นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 124 - ข้อเสนอของฟิลลิดา
“พวกเรามาเจรจากันดีกว่ามั้ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เอเวียนกับนักเรียนคนอื่น ๆ หันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน ฟิลลิดาขยับก้าวออกมาจากกลุ่มเป็นสัญญาณว่านั่นเป็นคำพูดของตัวเธอเอง
“หืม? เธอมีข้อเสนออะไรบ้างล่ะ?” เอเวียนเอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ
“พวกเราจะใช้วิธีการแข่งขันกันแทน แต่ละคนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ปลอดภัยพร้อม ๆ กัน หยิบอุปกรณ์ไฮเทคที่อยู่ในนั้นออกมาคนละชิ้น ขอย้ำว่าคนละชิ้นเท่านั้น นี่คือกฎข้อเดียว ใครจะได้ของที่ดีและคุ้มค่าขนาดไหน ก็ให้โชคชะตาเป็นตัวตัดสินก็แล้วกัน” ฟิลลิดาอธิบายออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เสียงของเอเวียนคำรามรอดไรฟันออกมา “ทั้งฉลาดและมั่นใจตัวเองมากอย่างนั้นใช่มั้ย ฉันคิดว่าตัวเองเริ่มจะชอบคนอย่างเธอขึ้นมาบ้างแล้วนะ เอาเถอะ! ฉันรับข้อเสนอนี้ก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น เธอก็หันไปเผชิญหน้ากับลู่ฟง ที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าเหมือนกับกลืนยาขมเข้าไปทั้งห่อไม่มีผิด สภาพร่างกายของเขากำลังอ่อนแออย่างที่เอเวียนบอกจริง ๆ การโจมตีก่อนหน้านี้สร้างภาระที่หนักหนาให้กับร่างกาย จนมันเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว เขาไม่สามารถกระตุ้นการหมุนเวียนเลือดได้นานมากนัก ถ้าไม่อยากให้อาการบาดเจ็บของตัวเองแย่ลงไปมากกว่านี้อีก
นั่นหมายความว่า ข้อเสนอของฟิลลิดาทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วเต็มที่ และเป็นเวลานานมากพอที่จะแย่งชิงอุปกรณ์ไฮเทคมาได้เลย
แต่เขาก็ต้องกล้ำกลืนยาขมห่อนั้นลงคอไป เพราะดูเหมือนว่าเกือบทุกคนจะเห็นด้วย และยอมรับที่จะทำตามข้อเสนอนั่นแล้ว แม้แต่นักเรียนที่ติดอันดับในร่างชื่อผู้แข็งแกร่งกลุ่มเดียวกันกับเขา ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของฟิลลิดา ลู่ฟงได้แต่เลือกที่จะยอมรับข้อเสนอนี้เท่านั้น
สายตาของเขายังแข็งกร้าว จ้องมองกลับไปที่เอเวียน เสียงอันระคายหูดังออกมาจากปากของเขา “ฉันก็ตกลง!” ก่อนจะหันหน้ากลับมามองฟิลลิดาอย่างดุร้าย เขาสาบานได้เลยว่า สายตาของเธอนั้นแสดงอาการเย้ยหยันออกมาแวบหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นห่วงใยในอาการบาดเจ็บของเขา
ลู่ฟงสบถสาปแช่งฟิลลิดาอยู่ในใจอย่างรุนแรง เขาเป็นคนที่ต้องออกแรงทุ่มเททุกอย่างลงไป จนสถานการณ์มาอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอย่างตอนนี้ แต่จู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็เสนอหน้าออกมาแย่งความสำคัญไปอย่างหน้าด้าน ๆ ลู่ฟงรู้สึกโกรธที่ตัวเองกำลังถูกหลอกใช้ และโกรธที่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่อับจนถึงขนาดนี้
เขามีโอกาสไม่น้อยเลยทีเดียว ที่จะไม่สามารถแย่งชิงอะไรมาครอบครองได้!
ดวงตาของเขาแดงกล่ำขึ้นเรื่อย ๆ จากความโกรธ เช่นเดียวกับลมหายใจที่กระชั้นถี่
แค่ก! แค่ก!
