MDB ตอนที่ 330 ความลับของตระกูลเฉียว
บ้านบรรพบุรุษของตระกูลเฉียวถูกดัดแปลงเป็นห้องอนุสรณ์ที่พวกเขาเอาไว้บูชาบรรพบุรุษ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซ่อนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษนั้นเป็นความลับของตระกูลที่ฝังลึกจนไม่อาจแยกออกมาได้
ความลับนี้สืบทอดกันมานับร้อยปี อย่างน้อย ๆ สี่ชั่วอายุคน บรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังความลับนี้ได้ทิ้งคำสอนไว้ซึ่งสมาชิกในตระกูลเฉียนในอนาคตจะต้องปฏิบัติตาม
อย่างไรก็ตาม มีเพียงผู้อาวุโสของตระกูลเฉียวเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ และในช่วงสองสามชั่วอายุคนที่ผ่านมา ความลับนี้ถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปากเท่านั้น ไม่มีใครรู้นอกจากหัวหน้าตระกูล
แน่นอนว่าการรู้ว่ามีความลับและการเก็บความลับนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน สมาชิกหลักของตระกูลเฉียวรู้ว่ามีความลับอยู่ในบ้านของบรรพบุรุษ แต่มีเพียงหัวหน้าตระกูลของพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าความลับนี้มันคืออะไร
หัวขโมยตรงมาที่บ้านบรรพบุรุษของพวกเขา แต่โชคดีที่มีสัตว์วิเศษคอยลาดตระเวนอยู่ ทำให้ความพยายามของหัวขโมยล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม โจรผู้นั้นโหดเหี้ยม เขาไม่เพียงทำร้ายสมาชิกในตระกูลและสัตว์เลี้ยงจำนวนหนึ่งด้วยคาถาโจมตีเท่านั้น แต่เขายังทิ้งข้อความไว้ก่อนที่จะล่าถอยอีกด้วยซึ่งมันมีใจความว่า
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงไม่กล้ารายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าเมืองหรือผู้ใดให้ล่วงรู้เหตุการณ์นี้ หากพวกเจ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเจ้า จงส่งมอบสิ่งที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษของพวกเจ้าภายในห้าวัน ไม่เช่นนั้น ข้าจะยกพวกมาและฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
หลังจากนั้นเขาก็จากไป
คำพูดของเขาใช้ถ้อยคำในลักษณะที่คนทั่วไปไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่หลังจากพิจารณาเล็กน้อย เฉียวเฟยกงก็เหงื่อเย็นออกมา
คนอื่นไม่เข้าใจความหมาย แต่เขาเข้าใจ
มีคนเสนอให้รายงานเรื่องนี้กับทางการทันที แต่เฉียวเฟยกงหยุดพวกเขาไว้
ตามที่โจรประกาศในจดหมาย พวกเขาทำไม่ได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับของตระกูล
แน่นอนว่า ในบรรดาเมืองในอาณาจักรมังกรหยก บรรดาเจ้าเมืองมีอำนาจมากและตำแหน่งของพวกเขาได้รับการส่งตอผ่านสายเลือดซึ่งเมืองรี้ดก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน
เมื่อหลายสิบปีก่อน เจ้าเมืองรี้ดได้รับกระแสข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลเฉียวซึ่งครอบครองสมบัติที่ซ่อนอยู่ เขาไปเยี่ยมบ้านของพวกเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อขอดูสมบัติดังกล่าว
ย้อนกลับไปในตอนนั้น พ่อของเฉียวเฟยกงเป็นหัวหน้าตระกูล และเขาสามารถหลอกเจ้าเมืองได้ และให้อีกฝ่ายยอมกลับไปได้ในที่สุด
หลังจากนั้นข่าวลือก็เริ่มแพร่กระจายเกี่ยวกับตระกูลเฉียวมีสมบัติที่ซ่อนอยู่ เนื่องจากตระกูลเฉียวเป็นเจ้าของธุรกิจโรงปรุงยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองรี้ด ข่าวลือจึงแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ว่า แท้จริงแล้วพวกเขามียาวิเศษที่สามารถช่วยชีวิตคนที่กำลังจะตายได้
ข่าวลือดังกล่าวควรจะยุติลงในที่สุดแล้วในตอนนั้น
แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
จู่ ๆ ภรรยาตามกฎหมายของเจ้าเมืองรี้ดล้มป่วยลงด้วยโรคร้ายที่ไม่มีหมอคนไหนรักษาได้ เมื่อได้ยินข่าวลือ เจ้าเมืองจึงไปเยี่ยมตระกูลเฉียวอีกครั้ง
ในตอนนั้น เจ้าเมืองขอร้องให้พวกเขาขอยาวิเศษที่พวกเขากล่าวหาว่ามีไว้ในครอบครอง
ตระกูลเฉียวไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งของดังกล่าว ปฏิเสธคำขอของเขาอย่างจนใจ
อย่างไรก็ตาม บางทีเจ้าเมืองอาจจมอยู่ในอารมณ์ของเขามากเกินไป ปฏิเสธที่จะเชื่อพวกเขา เขาแค่ถามว่าตระกูลเฉียวมีสมบัติซ่อนอยู่หรือไม่?
