ตอนที่แล้วตอนที่ 462 แผนของชิววี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 464 48 ชั่วโมง

ตอนที่ 463 บทสนทนาที่เรียบง่าย


ตอนที่ 463 บทสนทนาที่เรียบง่าย

เซี่ยเฟยตั้งค่าให้ยานรบวิ่งวนรอบเมืองหลวงเซิร์ก พร้อมกับหยิบลูกบอลโลหะออกมาจากแหวนมิติ

ลูกบอลโลหะนี้คืออุปกรณ์ซ่อมแซมอัจฉริยะที่เขาได้แลกเปลี่ยนมาจากวิหารเทพเจ้าขาวดำ ซึ่งมันสามารถที่จะวิเคราะห์ความเสียหายของเครื่องจักรได้ในทันที และสามารถทำการซ่อมแซมเครื่องจักรที่เสียหายนั้นได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นาน

ชายหนุ่มกดปุ่มบนลูกบอลโลหะที่มีขนาดแค่ประมาณเมล็ดถั่วเขียว ก่อนที่ลูกบอลนี้จะยืดหนวดกลออกมา 8 เส้นจนทำให้มันกลายเป็นแมงมุมโลหะตัวเล็ก ๆ

แมงมุมน้อยเดินสำรวจรอบ ๆ ระบบเรดาร์แบล็คแบท 2-3 ครั้ง ก่อนที่มันจะได้พบช่องว่างในระบบเรดาร์ และถึงแม้ว่าตัวของแมงมุมโลหะนี้จะเล็กมาก แต่มันก็ยังยากที่จะมุดเข้าไปซ่อมแซมระบบเรดาร์ด้านในอยู่ดี

แต่ในทันใดนั้นเองแมงมุมตัวน้อยก็ได้แยกตัวออกกลายเป็นแมงมุมขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วพวกมันก็คลานอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปตามช่องของระบบเรดาร์เพื่อซ่อมแซมความเสียหายอย่างระมัดระวัง

ภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที ไฟแสดงสถานะสีแดงของระบบเรดาร์แบล็คแบทก็เปลี่ยนเป็นไฟแสดงสถานะสีเขียว ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าระบบเรดาร์ได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แล้ว

หลังจากที่เซี่ยเฟยนั่งทำใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เลือกติดต่อไปยังหมายเลข 1 โดยตรง

ณ แนวป้องกันทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้ายของมนุษยชาติ

ปัจจุบันกองกำลังพันธมิตรกำลังถูกปิดล้อมด้วยกองยานเซิร์กมากกว่า 1,500 กอง ซึ่งจำนวนกองยานของพันธมิตรมีจำนวนน้อยกว่ากองยานของเซิร์กถึง 1 เท่าตัว และจำนวนของยานบัญชาการภายในกองยานของมนุษย์ก็มีจำนวนน้อยกว่าจำนวนยานบัญชาการภายในกองยานของเซิร์กมาก

ไทสันสั่งการให้ยานรบเตรียมต่อสู้ร่วมกับดาวเคราะห์ป้อมปราการ และรอคอยการมาถึงของการจู่โจมระลอกแรกอย่างเงียบ ๆ

ณ ยานบัญชาการลิเบอตี้ ซึ่งในปัจจุบันทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการหลักของกองกำลังพันธมิตร

“ตอนนี้พวกเราถูกล้อมเอาไว้จากทุกทิศทางแล้ว และเราก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่ประมาณ 30 นาทีก่อนที่จะต้องปะทะกับกองยานเซิร์ก ดูเหมือนคราวนี้กองยานเซิร์กต้องการจะจัดการพวกเราในคราวเดียว แล้วมันก็ไม่เหลือทางให้พวกเราถอยหนีไปไหนอีกแล้ว” วิลเลียมกล่าวหลังจากได้รับรายงานจากทีมลาดตระเวน

“พวกมันส่งใครมาไล่ล่ากองยานพลเรือนของเราหรือเปล่า?” ไทสันกล่าวถามพร้อมกับพยักหน้ารับ

“ไม่! ดูเหมือนพวกเซิร์กจะไม่ค่อยสนใจกองยานพลเรือน เป้าหมายหลักของพวกมันน่าจะเป็นกองทัพของพันธมิตรมากกว่า” วิลเลียมกล่าว