ความโกรธของเขายิ่งทำให้อาการบาดเจ็บทรุดหนักลงไปอีก ลู่ฟงเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เขาไอออกมาด้วยเสียงที่ดังจนได้ยินไปทั่วกัน
ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มละไม “เธอคิดว่าแผนนี้จะเริ่มขึ้นตอนไหนดี แล้วเริ่มลงมืออย่างไร?” เอเวียนถามฟิลลิดาด้วยเสียงที่สดใส หลังจากเห็นอาการของลู่ฟงแล้ว เธอก็เลิกให้ความสนใจเขาทันที ลู่ฟงไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นแค่ตะเกียงที่กำลังจะหมดน้ำมัน ถึงแม้ว่าจะยังเหลือความสามารถที่จะทำอันตรายผู้อื่นอยู่ได้บ้าง แต่แค่อยู่ห่าง ๆ เอาไว้ ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว
ฟิลลิดาไม่ได้ตอบคำถามของเอเวียนออกมาในทันที เธอใช้เวลาตรึกตรองอยู่สักพัก ก่อนที่จะเสนอออกมาในที่สุด “เพื่อความยุติธรรม พวกเราไม่ควรจะมีใครเป็นคนส่งสัญญาณการเริ่มต้น ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ และมุ่งหน้าเข้าไปด้านในเพื่อค้นหาอุปกรณ์ไฮเทคได้เลย หลังจากที่เสียงจิ้งหรีดป่าดังขึ้นเป็นครั้งแรก พวกเราแค่ต้องกดคลื่นความถี่สมองของตัวเองเอาไว้ รอให้จิ้งหรีดร้องออกมาเท่านั้น”
“เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย และดูเหมือนว่าจะยุติธรรมอย่างที่บอกจริง ๆ ฉันเห็นด้วย” เอเวียนพยักหน้า และปรบมือออกมาครั้งหนึ่งเป็นการยอมรับ
เธอรู้ดีว่าฟิลลิดาคิดวิธีการแบบนี้ออกมาเพราะอะไร มันสามารถป้องกันการโกง และลดความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละคนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
สำหรับนักเรียนที่มุ่งเน้นไปในด้านความเร็ว ถ้าพวกเขารู้ระยะเวลาที่แน่นอน จะสามารถสะสมพลังและระเบิดมันออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม สร้างความได้เปรียบให้กับตัวเองได้อย่างชัดเจน ในขณะที่นักเรียนผู้เน้นความแข็งแกร่งไปทางด้านอื่น อาจจะต้องใช้เวลาในการสะสมพลังมากกว่า และต้องกระตุ้นตัวเองจนสุดขีดจำกัด ถึงจะมีความเร็วต้นที่เทียบเท่ากับกลุ่มแรกได้ การสุ่มเวลาเริ่มต้นโดยใช้เสียงจิ้งหรีดแบบนี้ จะทำให้สถานการณ์กลายเป็นไม่แน่นอน ใครจะสามารถรวบรวมพลังและระเบิดความเร็วได้ดีกว่ากันนั้น โชคมีส่วนตัดสินเป็นอย่างมาก และโชคดีก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลย
จานีนขยับตัวเข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ กับลู่ฟง ก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างหูเบา ๆ “พี่ใหญ่! ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ เดี๋ยวหนูจะช่วยพี่เก็บอันที่ดี ๆ เอาไว้ให้เอง” นั่นทำให้ลู่ฟงต้องส่งเสียงคำรามออกมาเบา ๆ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
และดูเหมือนว่าข้อเสนอของฟิลลิดาจะได้รับการยอมรับจากนักเรียนคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว
สเติร์มที่ยืนเงียบไม่มีปากเสียงอยู่ตรงนั้น คำรามออกมาเบา ๆ เช่นกัน เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อยในการแข่งขันแย่งชิงแบบนี้ แม้ว่าความเร็วของเขาจะไม่ต่ำ แต่ความเร็วต้นยังถือว่าธรรมดามาก สเติร์มจะเข้าไปด้านในพื้นที่ปลอดภัยได้ช้ากว่าคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะแหกกฎเพื่อลงมือแย่งชิงหรือไม่?