ตามคำบอกเล่าแบบปากต่อปากของบรรพบุรุษของเขา เขารู้ว่าสมบัติของตระกูลเฉียวไม่ใช่ยา พ่อของเฉียวเฟยกงจึงโกหกเจ้าเมืองรี้ดไปว่าพวกเขาไม่มีสมบัติดังกล่าว
จากนั้นลูกชายของคนหลังก็กลายเป็นเจ้าเมืองคนปัจจุบันของเมืองรี้ด แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยในตอนนั้น ดังนั้นตระกูลเฉียวจึงไม่สามารถรายงานเหตุการณ์นี้ต่อทางการได้
พวกเขากลัวที่จะก่อให้เกิดปัญหา
หากการโกหกนั้นถูกเปิดโปง เจ้าเมืองคนปัจจุบันจะให้อภัยพวกเขาอย่างง่ายดายหรือไม่?
คงไม่มีทาง เพราะผู้ชายคนนั้นสูญเสียแม่ของเขาไปในท้ายสุด
ดังนั้น เฉียวเฟยกงจึงเป็นกังวล เขาวางแผนที่จะแก้ไขปัญหานี้เป็นการส่วนตัว และนั่นก็เป็นทางเลือกเดียวเช่นกัน ดังนั้น ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาจึงเชิญชายฉกรรจ์จากทั่วทุกมุมโลก เขากังวลว่ากำลังของตระกูลในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ หากพวกโจรปรากฏตัวอีกครั้ง อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถต่อสู้ได้
ถึงกระนั้นเฉียวเฟยกงยังคงร้อนรนจนไม่อาจสงบใจได้ เขามีลางสังหรณ์ว่าทุกอย่างคงไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นคือสาเหตุที่เขาไม่สามารถให้ข่มตาหลับในทุก ๆ คืนได้
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือลูกชายของเขา เฉียวซิง เขายังหนุ่มและแข็งแรง เมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของคนพ่อ เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นว่า
“ท่านพ่อ ตระกูลเฉียวของเรารุ่งเรืองมาห้าชั่วอายุคนแล้ว เราไม่เห็นความลำบากอะไร ในตอนนั้น ปู่ทวดของข้าถึงกับฆ่ากลุ่มโจรมากกว่าสามสิบคนด้วยตัวคนเดียว ทุกคนในเมืองรี้ดรู้เกี่ยวกับเราดี และไม่กล้ารุกรานเรา
แม้ว่าข้าจะไม่ใช่นักสู้ที่เก่งกาจ แต่ถ้าพวกโจรปรากฏตัวอีกครั้ง ข้าจะกำจัดพวกมันให้ดู ข้าจะแสดงให้เขาเห็นว่าตระกูลเฉียวของเรา ไม่ใช่ตระกูลที่จะให้ใครมาลูบคมได้ง่าย ๆ”
เด็ก ๆ ของตระกูลเฉียวดูกระตือรือร้นที่จะจัดการพวกโจรอย่างห้าวหาญ อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ต่างจากลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ พวกเขายังขาดประสบการณ์มากมาย และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร
“มันไม่ง่ายอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก”
ก่อนที่เฉียวเฟยกงจะทันได้พูดอะไร อาสองของเขาก็พูดขึ้น
ในเรื่องความอาวุโส เฉียวซิงควรเรียกเขาเป็นท่านอาสอง
เฉียวเฟยกงพยักหน้าเห็นด้วย
“ซิงเอ๋อร์ อาสองของเจ้าพูดมานั้นถูกต้อง มันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด มันแปลกอยู่พอสมควรที่เขาสามารถระบุตำแหน่งของบ้านบรรพบุรุษของเราได้อย่างง่ายดาย อีกอย่าง…”
เฉียวเฟยกงไม่ได้พูดต่อต่อเพราะมีสิ่งที่ไม่มีใครรู้นอกจากเขา
ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างพ่อของเขากับเจ้าเมืองคนก่อน
การที่สามารถประกาศว่าตระกูลเฉียวไม่มีความกล้าที่จะรายงานเหตุการณ์นี้ต่อเจ้าหน้าที่ควรเป็นคำอธิบายที่เพียงพอ