“ขอแค่กองยานพลเรือนอพยพออกไปได้อย่างราบรื่นแค่นั้นก็พอแล้ว” ไทสันกล่าวพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้น จำนวนพลเรือนของเรามีมากเกินไปและพวกนาวีก็อนุญาตให้เฉพาะคนมีเงินเข้าไปในดินแดนของพวกมันเท่านั้น มันจึงทำให้ประชากรส่วนใหญ่ยังคงติดค้างอยู่ทางฝั่งของพันธมิตร” วิลเลียมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับนาวีไม่ค่อยแน่นแฟ้นมากนัก และสาเหตุที่พวกนาวียอมรับผู้ลี้ภัยมนุษย์บางส่วนเข้าไป นั่นก็เพราะว่าพวกมันต้องการสินทรัพย์และเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น

พลเรือนโดยส่วนใหญ่ไม่มีสินทรัพย์ติดตัวมาเลยแม้แต่น้อย และเนื่องจากสภาวะสงครามมันจึงทำให้สภาพการเป็นอยู่ของทุกคนยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วในสภาวะที่ยากแค้นแบบนี้มนุษย์จะมีสมบัติไปส่งมอบให้กับพวกนาวีได้ยังไง

แต่ชาวนาวีก็ไม่คิดที่จะสนใจความทุกข์ยากของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย คนที่ไม่มีสินทรัพย์จ่ายให้กับพวกมันจะถูกขับไล่ออกมาอย่างฉับพลัน และถ้าหากว่ามนุษย์คนไหนดื้อรั้นพวกนาวีก็จะเริ่มใช้กำลังเพื่อขับไล่มนุษย์ออกไป

“เหตุผลที่พวกเราอดทนสู้กันมาขนาดนี้ นั่นก็เพราะพวกเราพยายามจะถ่วงเวลาให้ผู้อพยพให้ได้นานที่สุด แต่ฉันไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นแบบนี้ บางทีฉันอาจจะเป็นจอมทัพที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลยก็ได้” ไทสันเอามือขึ้นมาปิดหน้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง

“มันไม่ใช่แบบนั้น ถึงแม้ว่าเราจะพ่ายแพ้สงครามแต่นายก็ยังคงเป็นวีรบุรุษ” เลย์ตันกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนที่เขาจะให้เหตุผลต่อมาอีกว่า

“ย้อนกลับไปในสมัยมนุษย์ถูกกวาดล้างโดยพวกหุ่นยนต์ กองทัพในสมัยนั้นไม่สามารถปกป้องพลเรือนเอาไว้ได้ เนื่องมาจากพวกเขาต้องการที่จะต่อสู้มากเกินไป มันจึงทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เกือบจะโดนกวาดล้างจนสูญพันธุ์”

“พวกเรารู้ดีตั้งแต่เริ่มต้นสงครามว่าจุดประสงค์ของนายคือการพยายามปกป้องพลเรือนให้ได้มากที่สุด และเราจะไม่ต่อสู้กับพวกเซิร์กอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าโดยเด็ดขาด ทำให้ในตอนนี้ประชากรกว่า 1 ใน 3 สามารถอพยพออกไปได้แล้ว ซึ่งนี่ก็มากพอที่จะยกย่องนายว่าคือวีรบุรุษของสงครามแล้ว”

“ใช่ ตั้งแต่เริ่มสงครามทั้งจำนวนทหารและจำนวนยานรบของเซิร์กก็มีจำนวนมากกว่าพวกเรามาก ซึ่งในสถานการณ์นี้ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็ยอมรับได้”

“แม้ว่าในมุมของทหารการพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะจะเป็นเรื่องที่ล้มเหลว แต่ถ้าหากว่าเราลองมองมุมของพลเรือน ฉันเชื่อว่าผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องขอบคุณนายที่เป็นผู้วางกลยุทธ์ในครั้งนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดสิ่งที่นายกำลังทำคือการพยายามปกป้องเมล็ดพันธุ์อันล้ำค่าเอาไว้ เพื่อที่ในอนาคตพันธมิตรจะได้ถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง”

“หากว่ากองทัพปะทะกับศัตรูตั้งแต่เริ่มต้นสงคราม มันก็ไม่มีทางที่พวกเราจะรักษาพลเรือนเอาไว้ได้มากขนาดนี้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าแผนการอพยพจะไม่ได้ราบรื่นเหมือนกับที่พวกเราได้คาดการณ์เอาไว้ แต่ฉันเชื่อว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนก็รู้สึกขอบคุณนายมากแล้ว” วิลเลียมกล่าวเสริม

