกในสายตาของพวกเขา” เซี่ยเฟยกล่าว
“มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละ ตั้งแต่ที่ฉันได้เห็นพลังของหยูเจียงกับหยูฮัว ฉันก็บอกได้เลยว่าแม้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่แต่ฉันก็คงจะไม่มีทางก้าวตามคนพวกนั้นทันได้” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“สถานการณ์ตอนนั้นมันก็คล้าย ๆ กัน พวกคนธรรมดารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะผู้ใช้กฎได้ พวกเขาจึงยอมแพ้และเลิกสนใจที่จะทำการฝึกฝน”
“เมื่อเวลาผ่านไปความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ใช้กฎบางส่วนจึงตัดสินใจมองหาพื้นที่ดวงดาวอันว่างเปล่า แล้วรวบรวมผู้ใช้กฎจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ย้ายไปตั้งดินแดนใหม่ขึ้นมาร่วมกัน และตั้งกฎไม่ให้พวกเขายุ่งเกี่ยวกับคนธรรมดาอีกต่อไป” เซี่ยเฟยกล่าว
“ที่หยูเจียงบอกว่าเขาจะพาตัวนายไปที่ตระกูล หรือว่าตระกูลที่เขาพูดถึงจะหมายถึงดินแดนกฎที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในตอนนั้น?” อันธกล่าวพร้อมกับใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด
“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่มันมีความเป็นไปได้สูงมาก” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธยังคงอยากรู้ดินแดนอันลึกลับของเหล่าบรรดาผู้ใช้กฎ ดังนั้นเขาจึงยังคงตั้งคำถามที่เขาสงสัยต่อไป
…
โดยสรุปก็คือนักสู้ระดับต่ำที่ถูกเรียกว่าผู้ใช้พลังพิเศษสามารถอยู่ร่วมกับคนธรรมดาได้เท่านั้น และถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถแสดงพลังอันโดดเด่น พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสรับรู้ถึงการคงอยู่ของผู้ใช้กฎตลอดชีวิต ซึ่งอย่างมากที่สุดนักรบพวกนี้ก็สามารถพัฒนาพลังได้จนถึงระดับอิมมอทอลลิตี้เท่านั้น
ขณะเดียวกันผู้ใช้กฎก็แอบสอดส่องดินแดนของคนธรรมดาอยู่เสมอ เพื่อคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแกร่งนำตัวไปฝึกฝน ซึ่งถ้าหากต้นกล้าเหล่านั้นสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ พวกเขาก็จะพัฒนาจนกลายเป็นผู้ใช้กฎคนต่อไป
นักสู้ในจักรวาลจึงถูกแบ่งระดับออกเป็นนักสู้ผู้ใช้พลังพิเศษ, นักสู้ผู้สืบทอดมรดกและนักสู้ผู้ใช้กฎ แน่นอนว่ายิ่งระดับพลังของนักสู้สูงมากขึ้นเท่าไหร่ อายุขัยของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปมากเท่านั้น ว่ากันว่าผู้ใช้กฎในระดับสูงจริง ๆ จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ และไม่มีใครสามารถที่จะสังหารนักสู้ระดับนั้นลงได้
ยิ่งฟังคำอธิบายจากเซี่ยเฟย อันธก็ยิ่งเหงื่อออกมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแต่เดิมเขาคิดว่านักสู้ผู้ใช้พลังพิเศษคือนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าเขายังคงอยู่ในกะลาใบเล็กที่ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกอันกว้างใหญ่เลย
“ฉันเข้าใจเรื่องนักรบผู้ใช้พลังพิเศษ เพราะทั้งฉันและนายต่างก็เป็นผู้ใช้พลังพิเศษเหมือนกัน นอกจากนี้เรายังได้เห็นพลังของผู้ใช้กฎด้วยตาของตัวเองแล้ว ซึ่งเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำก็น่าจะเป็นผู้ใช้กฎด้วยเหมือนกัน ประเด็นคือนักรบผู้สืบทอดมรดกมันคืออะไร?” อันธถามอย่างสงสัย
“จริง ๆ แล้วฉันก็เป็นนักรบผู้สืบทอดมรดกเหมือนกัน เพียงแค่ฉันไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ?! ฉันอยู่กับนายมาตั้งหลายปี แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนเลยว่านายคือนักรบผู้สืบทอดมรดก?” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“นักรบที่แข็งแกร่งมักจะหาผู้สืบทอดวิชาของตัวเองต่อไปใช่ไหม? คล้ายกับสำนักเงาสังหารที่จะหาศิษย์คนใหม่เข้ามาในสำนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่านักรบย่อมพยายามหาผู้สืบทอดมรดกพลังของพวกเขาด้วยเหมือนกัน พวกเขาจึงแอบใส่บททดสอบเข้ามาในดินแดนของคนธรรมดาเพื่อหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม”
“บททดสอบนี้ถูกจัดขึ้นในดาวเคราะห์มรดก ดังนั้นผู้ที่สามารถผ่านการเอาชีวิตรอดในดาวเคราะห์มรดกมาได้จึงจัดอยู่ในประเภทของนักรบผู้สืบทอดมรดก เพื่อที่จะพัฒนากลายเป็นนักรบผู้ใช้กฎรุ่นต่อไป ซึ่งมันก็หมายความว่าทั้งฉันและมู่เสียวเต๋าที่เราเคยเจอต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของนักรบกฎสักคน”
ทันใดนั้นอันธก็จำเรื่องที่มู่เสียวเต๋าเคยพูดกับเซี่ยเฟยได้ว่า เขาได้เรียกนักรบที่เดินทางไปยังดาวมรดกว่าผู้สืบทอด และตราบใดก็ตามที่ผู้สืบทอดสามารถผ่านบททดสอบจากดาวมรดกได้ครบกำหนด พวกเขาก็จะสามารถเดินทางไปยังดินแดนของผู้ใช้กฎได้ในที่สุด
“ฉันพอจะจำได้ที่มู่เสียวเต๋าเคยพูดข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้สืบทอด และตอนนั้นเรายังรู้สึกตกใจที่เขารู้ว่านายเคยไปดาวมรดกด้วย” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้าซ้ำ ๆ
“เขาน่าจะแตกต่างจากฉันตรงที่เขาน่าจะได้รับการฝึกจากผู้ใช้กฎที่แข็งแกร่ง ส่วนฉันน่าจะถูกส่งไปในดาวเคราะห์มรดกโดยบังเอิญ”
“เหตุผลที่ฉันรู้ว่ามันคือดาวเคราะห์มรดก นั่นก็เพราะว่าฉันได้พบกับข้อมูลจากซากศพของมนุษย์โบราณ แต่ดาวมรดกที่ฉันเดินทางไปก็ดูรกร้างมาก ฉันจึงเดาว่าฉันน่าจะหลงเข้าไปในดาวดวงนั้นและกลับออกมาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่เขาจะรีบกล่าวออกไปเมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อนนะ! หยูเจียงบอกว่าเขาจะนำตัวนายไปที่ตระกูลในอีก 3 ปี ซึ่งมันก็หมายความว่านายจะได้ฝึกฝนเป็นนักรบกฎโดยผ่านขั้นตอนการเป็นนักรบผู้ใช้มรดกไปเลยงั้นเหรอ?”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเพราะเขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามการเลื่อนระดับพลังก็คล้ายกับการไปโรงเรียน ซึ่งมันจำเป็นจะต้องค่อย ๆ ผ่านไปทีละขั้นตอน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากว่าเขาจะก้าวกระโดดขึ้นไปในดินแดนของผู้ใช้กฎโดยตรง
ในเวลานั้นเขาย่อมกลายเป็นผู้ไร้พื้นฐานท่ามกลางผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะเขาได้ข้ามขั้นตอนการเรียนรู้อย่างที่ควรจะเป็น แต่โชคดีที่เขายังมีกฎแห่งความโกลาหลที่เทพเจ้าดำได้มอบให้ และเขายังได้รับ 1 ใน 30 อาวุธมายามาจากวิหารของเทพเจ้าขาวดำด้วย
“ด้วยความแตกต่างทางด้านพลังแบบนี้นี่เอง พวกคนธรรมดาเลยรู้สึกว่าผู้ใช้กฎคือภัยคุกคามของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพัฒนายานไททันขึ้นมาเพื่อสร้างความสมดุลย์ระหว่างอำนาจไม่ให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของผู้ใช้กฎตลอดไป” เซี่ยเฟยกล่าว
“แม้ว่าไททันจะเป็นยานรบที่น่าอัศจรรย์ แต่ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะต่อต้านผู้ใช้กฎได้หรอกนะ” อันธกล่าว
“จากข้อมูลในกล่องยานไททันถูกพัฒนาขึ้นมาทั้งสิ้น 4 รุ่นคือรุ่นแอนเจิล, รุ่นกาเบรียล, รุ่นบาธและรุ่นนาร็อคตามลำดับ ซึ่งพิมพ์เขียวที่อยู่ในมือของเราคือพิมพ์เขียวของยานรุ่นแอนเจิล”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่ายานไททันสามารถต่อกรกับผู้ใช้กฎได้หรือเปล่า แต่ตามบันทึกบนแผ่นโลหะนี้เผ่าพันธุ์ที่ออกแบบยานไททันได้ถูกกำจัดลงอย่างรวดเร็ว และทุกเผ่าพันธุ์ที่ได้พิมพ์เขียวของยานไททันไปต่างก็ล้วนแล้วแต่ถูกทำลายจนสูญพันธุ์ด้วยเช่นกัน”
***************