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขากังวล
พวกโจรเตรียมมาอย่างดี
เขาแน่ใจว่าหัวขโมยจะไม่ปรากฏตัวคนเดียว เนื่องจากเขาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าตั้งห้าวัน พวกเขาจะต้องมีกำลังเสริมอย่างแน่นอน ในฐานะหัวหน้าตระกูลที่โดดเด่น เฉียวเฟยกงมีประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตาม เฉียวเฟยกงไม่ใช่คนขี้ขลาดที่กลัวความขัดแย้งเช่นกัน แม้ว่าเขาจะกังวล แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะยอมจำนน
ช่างเป็นเรื่องตลก เพียงเพราะจดหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ หัวขโมยคาดหวังว่าตระกูลของพวกเขาจะส่งมอบมรดกตกทอดและสมบัติที่ซ่อนอยู่ให้งั้นหรือ? ไร้สาระ! ไม่ว่าเฉียวเฟยกงจะอ่อนแอแค่ไหน เขาก็ไม่ได้ขี้ขลาดมากขนาดนั้น
อันที่จริงเขามีแผนการรับมือไว้แล้ว
แม้ว่าตระกูลเฉียวจะไม่ได้ขยายธุรกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาได้ทำการผูกสร้างความสัมพันธ์เพื่อเพิ่มอำนาจของพวกเขา
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีพันธมิตรมากมายภายในเมืองรี้ดที่มีเคารพต่อพวกเขา แต่พวกเขายังได้รับการสนับสนุนจากนอกเมืองอีกด้วย
ตระกูลเฉียวมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับหนึ่งในขุนนางของราชวงศ์ในเมืองหลวงซึ่งเขามักจะส่งส่วนผสมยาหายากให้กับบุคคลนี้ทุกปีเพื่อรักษามิตรภาพของพวกเขา
แม้ว่าเพื่อป้องกันศัตรูที่แข็งแกร่งที่อาจเกิดขึ้น ตระกูลเฉียวได้มอบหมายให้กองคาราวานจีอันของเมืองรี้ดส่งส่วนผสมยาไปยังเมืองหลวงในครั้งนี้
กองคาราวานจีอันเป็นกองคาราวานที่มีชื่อเสียง ย้อนกลับไปในสมัยก่อน พ่อของเฉียวเฟยกงค่อนข้างสนิทกับพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ต้องบอกว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้
แต่ทันใดนั้นเอง มีคนมารายงานว่าผู้คุมจางจากกองคาราวานจีอันมาขอเข้าพบ
"ฮะ? อะไรนะ?" เฉียวเฟยกงตกตะลึง
ในทางเทคนิคแล้ว ผู้คุมจางและกลุ่มของเขาควรจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงในตอนนี้ แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
“เจ้าแน่ใจนะว่า ใช่ผู้คุมจางจริง ๆ” เฉียวเฟยกงขมวดคิ้วพร้อมกับมองคนรับใช้
ฝ่ายหลังตอบอย่างรวดเร็วว่า “นายท่าน เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ข้าเคยเห็นผู้คุมจางหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นข้าจึงจำเขาได้อย่างแน่นอนขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา” เฉียวเฟยกงรีบพาคนอื่น ๆ เข้าไปในห้องโถงรับแขก
เมื่อมาถึง เขาพบผู้คุมจางรอเขาอยู่แล้ว เมื่อฝ่ายหลังเห็นเฉียวเฟยกง เขาก็ลุกขึ้นทันที
“ข้าน้อยขอคารวะ ท่านเฉียว ข้าต้องขออภัยที่มารบกวนท่าน!”
“ผู้คุมจาง เจ้า… เจ้ากลับมาทำไม?” เฉียวเฟยกงถามด้วยความรู้สึกสับสน
ขณะที่เขาพูด เขาสังเกตเห็นว่าผู้คุมจางดูเปล่งประกาย และสิงโตภูเขาหางกุดข้าง ๆ ผู้คุมจางก็ดูโดดเด่นเป็นพิเศษเช่นกัน