“รู้สึกขอบคุณที่ฉันยอมปล่อยให้ดินแดนของมนุษย์ตกอยู่ภายใต้การคุกคามของพวกเซิร์กเนี่ยนะ?!” ไทสันยังคงโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของตัวเอง

“นายประเมินความดื้อรั้นของมนุษย์ต่ำเกินไปแล้ว ตราบใดก็ตามที่เมล็ดพันธุ์ของพวกเรายังคงอยู่ ฉันก็เชื่อว่าในอนาคตพวกเขาจะทวงคืนดินแดนที่เคยเป็นของเรากลับคืนมาได้ อย่างน้อยสิ่งที่นายทำมาจนถึงตอนนี้ก็คือการปกป้องชีวิตของประชาชนนับ 100 ล้านคน ฉันเชื่อแล้วว่าหนึ่งในประชาชนเหล่านั้นจะต้องให้กำเนิดวีรบุรุษในอนาคตขึ้นมาอย่างแน่นอน” วิลเลียมพยายามกล่าวปลอบใจ

แต่ในทันใดนั้นเองมันก็มีแสงสัญญาณไฟสีแดงส่องกระพริบเป็นสัญญาณว่าพวกเซิร์กใกล้ที่จะบุกจู่โจมเข้าใส่พวกเขาแล้ว

“หน่วยลาดตระเวนรายงานมาว่าพวกเขาเห็นกองยานเซิร์กกว่า 300 กองกำลังพยายามจู่โจมทางพื้นที่ปีกซ้าย พวกเขารุกคืบเข้ามาเร็วมาก และคาดว่าจะเกิดการปะทะในอีก 25 นาทีครับ” พลสื่อสารรีบรายงาน

“กระจายคำสั่งไปที่นายพลเอแคร์ บอกให้เขาพยายามรักษาตำแหน่งเอาไว้ อย่าออกไปจู่โจมนอกตำแหน่งของตัวเอง” ไทสันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จากนั้นเขาก็หันไปมองทางเลย์ตันพร้อมกับออกคำสั่งขึ้นมาว่า

“จอมพลเลย์ตันนำกองยาน 30 กองไปรวมกันกับกองกำลังอิสระ แล้วเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมแต่ห้ามเคลื่อนไหวจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากฉัน”

“ครับ!” เลย์ตันแสดงความเคารพ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องบัญชาการด้วยแววตาที่แน่วแน่

“ในที่สุดนายก็ยอมเรียกใช้กองยานอิสระแล้วสินะ” วิลเลียมกล่าว

ไทสันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เพราะท้ายที่สุดตอนนี้พวกเขาก็เดินทางมาจนถึงทางตันแล้ว และมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องปะทะกับกองกำลังเซิร์กอย่างสุดกำลังเสียที

ณ ยานบัญชาการเฮลแองเจิล แห่งกองยานที่ 1 ของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ด

แอวริลเพิ่งตื่นนอนและกำลังจะแต่งหน้าที่หน้ากระจก และถึงแม้ว่ามันจะบอกว่าเธอกำลังแต่งหน้า แต่ในความเป็นจริงเธอแค่เพียงทาโลชั่นบำรุงผิวเท่านั้น เพราะความงามบนใบหน้าของเธอไม่จำเป็นจะต้องใช้เครื่องสำอางเพื่อตกแต่งเพิ่มเติมใด ๆ เลย

สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้แอวริลผอมลงเรื่อย ๆ และทุกคนที่เห็นหญิงสาวต่างก็อดที่จะรู้สึกสงสารเธอคนนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะเธอไม่ได้อาศัยอยู่ในห้องชุดที่หรูหราอีกต่อไปแล้ว แต่อาศัยอยู่เพียงแค่ห้องเล็ก ๆ ที่แออัดไม่ต่างไปจากสาวใช้ธรรมดา เนื่องจากเธอได้มอบห้องชุดของเธอไปให้กับพลเรือนผู้อพยพจนหมดแล้ว

จากการเจรจาเมื่อวานนี้เผ่าพันธุ์นาวีตกลงต้อนรับผู้คนในตระกูลเจี่ยนและพนักงานอาวุโสในบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดเท่านั้น แต่พวกเขาไม่ต้องการที่จะต้อนรับเหล่าบรรดาพลเรือนที่อาศัยอยู่บนยาน