เหล่านักเรียนที่เข้าร่วมในการแย่งชิงครั้งนี้ ไม่มีผู้ที่อ่อนแอเลยแม้แต่คนเดียว ฝ่ายของลู่ฟงนั้นล้วนเป็นผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับของผู้แข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มของเอเวียน แม้ว่าจะยังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งอะไรออกมาให้เห็น แต่ถ้าตัดสินจากความสามารถของดรอกฟอร์ดและสาวใช้ทั้ง 2 คนนั่น นักเรียนที่เขาไม่เคยเห็นหน้าทั้ง 6 คนนี้ ไม่น่าจะอ่อนแอกว่า 10 อันดับแรกในรายชื่ออย่างแน่นอน นี่ทำให้สเติร์มหนักใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนนักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มทั้งสองนี้ แน่นอนเลยว่า พวกเขาอยากจะเข้ามามีส่วนแบ่งในครั้งนี้ด้วย แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะมีความกล้าหาญเพียงพอ พวกเขาจึงได้แต่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
พื้นที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าพื้นที่ปลอดภัยกลายเป็นเงียบสงบ นักเรียนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นกดคลื่นสมองของตัวเองลง ไม่ให้แผ่กลิ่นอายที่กดดันออกมาแม้แต่นิดเดียว มันทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนไปแล้ว
‘ไอน์สเบิร์ก คลินตัน’ อัจฉริยะจากเมื่อหลายพันปีก่อน เป็นผู้ที่เสนอทฤษฎีที่อธิบายกลิ่นอายความแข็งแกร่งของยอดฝีมือออกมา ว่ามันเป็นเพียงความถี่ของคลื่นสมองที่ปล่อยออกมาอย่างรุนแรงเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีความสามารถในการรับรู้คลื่นสมองของสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่เข้มข้นชัดเจนมากนัก ทั้งเครื่องส่งและเครื่องรับ แต่ถ้าบังเอิญว่ามีคนไปอยู่ระหว่างการทะเลากันอย่างรุนแรงของคู่รัก เขาจะรับรู้ได้ว่าบรรยากาศจะตึงเครียด และมีกลิ่นอายของความกดดันเกิดขึ้น นั่นคือคลื่นสมองที่ขยายแรงขึ้นจากความโกรธของคู่รักทั้ง 2 คนนั่นเอง
และยอดฝีมือสามารถควบคุมความถี่คลื่นสมองของตัวเองได้ สามารถปลดปล่อยมันออกมาเป็นแรงกดดันระหว่างการต่อสู้ หรือใช้มันข่มขู่ผู้คนได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้ นักเรียนทั้งหมดกำลังควบคุมคลื่นสมองของตัวเองให้สงบเงียบที่สุด รอคอยสัญญาณการเริ่มต้นให้เข้าไปด้านในของพื้นที่ปลอดภัย
............................
พื้นหินที่มุมด้านหนึ่งของถ้ำเลื่อนตัวเปิดออก เผยให้เห็นร่างของเดวิดยืนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพื้นดินลงไปพอสมควร เมื่อเห็นตำแหน่งของตัวเอง เดวิดก็แทบจะเอาหัวโขกกับผนังถ้ำทันที ตำแหน่งนี้เขาเคยตรวจสอบผ่านมาหลายรอบแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่ามันเป็นทางลงไปห้องทดลองลับแห่งนั้น
‘อืม? ช่างมันเถอะ เจอไม่เจอก็ลงไปจนได้แล้ว! รีบเช็คเนื้อหาในหนังสือที่เก็บมาก่อนดีกว่า’ เดวิดพึมพำอยู่ในหัว ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมาอยู่บนพื้นดินจนเรียบร้อย
แต่ทันทีที่เดวิดเงยหน้ากวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อจะหาที่นั่งลงอ่านหนังสือ สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับกลุ่มของนักเรียนชาย 5 คนที่ยืนตะลึงอยู่ พวกเขาหยุดมือที่กำลังจะปล้ำถอดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ดิ้นรนขัดขืนอยู่อย่างสุดชีวิตลงชั่วคราว สายตามองอยู่ที่พื้นหินที่กำลังปิดตัวลงอย่างสับสน