แน่นอนว่าแอวริลย่อมไม่ทอดทิ้งประชาชนเหล่านี้ไป เธอจึงออกคำสั่งให้กองยานเริ่มออกเดินทางอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไม่รู้จัก

กองยานพลเรือนมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งมันก็ประกอบไปด้วยยานอวกาศประเภทต่าง ๆ จำนวนหลายพันหลายหมื่นลำ แต่ถึงกระนั้นมันกลับถูกคุ้มกันโดยกองยานที่ 1 ของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดเพียงกองเดียว เพราะกองยานของบริษัทอื่น ๆ เลือกที่จะละทิ้งผู้คนเหล่านี้และอพยพหนีเข้าไปในดินแดนของนาวีจนหมดแล้ว

แต่ในทันใดนั้นเองผางชิงก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบเรียกสายตาของแอวริลให้หันไปมองอย่างสงสัย

“คุณหนู ๆ! เซี่ยเฟยยังมีชีวิตอยู่!!” ผางชิงตะโกนบอกพร้อมกับหอบหายใจอย่างหนัก

หลังจากพักหายใจอยู่สักพัก พ่อบ้านหนุ่มก็รีบเชื่อมระบบสื่อสารเข้ากับระบบเรดาร์แบล็คแบทและเผยให้เห็นเซี่ยเฟยที่กำลังกัดริมฝีปากแน่น แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะพูดอะไรดีหลังจากที่ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ต่าง ๆ มาอย่างมากมาย

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก …

เสียงเข็มนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ยังคงดังขึ้นภายใต้ความเงียบงัน ผางชิงจึงรีบเปิดประตูออกไปพร้อมกับยืนร้องไห้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว ราวกับว่าเขารู้สึกตื่นเต้นเรื่องที่เซี่ยเฟยรอดชีวิตมากกว่าตัวของแอวริลเองเสียอีก

หลังจากมองหน้ากันอยู่หลายนาที เซี่ยเฟยก็มองเห็นความยากลำบากผ่านทางใบหน้าที่ซูบผอมของหญิงสาว ขณะที่แอวริลก็มองเห็นการต่อสู้อันยากลำบากผ่านทางแววตาอันมุ่งมั่นของชายหนุ่ม

นี่คือความรู้สึกที่แปลกประหลาดมากคล้ายกับว่าคนสองคนสามารถทำความเข้าใจกันได้โดยไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรออกมา ซึ่งบางทีเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่คนโบราณเคยว่าไว้ว่าคู่รักบางคู่สามารถที่จะสื่อใจถึงกันและกันได้

แอวริลเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะเธอกลัวว่าเซี่ยเฟยจะรู้สึกลำบากใจที่เห็นเธอตัวผอมแห้งแบบนี้ เธอจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงให้ชายหนุ่มได้เห็นว่าตัวเธอยังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน เพราะเขาก็ไม่ต้องการให้แอวริลได้รู้ถึงประสบการณ์และความยากลำบาก ในระหว่างที่เขาพยายามต่อสู้อยู่ท่ามกลางดินแดนของศัตรูเพียงลำพังเช่นกัน

ไม่มีใครอยากจะมอบประสบการณ์อันเลวร้ายให้กับอีกคน ซึ่งต่างคนต่างก็พยายามมอบรอยยิ้มให้แก่กันราวกับว่าพวกเขาได้นัดแนะเรื่องนี้กันมาเป็นอย่างดี

“เธอ... สบายดีไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวถามขึ้นมาเบา ๆ

ปกติชายหนุ่มเป็นคนช่างพูดและมักที่จะใช้มุกตลกของตัวเองทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมาอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้เซี่ยเฟยกลับพูดอย่างตะกุกตะกัก เพราะเขารอคอยที่จะพูดประโยคธรรมดา ๆ นี้มานานแสนนาน

“ฉันสบายดี แล้วนายล่ะ?” แอวริลกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“ฉันก็สบายดีเหมือนกัน”

ไม่มีการประกาศความรักออกไปอย่างโจ่งแจ้งและไม่มีคำพูดที่ชวนให้น้ำตาไหล เนื่องจากบทสนทนาที่ทั้งคู่ต่างก็รอคอยมานานแสนนานคือบทสนทนาที่แสนเรียบง่ายแบบนี้เท่านั้น

***************

ฮือออออ น้ำตาจะไหลตาม ><

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด